ตอนที่31 คำเชื้อเชิญ
ตอนที่31 คำเชื้อเชิญ
ทว่าอย่างไรเจ้ากุ้งแห้งเพิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนอง นึกอะไรขึ้นได้ถึงกับตะลึงงัน เหลือบไปมองนายน้อยด้วยความฉงนใจยิ่ง เหตุใดนายน้อยถึงต้องโกหกเรื่องชื่อตัวเองด้วย?
แต่ท้ายที่สุดเจ้ากุ้งแห้งกลับโดนเย่เจวี๋ยมองสวนกลับด้วยท่าทีแสนเมินเฉย นี่หาใช่เรื่องเข้าใจยากอะไรไม่ กว่าที่นายน้อยของเขาทำแบบนี้ย่อมต้องมีเหตุผลของตัวเองเช่นกัน คิดได้แบบนี้เจ้ากุ้งแห้งก็พลางโล่งใจ
“จริงรึ? พวกเราเองก็กำลังจะไปสอบคัดเลือกที่ทวีปตะวันออกเช่นกัน ดีเลย หากเช่นนั้นพวกเราก็ถือเป็นสหายร่วมเดินทาง เชิญมากับพวกเราเถิด”
แท้จริงแล้วนางมีชื่อจริงว่า อวิ๋นชิงเหยา นางออกปากเชื้อเชิญเย่เจวี๋ยทันทีโดยหาได้หวาดกลัวอันใดไม่ และพอเย่เจวี๋ยลองตรวจสอบลมหายใจพินิจดูแล้ว หญิงสาวนางนี้น่าจะมีพลังอยู่ในอาณาจักรนภาม่วงขั้นสุด ภายในใจพลันรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ทั้งๆที่อายุไม่น่าต่างจากตนมาก แต่สามารถบรรลุถึงขอบเขตนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าพรสวรรค์ของนางค่อนข้างสูงส่ง
ทั้งประหลาดใจและแปลกใจในเวลาเดียวกัน แต่เย่เจวี๋ยก็หาไม่แสดงสีหน้าอันใดออกไป ตอบรับคำเชิญน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
“ในเมื่อแม่นางเชื้อเชิญเองเช่นนี้ พวกเราเองคงไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจ”
เย่เจวี๋ยสังเกตเห็นขบวนรถม้าอยู่หลายเกวียนตั้งแต่ทีแรก อาศัยพาหนะเหล่านี้ น่าจะช่วยประหยัดเวลาเดินทางได้มิใช่น้อยเลย ผนวกกับเขาไม่มี้หตุผลอันใดต้องปฏิเสธนางเช่นกัน
พอได้ยินคำว่า‘แม่นาง’ออกจากปากเย่เจวี๋ย อวิ๋นชิงเหยาพลันขมวดคิ้วเรียวงามของนางมุ่นขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสะท้อนแววจิตสังหารอยู่หนึ่งส่วนแผ่ออกมา ทว่ามีเพียงเย่เจวี๋ยเท่านั้นที่รู้สึกได้ เป็นเพราะนางมุ่งเป้าไปที่เขาแค่เพียงคนเดียว
เย่เจวี๋ยเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า บุรุษหนุ่มหน้าสวยคนนี้กำลังปลอมตัวเป็นผู้ชายและมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่มองออก และเป็นที่ชัดเจนยิ่งแล้ว นางต้องการทำเช่นนี้เพื่อปิดเรื่องเพศสภาพเป็นความลับ ย่อมไม่ต้องการให้คนอื่นล่วงรู้โดยธรรมชาติ คิดได้ดังนั้นเขาจึงรีบเปลี่ยนคำพูดทันที
“อ่อ...ต้องเป็นคุณชายถึงจะถูก พรั่งปากพูดไร้สาระออกไปเสียดาย เห็นคุณชายมีรูปร่างหน้าตาดุจสตรีจึงเข้าใจผิดไปชั่วขณะ”
เหลือบมองเย่เจวี๋ยอยู่แวบหนึ่งเผยสะท้อนให้เห็นความรู้สึกผิดดูจริงใจไม่น้อย อวิ๋นชิงเหยาจึงโบกมือปัดกล่าวว่า
“มิเป็นไร ตัวข้ามักถูกเข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้นว่าเป็นสตรี ข้าชินชากับเรื่องนี้มานานแล้ว เอาล่ะพวกเจ้า เราพักผ่อนกันเต็มที่แล้ว เช่นนั้นเตรียมออกเดินทางต่อได้ ส่วนพวกเจ้าก็ขึ้นรถม้ามากับข้าเถิด”
พูดจบ อวิ๋นชิงเหยาก็หมุนกายขึ้นรถม้า ท่าทางดูสง่างามเป็นธรรมาชาติ ซ่อนแฝงด้วยกิริยาอันมีเกียรติอยู่หลายส่วน เย่เจวี๋ยเห็นแบบนั้นถึงกับหรี่ตาแคบเล็กน้อยราวกับพบเจอเบาะแสอะไรบางอย่างได้ ส่วนเจ้ากุ้งแห้งกับสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานได้ต่างหันมาสบตากันหน้าฉงน สิ่งที่คิดเหมือนกันคือ ชายหนุ่มคนนี้ใบหน้างดงามดดุจสตรีจริงๆ มิน่านายน้อยของพวกเขาถึงได้หลงเข้าใจผิดไป
“ขอไถ่ถามชื่อแซ่ของคุณชายได้หรือไม่?”
เย่เจวี๋ยเอ่ยปากถามขึ้น
“อวิ๋นชิงไป๋”
อวิ๋นชิงเหยากล่าวตอบน้ำเสียงเรียบเฉย
พอได้ยินชื่อนี้กูรู้เลยว่านี่มันชื่อของผู้ชาย แน่นอนว่าเป็นชื่อปลอมอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นนั้นแล้วเย่เจวี๋ยก็หาได้จำชื่อนี้เข้ามาใส่ใจ
รถม้าดังกล่าวราวกับกองคาราวานขนาดย่อม ตัวรถม้าประดับประดาลวดลายหรูโดยช่างฝีมือประณีต มีม้าที่ลากจูงทั้งหมดแปดตัว และบนหลังม้าแต่ละตัวมีบุรุษใบหน้าขึงขังกระชับอาวุธแขวนที่เอว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นคนคุมรถม้า
เย่เจวี๋ยเหลือบหางตามองไปที่อวิ๋นชิงเหยาอีกครา รู้สึกราวกับว่าตนเองเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างได้แล้ว
เย่เจวี๋ยและพรรคพวกเดินตามอวิ๋นชิงเหยาขึ้นรถม้าไป เชกเช่นเดียวกับเย่เจวี๋ยที่มีเจ้ากุ้งแห้งและสามพี่น้องเคียงข้างกาย เพราะข้างกายของนางเองก็มีสาวรับใช้ใบหน้าสะสวยสองคนเดินตามติดเช่นกัน พินิจจากลมหายใจ พวกนางมีพลังอยู่ที่อาณาจักรนภาม่วงกันทั้งคู่
พวกเขาทั้งแปดนั่งอยู่ในรถม้าเกวียนเดียว แขนของพวกเขามีชนกันบ้างเล็กน้อย และดูแออัดอยู่บ้าง
ทันทีทันใด เย่เจวี๋ยพลันเกิดข้อสงสัยขึ้นมาอีกครั้งภายในใจ สำหรับอวิ๋นชิงเหยาแล้ว พวกเขาถือได้ว่าเป็นคนแปลกหน้า เพิ่งพานพบกันครั้งแรกก็ถึงขั้นเชิญให้ร่วมเดินทางไปด้วยกันแล้ว ทั้งๆที่มีเหตุผลเพียงข้อเดียวคือ ทั้งหมดมีจุดหมายปลายทางเหมือนกันเท่านั้น? พลางเห็นเย่เจวี๋ยนั่งนิ่งสงสัย อวิ๋นชิงเหยาก็เหลือบมองสวนกลับไปราวกับนางมองผ่านอ่านความคิดของเขาออก
“พวกเจ้าปราศจากพาหนะหรือเครื่องรางเดินทางกระมัง? ถึงเลือกที่จะเดินเท้าไปยังทวีปตะวันออก ถ้าเช่นนั้นจริงร่วมเดินทางกับเรานับว่าไม่เสียหายอะไร”
“เช่นนั้นต้องขอบพระคุณคุณชายแล้ว”
เย่เจวี๋ยรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย พลางหันไปมองเจ้ากุ้งแห้งกับสามพี่น้องสีหน้าเฉยเมย ซึ่งทั้งสี่ก็เข้าใจได้ในทันทีและรับหันมาประสานมือขอบคุณอวิ๋นชิงเหยา
อวิ๋นชิงเหยาพยักหน้าตอบแต่หาได้กล่าวอันใดอีกไม่ นางเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าอย่างเงียบงัน ส่วนเจ้ากุ้งแห้งกับสามพี่น้องก็เหม่อลอยไปครู่ใหญ่ เหลือบมองนางเป็นระยะพลางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ หากอวิ๋นชิงไป๋ผู้นี้เกิดมาเป็นสตรีจริง นางคงต้องกลายมาเป็นหญิงงามหาที่เปรียบไม่
อย่างไรก็ตาม เย่เจวี๋ยก็หาได้พูดพร่ำเอ่ยกล่าวอะไร ทั้งแปดคนนั่งเงียบเข้ามุมส่วนตัวของตัวเอง บรรยากาศภายในรถม้าพลันเงียบลงชั่วขณะ
ยามนี้เย่เจวี๋ยรู้สึกน่าเบื่อเป็นอย่างยิ่ง จึงค่อยๆหลับตาลงเพื่อพักผ่อน
พลางครุ่นคิดไปว่า ตนเองน่าจะทราบถึงฐานะของสตรีนางนี้แล้ว หาใช่บุคคลชนชั้นธรรมดาทั่วไปอย่างแน่แท้ ทั้งสิ่งของรอบตัว ทั้งบุคลิกอันดูเยือกเย็นเร้นแฝงไปด้วยอากัปกิริยาอันทรงสง่า กลิ่นอายบารมียังดูสูงส่งจนน่าประหลาด ยิ่งไปกว่านั้นสาวรับใช้ข้างกายของนางยังเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรนภาม่วง พอเห็นเช่นนี้จึงต้องย้อนกลับไปถามทันที นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า แม้แต่คนใช้ของตระกูลนางยังมีระดับพลังสูงปานนี้ สรุปได้ทันทีว่า หากอวิ๋นชิงไป๋คนนี้หาใช่บุตรสาวของพวกขุนนางชั้นสูง นางก็ควรจะเป็น...องค์หญิงของราชวงศ์ใดราชวงศ์วงหนึ่งแน่นอน!
ซึ่งแซ่สกุลของนางก็ดันเหมือนกับแคว้นอวิ๋นพอดี ไม่แน่ว่านางอาจจะเป็นองค์หญิงของราชวงศ์อวิ๋นแห่งแคว้นอวิ๋นก็เป็นได้
แต่เหตุใดนางถึงต้องซ่อนตัวตนที่แท้จริงกัน? นี่ควรจะต้องมีคำอธิบาย หรืออาจเป็นเพราะนางไม่ต้องการตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น เหตุผลนี้ก็ดูจะเข้าท่า
ในเวลานี้เอง อวิ๋นชิงเหยาที่เฝ้ามองทิศทัศน์ผ่านหน้าต่างมาโดยตลอด ก็พลันหันกลับมามองเย่เจวี๋ยด้วยสายตาคู่นั้นที่แสนเรียบเฉย แต่ทว่าเร้นแฝงความหมายที่ไม่ชัดเจนเอาไว้หนึ่งส่วน
“คุณชายอวิ๋นรบกวนเล่าเรื่องการสอบคัดเลือกในทวีปตะวันออกให้พวกเราฟังได้หรือไม่? พวกเราเพียงได้ยินมาแค่เล็กน้อยเท่านั้น แท้จริงแล้วกลับไม่รู้รายละเอียดมากนักแล”
เย่เจวี๋ยหาได้รู้สึกประหม่าที่โดนอีกฝ่ายจับจ้องแม้แต่น้อย ขนาดสายตาคู่คมกริบที่สาดส่องมาของนาง เขายังไม่หลบเลี่ยงเลย
“การสอบคัดเลือกในทวีปตะวันออกมีผู้ได้รับเลือกเพียงร้อยคนเท่านั้นในแต่ละคราว และจะมีแค่ยี่สิบคนเท่านั้นที่จะผ่านการทดสอบ ทว่าในความเป็นจริงกลับโหดร้ายกว่านั้นยิ่ง เพราะมีไม่ถึงเจ็ดสิบคนด้วยซ้ำที่สามารถเดินทางไปถึงการสอบคัดเลือกในทวีปตะวันออก กล่าวคือ เส้นทางไปยังทวีปตะวันออกล้วนมีภัยอันตรายทุกรูปแบบ มิฉะนั้นข้าคงไม่เมตตาพาพวกเจ้ามาด้วยเช่นนี้แน่นอน ผนวกกับระดับพลังของพวกเจ้าก็มิแย่ น่าจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้”
อวิ๋นชิงเหยากล่าวน้ำเสียงดูเย็นชาหาได้แยแสไม่
ความหมายในคำกล่าวของอวิ๋นชิงเหยาค่อนข้างชัดเจนมากแล้ว เส้นทางไปสู่ทวีปแตะวันออกอันแสนห่างไกลล้วนเต็มไปด้วยภัยอันตรายมากมาย การที่นางเชิญเย่เจวี๋ยและคนอื่นๆให้ร่วมเดินทางเช่นนี้ เป็นเพราะต้องการให้พวกเขาร่วมแรงร่วมใจช่วยกันในยามเกิดวิกฤติ ด้วยวิธีนี้แล้ว ถือเป็นการเสริมกำลังทัพสำหรับการเดินทางเที่ยวนี้ได้เป็นอย่างดี
“เช่นนั้นแล้ว หลังจากพวกเราไปถึงทวีปตะวันออก พวกเราคงต้องแยกย้ายกันแล้วกระมัง?”
คติประจำใจของเย่เจวี๋ยกล่าวว่า ไม่มีคนดีที่แท้จริงบนผืนพิภพแห่งนี้ แม้สิ่งที่นางพูดออกมาดูจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ท้ายที่สุดนางก็แอบหวังใช้ประโยชน์จากพวกเขาเช่นกัน และมิอาจทราบได้เลยว่า หลังจากไปถึงพวกนางจะตลบหลังเขาหรือไม่
“แน่นอน”
อวิ๋นชิงเหยากล่าวเสริมต่อว่า
“หากพบกันอีกคราในการทดสอบ คงไม่จำเป็นต้องเห็นอกเห็นใจกันอีก”
ดั่งเช่นตามที่นางกล่าว เย่เจวี๋ยหาได้ปริปากอันใดตอบพร้อมหลับตาลงเพื่อพักผ่อนต่อทันที ส่วนทางด้านเจ้ากุ้งแห้งกับสามพี่น้องได้แต่นั่งนิ่งไม่กล้าเอ่ยกล่าวใดๆ เรื่องนี้ถึงขั้นนายน้อยออกโรงพูดเอง เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง
ถนนเส้นนี้ทางเป็นหลุมเป็นบ่อหนัก แม้ว่ารถม้าจะมีสั่นสะเทือนบ้างเป็นระยะ แต่ยังไงก็ยังเร็วกว่าเดินเท้าแน่นอน
ขณะที่รถม้าดำเนินไปได้ตลอดทางยาว ทันใดนั้นจู่ๆพลันต้องหยุดชะงักลงทันใด
“ไฉนถึงหยุดล่ะ?”
เจ้ากุ้งแห้งรีบยืนคอออกไปไถ่ถามเหล่าคนคุมรถม้าทันที
“คุณชาย ด้านหน้าเรางมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งดักไว้”
ดูราวดับคนคุมรถม้าจะไม่ได้ยินเสียงของเจ้ากุ้งแห้งเลย และหันมารายงานกับอวิ๋นชิงเหยาแทน ส่วนเจ้ากุ้งแห้งที่เห็นแบบนั้นพลันรู้สึกหดหู่ใจเล็กๆ
“พวกเราคงไปดูกันหน่อยเถอะ”
อวิ๋นซินเหยากล่าวจบก็เดินลงจากรถม้าทันที หลังจากนั้นก็เป็นเย่เจวี๋ยและพรรคพวกของเขาเดินตามลงมาติดๆ
เบื้องหน้าปรากฏเพียงม้าหลายสิบตัวกำลังริมจิบแทะหญ้าอยู่ข้างป่า ปรากฏเกวียนรถม้าลวดลายหรูหราคันหนึ่งจอดกลางถนนอยู่ ซึ่งมันขวางเส้นทางของพวกเย่เจวี๋ยที่กำลังจะไปต่อ ดังนั้นคนคุมรถม้าจึงจำเป็นต้องหยุด
ทั้งนี้ยังมีทหารอีกหลายสิบนาย ใบหน้าของแต่ละคนดูขึงขันเย็นชาอย่างยิ่งกำลังยืนล้อมรถม้าของพวกเย่เจวี๋ยอย่างระมัดระวัง แสงประกายสาดสะท้อนออกจากคมดาบสีเย็นดูน่าสะพรึง ดูตื่นตัวยิ่งราวกับสามารถพุ่งเข้าโจมตีได้ทุกเมื่อ
“พวกเรากำลังเดินทางไปทวีปตะวันออก เพื่อเข้าร่วมการทดสอบ เช่นนั้นข้าขอทางหน่อยได้หรือไม่?”
อวิ๋นชิงเหยาดกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมแต่คงไว้ซึ่งความสง่าสูงศักดิ์
“โอ้...?”
ในเวลานั้นเอง สุ้มเสียงร้องอุทานฟังดูน่าสนใจก็ดังขึ้นจากในรถม้าคันหรูหรา ม่านคุมรถม้าค่อยๆถูกแหวกออกมา ปรากฏเป็นใบหน้าอันหล่อเหลาของบุรุษชายคนหนึ่ง สวมชุดอาภรณ์ช่างหรูหรา แค่ปรายตามองก็ทราบได้ว่า เป็นบุคคลสำคัญ
เมื่อเห็นฉู่เทียนเดินลงมาจากรถม้า เหล่าทหารที่กระชับถืออาวุธครบมือก็รีบหลีกทางให้ทันที
ทว่าพวกเขาเหล่านี้ยังคงจับจ้องเย่เจวี๋ย อวิ๋ชิงเหยาและคนอื่นๆไม่ห่างตา เสมือนกับว่าหากเกิดอะไรขึ้นพวกเขาจะพุ่งเข้าจู่โจมทันที
“บังเอิญมาก ข้าเองก็กำลังเดินทางไปสอบคัดเลือกที่ทวีปตะวันออกเช่นกัน”
ฉู่เทียนกวาดสายตามองเย่เจวี๋ยและคนอื่นๆอยู่ครู่หนึ่งอย่างเฉยเมย มุมปากของเขาพลันกระตุกเชิดขึ้นดูท่าทางจะสนใจ
องค์รัชทายาทงั้นรึ? คล้อยหลังที่อวิ๋นชิงเหยาเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง นางก็สังเกตเห็นลวดลายบนรถม้า นี่เป็นของพวกราชวงศ์ฉู่แห่งแคว้นฉู่ไม่มีผิด ทางด้านเจ้ากุ้งแห้งกับสามพี่น้องได้แต่ยืนอึ้ง วันนี้พวกเขาพบเจอแต่กับอะไรก็ไม่รู้ ชายหนุ่มหน้าสวยที่ดูท่าจะเป็นพวกชนชั้นสูง พอมาตอนนี้ก็เป็นองค์ชายรัชทายาท พวกเขาเคยพบเคยเจอกับบุคคลฐานะสูงส่งขนาดนี้ที่ไหนกัน? นับเป็นครั้งแรกในชีวิตอย่างแท้จริง!
ส่วนเย่เจวี๋ยหาได้ใส่ใจใดๆไม่ สำหรับเขาแล้วแม้แต่ต่อให้เป็นกษัตริย์แผ่นดินก็ยังไม่อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
ปฏิกิริยาที่ดูตื่นตกใจของทุกคนทำให้ฉู่เทียนที่เฝ้าสังเกตอยู่พึงพอใจอย่างยิ่ง แต่ทันใดนั้นเขาก็พลันหรี่ตาเล็กลงทันทีเจือหงุดหงิด เมื่อเหลือบสายตาไปมองเย่เจวี๋ย มีเพียงชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาวคนนี้เท่านั้นที่ดูจะไม่ตื่นเต้นตกใจอะไรเลย ในทางตรงข้ามกลับกล้าจับจ้องเขาผู้นี้ด้วยสายตาแสนเฉยเมย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สนใจเดินทางด้วยกันหรือไม่?”
เป็นฉู่เทียนที่ยื่นข้อเสนอให้ก่อน
“หลินไค เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”
อวิ๋นชิงเหยาหาได้รีบเอ่ยปากตอบ แต่กลับหันมาไถ่ถามความเห็นของเย่เจวี๋ยก่อน แน่นอนว่านางย่อมต้องเต็มใจตอบรับคำเชิญนี้ ยิ่งมีกำลังคนมากเท่าไหร่การมุ่งสู่ทวีปตะวันออกก็ยิ่งราบรื่นมากขึ้นเท่านั้น
“เช่นนั้นร่วมเดินทางด้วยกันเถิด”
เย่เจวี๋ยกล่าวตอบท่าทีสบายๆ คล้อยหลังกล่าวจบเขาก็หมุนตัวกลับขึ้นรถม้าทันที ไม่แม้แต่แลเหลียวฉู่เทียนเลยด้วยซ้ำ ทางด้านเจ้ากุ้งแห้งกับสามพี่น้องรีบติดตามนายน้อยขึ้นไป คำกล่าวของนายน้อยพวกเขานับเป็นคำตอบชัดแจ้งดีแล้ว
“หากเช่นนั้น ก็เอาดั่งว่าก็แล้วกัน รบกวนองค์รัชทายาทฉู่แล้ว”
อวิ๋งชิงเหยาจับจ้องไปที่ฉู่เทียนพร้อมกล่าวน้ำเสียงสุภาพ จากนั้นค่อยเดินกลับขึ้นรถม้าไป
ทว่าฉู่เทียนหาได้สนใจนางเลย ทว่ากลับจับจ้องเย่เจวี๋ยตาเขม็งด้วยความหงุดหงิด ตัวเขาผู้นี้เป็นถึงองค์ชายแห่งแคว้นฉู่ ตั้งแต่เกิดมาจวบจนบัดนี้ ตัวเขาไม่เคยถูกพูดใดกล่าวห้วนไร้หางเสียงและถูกเมินแบบนี้มาก่อน หลังจากเย่เจวี๋ยและอวิ๋งชิงเหยาเดินขึ้นรถม้าไป มุมปากของฉู่เทียนพลันกระตุกยิ้มเหี้ยมขึ้นทันใด
คนไร้การสั่งสอนเช่นนี้มักมีให้เห็นกันทั่วผืนพิภพ ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำหารู้จักไม่ และจุดจบของคนพวกนี้ล้วนไม่ต่างกัน
และจุดประสงค์ที่แท้จริงของฉู่เทียนที่เชื้อเชิญอวิ๋งชิงเหยาและคนอื่นๆให้ร่วมเดินทางด้วยกันนี้ ก็หาใช่เพราะต้องการช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างทาง เนื่องด้วยผู้ที่ได้รับป้ายตราสิทธิ์เข้าทดสอบมีเพียงร้อยคนเท่านั้น และบรรดาผู้มีคุณสมบัติได้รับป้ายตราดังกล่าวล้วนมีความสามารถและแกร่งกล้าทั้งสิ้น ดังนั้นยิ่งสามารถลดจำนวนระหว่างทางได้มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อเขามากขึ้นเท่านั้น
เหตุใดคนที่รอดชีวิตไปถึงการสอบคัดเลือกในทวีปตะวันออกถึงมีมีไม่ถึงเจ็ดสิบคนน่ะรึ? เหตุผลข้อหลักๆหาใช่เพราะเส้นทางเต็มไปด้วยภัยอันตราย แต่เป็นเพราะจิตใจอันชั่วช้าของอีกสามสิบคนที่เหลือที่คิดจะกำจัดเสี้ยนหนามออกไปต่างหาก