ตอนที่30 เดินทาง
ตอนที่30 เดินทาง
สามวันต่อมา เย่เจวี๋ยช่วยซ่อมแซมเรือนตำหนักหลังสุดท้ายเกือบจะเสร็จสมบูรณ์พอดี ยามนี้กำลังเตรียมพร้อมออกเดินทาง
ทางด้านเจ้ากุ้งแห้งเองก็กำลังจัดเตรียมเสบียงสำหรับสองที่ให้พร้อม รีบเข้านอนเพราะต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ แน่นอนว่าเจ้ากุ้งแห้งรู้สึกตื่นอกตื่นเต้นอย่างยิ่งจนนอนไม่หลับ ตนกำลังจะเดินออกเดินทางสู่โลกกว้างไปพร้อมกับนายน้อยแล้ว
วันต่อมา ทั่วทั้งเมืองต่างทราบถึงข่าวที่ทั้งสองกำลังจะเดินทางจากเมืองแห่งนี้ไป เพื่อเข้าสอบตัดเลือกในทวีปตะวันออก ผู้คนทั่วทั้งเมืองรวมไปถึงบรรดาสมาชิกตระกูลเย่ทุกคนต่างน้อมส่ง ต่อหน้าตระกูลเย่ในปัจจุบันเหล่าตระกูลน้อยใหญ่ภายในเมืองกลับไม่ต่างอะไรจากมดปลวก ย่อมเป็นธรรมดาที่ทุกคนอยากเข้าประจบสอพอเย่เจวี๋ยก่อนจะจากลา ยามนี้เขากลายมาเป็นตำนานที่ผู้คนช่างชื่นชมประจำเมืองหลงเยวี่ยไปแล้ว
“นายน้อยเย่ นี่เป็นสมบัติประจำตระกูลเรา พวกเราขอมอบแหวนมังกรทองคำบริสุทธิ์ให้ ใส่อวดอ้างบนท้องถนนไม่ว่าผู้ใดต่างต้องทราบว่าเป็นคนมีฐานะ”
คนที่เคยเยาะเย้ยเย่เจวี๋ยในอดีตยามนี้รีบวิ่งตรงเข้ามามอบแหวนมังกรสีม่วงทองให้ ราวกับเย่เจวี๋ยเป็นโคตรบรรพบุรุษที่เขาต้องเคารพ หลังจากนั้นก็มีผู้คนอีกมากมายแห่เข้ามามอบสมบัติติดไม้ติดมืออีกนับไม่ถ้วนแก่เย่เจวี๋ย
“นายน้อยเย่ นี่เป็นมรดกตกทอดของตระกูลเรา มีเพียงท่านเท่านั้นที่มีคุณสมบัติคู่ควรพอ โปรดรับมันไว้ด้วยเถิด อ่อ...ข้ามีนามว่าเล่ยเฟิง”
ชายหนุ่มคนหนึ่งยื่นแหวนเพชรเม็ดโตเปล่งแสงสุกสกาวให้กับเย่เจวี๋ย
“นายน้อยเย่ สิ่งของที่เล่งเฟิงมอบให้นับว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับของข้า นี่คือสมบัติประจำตระกูลของเรา โปรดรับไว้ด้วยเถิด...”
………
เย่เจวี๋ยกวาดสายตามองสิ่งของเหล่านั้น โดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นสมบัติประจำของแต่ละตระกูล แต่ไม่มีชิ้นไหนที่น่าสนใจแม้สักนิด จนขี้เกียจหยิบขึ้นมาดูให้เสียเวลา เช่นนั้นจึงสั่งให้เจ้ากุ้งแห้งรับแทนไป
“นายน้อย มันมีมากเกินไป ข้า...ข้าแบกไม่ไหวแล้ว!”
ผ่านไปไม่นาน ห่อผ้าที่เจ้ากุ้งแห้งสะพายด้านหลังก็พองอ้วนขึ้น ราวกับร่างสูบผอมเสมือนไม้จิ้มฟันกำลังแบกก้อนหินยักษ์อยู่อย่างใดอย่างนั้น
“เช่นนั้นข้าไม่เอาแล้ว ไปกันเถอะ”
เย่เจวี๋ยกล่าวเสียงเรียบเป็นคำตอบ สะบัดแขนเสื้อโบกสะบัดเดินหันหลังและจากออกไปโดยตรง
แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากมายแห่กับแหกปากตะโกนเรียก โปรดให้เย่เจวี๋ยรับของมีค่าของพวกเขาด้วยเถิด
เย่เจวี๊ยขมวดคิ้ว เบนหน้าหาได้สนใจไม่
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าจากระยะไกลพลันดังกึกก้องขึ้นมา เหล่าลูกหลานตระกูลเย่กลุ่มใหญ่วิ่งเข้ามา ผลักบรรดาฝูงชนที่แห่แหนเข้ามารุมล้อมเย่เจวี๋ยและเจ้ากุ้งแห้งออกไป ซึ่งแต่ละคนล้วนอยู่ในอาณาจักรนภาม่วง แล้วมีหรือที่พวกผู้คนจะกล้าขัดขืน?
“เจวี๋ยเอ๋อ”
จากนั้นพลันปรากฏเป็นเย่ชิงฉงที่เดินเข้ามาฝ่ากลางฝูงชนที่ถูกผลักออกไป แต่ละย่างก้าวช่างมั่นคงดุจหุบเขาไท่ซาน ใบหน้าแข็งกร้าวราวกับเหล็กกล้า ทั่วอณูกายาแผ่รัศมีกลิ่นอายแห่งอาณาจักรปราณเคียงฟ้าสะบัดสารทิศ ทุกคนล้วนแต่ต้องร่นถอยออกไปด้วยความกลัวเกรง ณ ตอนนี้ปราศจากเสียงอึกทึกครึกโครมอันใดอีกต่อไป รอบด้านทั่วทิศพลันเงียบสงัดลง
“ท่านปู่”
เย่เจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ เย่ชิงฉงหาใช่บอกว่า ตนอนุญาตให้เขาออกเดินทางมิใช่รึ? และเขาก็พูดเองว่าไม่สามารถมาส่งได้เนื่องด้วยติดธุระบางอย่าง แต่ที่ปราฏตัวมาเช่นนี้มีเหตุกะไร?
“แค่นี้ก็แบกไม่ไหวแล้วรึ?”
เย่ชิงฉงเหลือบมองเจ้ากุ้งแห้งที่ตัวสั่นเทาด้วยแววตาแสนเคร่งขรึม
“ข้าน้อย...ข้าน้อย...”
จู่ๆเจ้ากุ้งแห้งพลันรู้สึกผวาขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว ต่อหน้าท่านประมุขตระกูลเย่แบบนี้ ตัวเขามิอาจแสดงความอ่อนแอให้เห็นได้
“หากแบกไม่ไหว เช่นนั้นก็จงใช้แหวนมิติวงนี้เถิด”
เย่ชิงฉงกล่าวน้ำเสียงเรียบพร้อมยื่นมือแบออกตรงหน้าทั้งสอง บนฝ่ามือปรากฏเป็นแหวนสีครามลวดลายอัสนีบาตรสีม่วงอยู่รายลอบ หน้าแหวนกอปรเป็นไพลินบริสุทธิ์โปร่งแสงเม็ดงาม ต่อให้ดูจากระยะไกลก็รู้ว่าทรงคุณค่าเพียงใด
“นี่คือ...สมบัติล้ำค่าประจำตระกูลเรามิใช่รึ!?”
ทันใดนั้น เหล่าบรรดาลูกหลานตระกูลเย่ต่างร้องอุทานดังลั่นด้วยความประหลดใจยิ่งยวด
ทันทีที่เห็นแหวนวงนี้ ดวงตาของเย่เจวี๋ยพลันเปล่งประกายขึ้นทันทีด้วยความสุขใจ
นี่คือหนึ่งในเครื่องรางที่ตัวเขาจักรพรรดิเทพสายฟ้าในชีวิตก่อนหน้าเคยสวมใส่ แหวนอัสนีพิสุทธิ์ นี่เป็นเครื่องรางแขนงแหวนที่สหายสนิทของเขาเคยมอบให้เอาไว้ ภายในถูกสลักด้วยอาคมศาสตร์อัสนีสุดแกร่งกล้า ห้วงมิติเก็บของภายในผันแปรตามความแข็งแกร่งของผู้สวมใส่
คิดไม่ถึงเลยว่าตระกูลเย่จะเก็บรักษาแหวนวงนี้ไว้ด้วย
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งท่านปู่”
เย่เจวี๋ยรีบเร่งประสานมือขอบคุณและหยิบแหวนในมือจากเย่ชิงฉงเข้าสวมทันที บัดเดียวกันมิอาจทราบว่าเป็นความตั้งใจหรือไม่
ทันใดนั้นถุงเก็บของก้อนมหึมาที่เจ้ากุ้งแห้งสะพายแบกอยู่กลางหลังพลันหายวันในพริบตาเดียว
“เอ๋? แล้วของไปไหนหมดแล้วขอรับ?!”
เจ้ากุ้งแห้งรีบยกมือลูบหลังตรวจสอบทันใด
“อยู่นี่หมดแล้ว”
เย่เจวี๋ยคลี่ยิ้มเล็กน้อยพร้อมชูแหวนบนนิ้วขึ้นมา
“หรือว่าจะเป็นแหวนมิติในตำนานที่เล่าขานกันจริงๆ ของวิเศษโดยแท้!”
เจ้ากุ้งแห้งถึบกังเบิกตาโตด้วยความตื่นตะลึง เสมือนไอ้หนุ่มที่เพิ่งแอบดูหญิงสาวอาบน้ำครั้งแรกก็มิปาน
“หุหุหุ...”
เย่ชิงฉงพลันลูบเคราสีขาวยาวของตนเองพลางหัวเราะด้วยความพึงพอใจยิ่ง
“อย่างไรเสียไม่ควรชักช้าอีกต่อไป พวกเราขอลา”
พอเย่เจวี๋ยกล่าวจบ เขาก็หยิบขนนกที่ได้จากเผ่ามารปักษาส่งให้เย่ชิงฉงและกล่าวน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า
“สิ่งนี้เรียกว่า สัญญาพิธีกรรม ยอดยุทธ์อาณาจักรปราณฟ้าถ่องแท้ได้มอบให้ข้าไว้ หากยามใดที่ตระกูลเย่ของเราเกิดภัยหายนะขึ้นในอนาคต จงเผาขนนกชิ้นนี้เพื่อเรียกกำลังเสริมมาช่วยเหลือ”
เย่ชิงฉิงพยักหน้าพร้อมรับไว้
เย่เจวี๋ยโบกมืออำลาอย่างเป็นทางการ พาเจ้ากุ้งแห่งออกเดินทางออกไปผ่านประตูเมืองหลงเยวี่ย ภายใต้ทุกสายตาที่จับจ้องไม่เว้นแม้แต่ลูกเล็กเด็กแดงภายในเมือง เย่เจวี๋ยเหลียวหน้ากลับมาแวบหนึ่งพร้อมตะโกนเสียงดังลั่นส่งผ่านสายลมไปว่า
“สิ่งของที่พวกท่านทุกคนนำมา โปรดมอบให้แก่ท่านปู่ข้าแทนเถิด แล้วถ้าหากพวกท่านมีปัญหาอันใด จงเดินทางไปยังตระกูลเพื่อขอความช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ!”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนส่งท้ายแบบนั้น บรรดาผู้คนที่นำสิ่งของมามอบให้ต่างก็ดีอกดีใจกันอย่างมาก การที่เย่เจวี๋ยรับปากเองเป็นการส่วนตัวเช่นนี้นับว่าเพียงพอแล้ว ไม่เสียแรงที่พวกเขายกสมบัติล้ำค่าให้จริงๆ
คล้อยหลังออกจากเมืองได้ไม่นาน ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้ารีบวิ่งเข้ามาหาอย่างร้อนใจ ฝุ่นควันตลบอบอวน ปรากฏเป็นเงาของชายสามคนพุ่งพรวดตรงเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าเย่เจวี๋ย เอ่ยปากกล่าวขึ้นโดยพร้อมเพรียงเป็นเสียงเดียวกันว่า
“พวกเราได้ยินว่า นายน้อยกำลังจะเดินทางไปสอบคัดเลือกที่ทวีปตะวันออก พวกเราสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซาน ขอสาบานว่าจะติดตามรับใช้นายน้อยจวบจนวันตาย! ให้พวกเราไปด้วยเถิด! ต่อให้ต้องบุกน้ำบุกไฟพวกเราล้วนเต็มใจ!”
สามวันมานี้สามพี่น้องมาสาเข้ามาช่วยเหลือซ่อมแซมเรือนตำหนักที่พังลงไปของตระกูลเย่เช่นกัน กล่าวได้เลยว่า พวกเขาทำงานหนักที่สุดแล้วในบรรดาทั้งหมด ดังนั้นเย่เจวี๋ยจึงสั่งให้พวกเขาเข้าป่ากลับบ้านไปพักผ่อนได้ตามสบาย ถึงขนาดนอนสลบไสลกันตลอดทั้งคืน แต่พอตื่นขึ้นมาแล้วได้ยินว่า เย่เจวี๋ยกำลังจะออกเดินทางเช้าวันนี้แล้ว พวกเขาก็รีบตั้งหน้าตั้งตาวิ่งเตลิดกันออกมาด้วยความรีบร้อนสุดขีด
“อืม หากต้องการเช่นนั้นก็ลุกขึ้นเถิด ไปด้วยกันนี่แหละ”
เย่เจวี๋ยก็ไม่ได้สนใจอะไร จึงกล่าวตอบไปตามตรง อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่มีสายเลือดของตระกูลไท่กู่เหล่ย อยู่กับตระกูลเย่ต่อไปก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์ สู้พามาด้วยกันคงดีกว่า
“ขอรับ!”
เมื่อเห็นเย่เจวี๋ยกล่าวตอบเห็นด้วย พวกเขาทั้งสามก็ดูดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
เส้นทางมุ่งหน้าไปยังทวีปตะวันออกค่อนข้างไกลอย่างยิ่ง ทั้งเย่เจวี๋ยและคนอื่นๆไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้เดินทางใดๆ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินเท้าเปล่าเท่านั้น ระหว่างทางไม่นานพวกเขาก็หยุดพักผ่อนกันสักครู่ใหญ่ เนื่องจากสามพี่น้องรีบวิ่งมาหาเย่เจวี๋ยจัดจนลืมทานอาหารเช้า เย่เจวี๋ยที่สังเกตเห็นมายะยะหนึ่งแล้วว่า ทั้งสามหิวจนตาลายจนอาสาบอกให้หยุดพักระหว่างทางก่อน มิเช่นนั้นหมดแรงกันตายก่อนไปถึงเป็นแน่
“นายน้อย พวกเราต้องใช้เวลาเท่าใดรึกว่าจะถึงทวีปตะวันออก?”
สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยิบซายออกไปล่ากระต่ายป่ามาย่างกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนเจ้ากุ้งแห้งก็นั่งพักใกล้ๆเย่เจวี๋ย สบโอกาสจึงเอ่ยถามขึ้นมา
“เห็นหุบเขาลูกนั้นหรือไม่?”
เย่เจวี๋ยยื่นมือชี้นออกนิ้วออกไป
เจ้ากุ้งแห่งรีบแหงนมองตาทิศทางที่เย่เจวี๋ยชี้ไป พลางเห็นเป็นภูเขาสูงชันตระหง่านไกล และหากเมื่อพินิจจากความสูงชันนั้นแล้ว เจ้ากุ้งแห้งถึงกับหวั่นใจว่า พวกตนจะปีนข้ามกันไหวหรือไม่
“โอ้...ข้ามหุบเขาลูกนั้นเสร็จก็ถึงทวีปตะวันออกแล้วรึขอรับ?”
“อืม พอข้ามเสร็จเดินเท้าอีกประมาณแปดหมื่นลี้ก็น่าจะถึงแล้ว”
“ปะ-แปดหมื่นลี้...”
เจ้ากุ้งแห้งถึงกับนับนิ้วคำนวณกันตาลาย หากปราศจากเครื่องรางเดินทางเฉกเช่น เรือเหาะ ใช้เวลาปีครึ่งยังไม่รู้เลยว่าถึงรึเปล่า
“นายน้อย เจ้ากุ้งแห้ง มากินด้วยกันสิ”
ไม่นานนัก สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานที่กำลังสุมไฟย่างกระต่ายป่าอีกหลายตัวก็ตะโตนเรียก พอกระต่ายป่าพวกนี้ถูกย่างจนสุกแล้ว กลิ่นหอมโชยออกมาอย่าบอกใครเชียว
...........
หลังจากพวกเขาทั้งห้านั่งกินกระต่ายป่ากันจนอิ่ม พวกเขาก็เริ่มเดินทางไปยังหุบเขาดังกล่าว ซึ่งวิธีที่เร็วที่สุดในการลัดหุบเขาไปคือการปีกป่ายข้ามกันตรงๆ อาศัยระดับพลังความแกร่งกล้าของพวกเขาย่อมหาใช่ปัญหา แต่อย่างไร ผืนพิภพภายนอกมักอันตรายกว่าที่คิก ระหว่างปีนป่าย หากมีสัตว์อสูรบุกเข้ามาจู่โจมขึ้นมาจะทำอย่างไร? ผลัดตกเขาไปไม่ตายก็พิการตลอดชีพแน่นอน ดังนั้นพวกเย่เจวี๋ยต้องใช้วิธีเดินขึ้นเขาค่อยๆลัดเลาะไปเท่านั้น
เย่เจวี๋ยและพรรคพวกเดินป่าอยู่ครึ่งค่อนวัน ภายในป่าแห่งนี้มีต้นไม้พฤกษานานาพันธุ์สูงตระหง่าน แผ่กิ่งก้านสาขาดูร่มรื่นเขียวชอุ่ม บางครั้นบางครามีสุ้มเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังกึกก้องเป็นระยะ ผืนดินมีบุปผาและสมุนพรแปลกตาอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
เจ้ากุ้งแห้งมองซ้ายแลขวาไม่หยุดราวกับบ้านนอกเข้ากรุง ยุทธจักรภายนอกเช่นนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อนสักครั้ง เมื่อเทียบกับเขาแล้ว เย่เจวี๋ยกับสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานดูสงบนิ่งกว่ามาก ถึงอย่างไรหาใช่ว่าพวกเขาวางมาด แต่พวกเขากำลังเฝ้าระวังภัยรอบด้านที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่ออยู่ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ ย่อมมีภัยอันตรายที่คาดไม่ถึงซุกซ้อนอยู่เป็นธรรมดา ดังนั้นหากไม่ระมัดระวังตัวให้มาก อาจตายไม่รู้ตัวได้
ในป่าบนหุบเขาสูงเช่นนี้มีเส้นทางการเดินที่คดเคี้ยวยิ่ง แต่น่าแปลกตรงที่ว่า เส้นทางที่พวกเขายืนอยู่กลับปราศจากต้นไม้ใบหญ้าปกคลุมราวกับมีคนเคยเข้ามาและเคยใช้เส้นทางนี้มาก่อน ซึ่งเย่เจวี๋ยและบรรดาพรรคพวกก็เดินตามเส้นทางนี้ไปเช่นกัน และตลอดทางยาวไร้ซึ่งสัตว์อสูรซุ่มโจตี พวกเขาเดินทางผ่านมาได้อย่างราบรื่น
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ต้องมีคนเคยใช้เส้นทางนี้อยู่บ่อยครั้งภายในป่า
ในตอนนั้นเอง พลันปรากฏกลุ่มทหารและม้าเกวียนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ดูเหมือนจะเป็นขบวนสินค้าคาราวานที่กำลังพักระหว่างทางอยู่ พวกเย่เจวี๋ยเห็นดังนั้นจึงเดินตรงเข้าไปหาทันทีหวังจะทำความรู้จักทักทาย
“ใครกัน!?”
ทันทีที่พวกเย่เจวี๋ยเดินเข้ามาใกล้ ทหารหลายคนก็เผยสีหน้าดุร้ายรีบเร่งชักดาบออกมาเข้าขวางตรงหน้าทันที สีหน้าการแสดงออกของพวกเขาเต็มไปด้วยความระมัดระแวง ซึ่งการกระทำเหล่านี้ได้เรียกความสนใจกองคาราวานอื่นจนแห่กันเดินเข้ามารุมล้อม
สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานกรนเสียงเย็นลือลั่น คว้าดาบยักษ์ที่ไขว้หลังออกมา พอพินิจกลิ่นอายของพวกคนเหล่านี้ดูท่าจะมิได้อยู่ในอาณาจักรนภาม่วง เช่นนั้นแล้วคนพวกนี้ยังมีคุณสมบัติอันใดที่จะต่อกรกับพวกเย่เจวี๋ยได้?
ในเวลาเดียวกัน ดูท่าคนพวกนี้เองก็จะสงสัยเช่นกันว่า อีกฝ่ายมีระดับพลังอยู่ที่อาณาจักรนภาม่วงหรือไม่ ถึงกระนั้นกลับหาได้แสดงท่าทีหวั่นเกรงแต่อย่างใด
“พวกเจ้าเป็นใครมาจากไหน? กำลังเดินทางไปแห่งหนใดกันรึ?”
ขณะที่เย่เจวี๋ยกำลังจะปริปากกล่าว ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มใบหน้าสวยประดุจหยกขาวกล่าวขึ้นแทรกขึ้นมา
แต่จะอย่างไร เนตรจักรพรรดิสายฟ้าของเย่เจวี๋ยนับว่าทรงพลังยิ่ง สามารถมองทะลุได้ถึงรูปร่างภายในที่ปกปิด พึงสังเกตเห็นความผิดปกติบริเวณหน้าอกที่ยื่นออกมามากเกินไป ทั้งใบหน้าและผิวพรรณงดงามขาวนวลเกินบุรุษเพศ เห็นได้ชัดแจ้งว่าคนผู้นี้เป็นผู้หญิง แต่ไฉนถึงต้องปลอมเป็นชายด้วย? แต่ตอนนี้เย่เจวี๋ยทราบดีว่ามันหาใช่โอกาสเหมาะสมที่จะเอ่ยถามออกไป
“พวกเรามาจากเมืองหลงเยวี่ย กำลังเดินทางข้ามหุบเขาลูกนี้ไปสอบคัดเลือกในทวีปตะวันออก ข้าชื่อ...หลินไค ส่วนนี่คือเจ้ากุ้งแห้ง และชายทั้งสามตรงนี้คือสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซาน นามว่า หยินต้าซง หหยินเอ๋อร์ซง และหยินซานซงตามลำดับ พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ติดตามของข้าเอง”
เจ้ากุ้งแห้งและสามพี่น้องรีบพยักหน้าเห็นด้วยทันที พอดูจากท่าทางการแสดงออกของพวกเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่า ทั้งสี่ยังมองไม่ออกว่าชายหนุ่มหน้าสวยตรงหน้าคือหญิงสาวปลอมตัวมา ซึ่งมันก็แน่นอนอยู่แล้ว นางเล่นปลอมตัวมิดชิดซะขนาดนั้น