297-298
9/10
Ep.297
“เห~”
ซูเฉินเลิกคิ้วสูง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ “แล้วทำไมเขาถึงอยากเปิดทางผ่านเขตแดน? อีกฝั่งหนึ่งเชื่อมต่อกับทวีปอะไร?”
เพราะหากอยู่คนละเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าจะความคิดหรือจิตใจย่อมไม่เหมือนกัน และการร่วมมือกับพวกต่างเผ่า แทบไม่ต่างจากการขึ้นขี่หลังเสือ
ในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้วเหตุใดเจียงเว่ยถึงปรารถนาจะเปิดทางผ่านเขตแดน?
เป็นไปได้ไหมว่าเขาก็เหมือนกับเตียวหลงแห่งนิกายวูหยิน ที่มีความสัมพันธ์กับพวกต่างเผ่า?
สถานการณ์เริ่มสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ ซูเฉินตกลงไปในห้วงความคิด
“ฉันได้ยินข่าวมาว่าเจียงเว่ยต้องการเปิดทางผ่านเขตแดน นอกนั้นก็ไม่รู้อะไรอีกแล้ว” ชายชราถอนหายใจ
ซูเฉินหรี่ตาลง จ้องมองชายชรา “แกไม่ได้กำลังโกหกฉันใช่ไหม?”
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความเป็นไปของเกาะเฉียนหยูมาก ซูเฉินเองก็ไม่แน่ใจว่าชายชรากำลังพูดความจริงหรือไม่
“คนที่กำลังจะตาย ไม่จำเป็นต้องโกหก” ชายชราหัวเราะหยัน
ซูเฉินรู้ดี ว่าเขาไม่สามารถเค้นถามข้อมูลจากชายชราได้อีกแล้ว ดังนั้นง้างหมัดตูม! ชกใส่ศีรษะอีกฝ่าย
“ซูเฉิน แล้วเจ้าหมอนี่ล่ะ จะเอายังไงกับมัน?”
ในตอนนั้นเอง หวู่หยางลากตัวเฝิงเจ๋อเข้ามา โยนลงเบื้องหน้าซูเฉิน
ส่วนคนจากเมืองทงเทียนที่เพิ่งหลบหนีไป ถูกพวกหวู่หยางไล่ฆ่าและสังหารจนหมดสิ้นแล้ว
“ท่านอาวุโส ฉันถูกบังคับเลยไม่มีทางเลือก ได้โปรดให้โอกาสฉันอีกสักครั้ง!”
เฝิงเจ๋อคุกเข่าลงแทบเท้าซูเฉิน อ้อนวอนขอความเมตตา
ดอกหญ้าลู่ลมเช่นนี้ หากปล่อยทิ้งไว้ วันใดเผลอเดินผ่าน มันจะเกาะขากางเกง สร้างปัญหาให้แก่เขา
ซูเฉินไม่แม้จะเหลือบมอง เหยียดมือและยิงใบมีดสายลมตัดหัวอีกฝ่าย
“ไปเถอะ ทุกคนขึ้นรถ” ซูเฉินเรียก
คนจากเมืองทงเทียนถูกกวาดล้างหมดสิ้น เรื่องที่นี่มันจบลงแล้ว ถึงเวลาที่ต้องออกจากสถานชุมชนฮั่วหลางเสียที
รอจนทุกคนขึ้นรถ ซูเฉินเอ่ยถามโจวหยุน “นายมีญาติในหมู่บ้านเนินเขาสูงรึเปล่า?”
“พี่เฉิน ผมเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีญาติหรือคนดูแลตั้งนานแล้ว” โจวหยุนกล่าวตามตรง
ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “งั้นฉันจะพานายไปอยู่ในที่ปลอดภัย”
ท้ายที่สุดแล้ว เขากับโจวหยุนมีวาสนาต่อกัน หากปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ที่นี่ เกรงว่าหลังจากไปโจวหยุนอาจตกอยู่ในอันตราย
ดังนั้น ซูเฉินเลยตั้งใจที่จะส่งโจวหยุนไปยังสถานชุมชนเฝิงซี
อยู่กับหานคุน น่าจะช่วยรับรองความปลอดภัยได้
“พี่เฉิน ผมเชื่อพี่ ผมจะทำตามที่พี่บอก” โจวหยุนรับคำหนักแน่น
ซูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย หันไปสั่ง [รถศึกอัจฉริยะ] “เสี่ยวจือ มุ่งหน้าไปยังสถานชุมชนเฝิงซี”
[รถศึกอัจฉริยะ] สตาร์ทเครื่อง ล็อคตำแหน่งไปยังเฝิงซี
เนื่องจากพวกเขาเพิ่งกวาดล้างซอมบี้ตามรายทางไปเมื่อไม่กี่วันก่อน จึงเป็นเรื่องยากที่จะเจอฝูงซอมบี้ที่ควรค่าแก่การออกล่า
ทุกคนเมื่อไม่มีอะไรทำ ก็นั่งล้อมวงเล่นเกมไพ่โต้วตี้จู่ ฟังเพลง กินบาร์บีคิว ดื่มน้ำผลไม้ รู้สึกมีความสุขราวกับไม่ได้อยู่ในวันสิ้นโลก
ในวันที่สี่ [รถศึกอัจฉริยะ] ค่อยๆชะลอความเร็วลงเมื่อใกล้ถึงสถานชุมชนเฝิงซี
แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ ณ ขณะนี้ สถานการณ์ของสถานชุมชนเฝิงซีกลับไม่ราบรื่นอย่างที่คิด บังเกิดการต่อสู้ดุเดือดขึ้นภายนอกเมือง
ทั้งสองฝ่ายมีผู้เข้าร่วมสงครามในครั้งนี้นับหลายพันคน
กำลังพลที่มากกว่า ย่อมเป็นฝั่งสถานชุมชนเฝิงซีที่นำโดยหานคุน
ในขณะที่อีกฝ่ายมีจำนวนน้อย แค่หลักร้อยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีจำนวนน้อยกว่า แต่กำลังรบของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าหานคุนหลายขุม
เพราะในกลุ่มนั้น มีทั้งผู้วิวัฒนาการ และผู้ศึกษาพลังอยู่หลายสิบคน
อาศัยความได้เปรียบจากกำลังรบที่มากกว่า พวกเขาสามารถเข่นฆ่าสถานชุมชนเฝิงซี และค่อยๆกดดันอีกฝ่ายสู่ความพ่ายแพ้ มีผู้บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน
หากไม่ใช่เพราะหานคุนสาบานว่าจะต่อสู้จนตัวตาย เกรงว่าสถานชุมชนเฝิงซีอาจพ่ายแพ้ไปนานแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ของหานคุนก็ตกอยู่ในสภาวะล่อแหลมเช่นกัน แม้เขาเป็นถึงผู้วิวัฒนาการเลเวล 2 แต่เมื่อถูกห้อมล้อมโดยผู้วิวัฒนาการเลเวล 1 หลายคนและปรมาจารย์มนตราเลเวล 2
เขาก็ไม่ไหวเหมือนกัน และเกรงว่าจะล้มลงในอีกไม่ช้า
10/10
Ep.298
“เสี่ยวจือ วิ่งไปขวางหน้าพวกเขาเร็ว!” ซูเฉินตะโกน
เขากับหานคุนเป็นสหายกัน และเขาจะไม่มีวันยอมเห็นเพื่อนตายต่อหน้าต่อตา
บางทีอาจเพราะสัมผัสได้ถึงความร้อนรนของซูเฉิน [รถศึกอัจฉริยะ] เพิ่มแรงม้า ส่งเสียงหวีดหวิวผ่านสายลม พุ่งเข้ากลางสนามรบ
เนื่องจาก [รถศึกอัจฉริยะ] ตรงเข้ามาพร้อมแรงกดดันมหาศาล มันเลยดึงดูดความสนใจของทุกคน
ทั้งสองฝ่ายในสมรภูมิถูกบังคับให้แยกจากกัน การต่อสู้หยุดลงชั่วคราว
เอี๊ยดดดด!
เสียงเบรกดังขึ้นอย่างกระทันหัน [รถศึกอัจฉริยะ] ดริฟท์อย่างสวยงาม มาหยุดเบื้องหน้าหานคุน
แทบจะในทันทีหลังจากนั้น ซูเฉินและคนอื่นๆทยอยกันลงจากรถ
“อาเฮียซู!”
หานคุนตื่นเต้นมาก ราวกับว่าเขาได้พบพระผู้ช่วยให้รอดชีวิต
เหล่าคนที่ห้อมล้อมหานคุนต่างหยุดมือ ถอยไปรวมกลุ่มกัน ลอบสำรวจซูเฉินและคนอื่นๆอย่างระมัดระวัง
“พี่หาน ผมมาทีไรพี่ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายตลอดเลยนะ”
ซูเฉินกล่าวหยอกล้อ ก้าวออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย คล้ายกับว่าไม่เห็นสถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายอยู่ในสายตา
“อาเฮียซู โชคดีมากที่เฮียมาทันเวลา ถ้าช้าไปกว่านี้อีกก้าวเดียว น่ากลัวว่าฉันคงถูกพวกมันฆ่าไปแล้ว” หานคุนกล่าวด้วยหัวใจที่สั่นเทา
เขารู้ว่าซูเฉินกำลังแซว แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะตอบติดตลกกลับไป
“บอกผมหน่อยสิ นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?” ซูเฉินหุบยิ้ม กล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
มีซูเฉินอยู่ข้างๆ หานคุนมั่นใจขึ้นหลายส่วน ชี้หน้าศัตรู ก่นด่าสาปแช่ง “ไอ้นรกพวกนี้เป็นคนจากสถานชุมชนซีอาน! มันต้องการปล้นเมืองของเรา”
“สถานชุมชนซีอาน?” ซูเฉินทวนคำ และจู่ๆก็เริ่มสนใจขึ้นมา
เพราะจะว่าไป เขาก็เคยมีปัญหาบางอย่างกับสถานชุมชนซีอานอยู่เหมือนกัน ซูเฉยเคยฆ่าสมาชิกของพวกมันไปหกคน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ตกก็คือ สถานชุมชนซีอานอยู่ห่างจากที่นี่หลายพันไมล์
แทนที่จะอยู่ในสถานที่ของตัวเอง แล้วทำไมพวกเขาถึงมาปล้นสถานชุมชนเล็กๆไกลปืนเที่ยงเช่นนี้?
ใช้เพราะอดอยากจนเป็นบ้าไปแล้วรึเปล่า?
ซูเฉินกวาดมองอีกฝ่าย สายตาหยุดลงที่ชายวัยกลางคนผิวสีเข้ม กล่าวเสียงขรึมว่า “ทำไมพวกแกถึงมาปล้นเมืองของเพื่อนฉัน?”
ชายวัยกลางคนเป็นปรมาจารย์มนตราเลเวล 2 ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศัตรู และมีแนวโน้มว่าน่าจะเป็นผู้นำของกำลังพลที่ยกมาในครั้งนี้
ได้ยินแบบนั้น ชายผิวเข้มก็ขมวดคิ้ว และไม่ตอบในทันที
เพราะซูเฉินแม้ดูเด็กมาก แต่ทุกย่างก้าวกลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายของราชา ทำให้เขาอดพึมพำออกมาไม่ได้
เขาไม่มั่นใจ ว่าซูเฉินแค่แสร้งทำเป็นเก่ง หรือแข็งแกร่งจริงๆกันแน่
เห็นชายผิวเข้มไม่พูด คนรอบข้างเขาที่เดิมไม่พอใจอยู่แล้ว หนึ่งในนั้นที่เป็นชายร่างกำยำได้เอ่ยขึ้นแทน “แกเป็นใครกัน ถ้ายังมีสมองอยู่ก็ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นแกจะตายทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว!”
ซูเฉินยิ้มมุมปาก “เป็นคำขู่ที่ไม่เลว ฉันขอทดลองใช้ดูหน่อยนะ”
ว่าจบ ได้ยินเสียงดังโผล๊ะ! ศีรษะของชายหนุ่มร่างกำยำระเบิดออกอย่างน่าฉงน
เฉกเช่นเดียวกับที่เขาเพิ่งเอ่ยเมื่อครู่ ว่าตายทั้งๆที่ยังไม่รู้ตัว
เผชิญกับสถานการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ คนรอบข้างชายผิวเข้ม ใบหน้าซีดเผือดด้วยความกลัว ก้าวถอยหลังพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ส่วนชายผิวเข้ม แม้ไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ระลอกคลื่นในดวงตาเขา กระเพื่อมไปด้วยความหวาดกลัวอย่างลึกล้ำ
คนอื่นอาจไม่ทราบว่าชายหนุ่มร่างกำยำเสียชีวิตลงอย่างไร แต่เขาพอคาดเดาสาเหตุได้
เกรงว่าคงไม่พ้นถูกพลังจิตของชายหนุ่มตรงหน้าสังหารเอา
ซึ่งหากต้องการระเบิดสมองของผู้วิวัฒนาการเลเวล 1 อย่างไร้สรรพเสียง เกรงว่าจะมีเพียงปรมาจารย์พลังจิตเลเวล 3 หรือสูงกว่าเท่านั้นจึงจะทำได้
เมื่อคิดได้แบบนี้ ชายผิวเข้มเผลอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว กล่าวเสียงสั่นว่า “ผู้อาวุโส เป็นความผิดของผู้น้อยเอง พวกเราจะถอนตัวเดี๋ยวนี้”
“ฉันบอกเมื่อไหร่ว่ายอมให้แกไป?”
ซูเฉินแค่นเสียงเย็นชา ปลดปล่อยพลังจิตของเขาตรึงร่างชายผิวเข้มอยู่กับที่
ยังไม่ทราบจุดประสงค์แน่ชัดที่มาเยือน นอกจากนี้ เขามีความขัดแย้งกับสถานชุมชนซีอานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นแม้ว่าจะไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น ซูเฉินก็ไม่คิดปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆอยู่ดี