ตอนที่29 การตื่นขึ้น
ตอนที่29 การตื่นขึ้น
เย่เจวี๋ยแจกจ่ายโอสถชนิดดังกล่าวที่มีชื่อว่า โอสถสายฟ้าที่หลอมกลั่นออกมาให้ทุกคน แต่นั้นก็ยังไม่มากเพียงพอ ยังมีสมาชิกตระกูลเย่กว่าครึ่งที่ยังไม่ได้รับโอสถสายฟ้า ดังนั้นเขาจึงเป็นต้องใช้ประโยชน์จากปรากฏการณ์วิปลาส เริ่มการหลอมกลั่นโอสถเป็นครั้งที่สอง
ตามที่หล่าวไป เย่เจวี๋ยตบโอสถฟื้นฟูพลังเข้าปากและเริ่มนั่งขัดสมาธอดูดซับในมุมสงบแห่งหนึ่ง ส่วนเหล่าลูกหลานตระกูลเย่ที่ยังไม่ได้รับโอสถและเจ้ากุ้งแห้ง ต่างจับจ้องเย่เจวี๋ยที่นั่งขัดสมาธิอยู่เพียงลำพังบนขอผาด้วยความยกย่อง
“ประสบความสำเร็จเช่นนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย นายน้อยผู้นี้ช่าบงน่าทึ่งโดยแท้!”
“ในอนาคต ข้าเองก็จะกลายมาเป็นยอดฝีมือมายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาให้ได้!”
“นั้นสิ”
เจ้ากุ้งแห้งพยักหน้าตอบ หลังจากนั้นไม่นาน เย่เจวี๋ยก็เริ่มทำการหลอมกลั่นโอสถอีกครั้ง พร้อมเดินออกมาด้วยสภาพราวกับลูกสุนัขเปียกฝน ชุดคลุมสีขาวของเขาเปียกโชกเพราะเพิ่งเดินออกจากใจกลางพายุฝนฟ้าคะนอง เจ้ากุ้งแห้งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกำลังจับจ้องภาพฉาก แววตาของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความปรารถนาที่เร้นซ่อนอยู่ในใจ
หากเขามีพลังความแกร่งกล้าเทียบเคียงนายน้อย เขาจะได้รับการชื่นชมและยกย่องเช่นนี้จากทุกคนหรือไม่?
เย่เจวี๋ยเดินตรงเข้ามาแจกจ่ายโอสถสายฟ้าให้แก่บรรดาลูกหลานตระกูลเย่คนอื่นๆ ที่ยังไม่ได้กัน
ในขณะนั้นเอง พลันปรากฏรัศมีกลิ่นอายสุดแกร่งกล้าระเบิดพรั่งพรูออกมาจากไม่ใกล้ไม่ไกล ทุกคนรีบหันควับไปยังทิศทางนั้นจนเป็นตาเดียว ปรากฏว่า เด็กหนุ่มแสนธรรมดาคนหนึ่งที่ก่อนหน้าได้รับโอสถสายฟ้าจากเย่เจวี๋ยไป ตอนนี้เขาคนนั้นทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงได้แล้วอย่างง่ายดาย!
เห็นได้ชัดว่า การที่เย่ชิงฉงสามารถปลุกสายเลือดบรรพกาลแห่งตระกูลไท่กู่เหล่ยขึ้นมาได้ ปรากฏการณ์ที่สายเลือดของรุ่นใกล้เคียงจะตื่นขึ้นก็เป็นความจริงเช่นกัน ขอเพียงต้องยกระดับสายเลือดให้ถึงเกณฑ์เสียก่อน
“นั้นเอ้อร์เนีย? ตอนแรกพลังของมันยังอยู่แค่อาณาจักก่อกายาระดับสี่เองไม่ใช่เหรอ? พอปลุกสายเลือดได้แล้ว หมอนั่นก็ทะยานขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงได้ภายในอึดใจเดียว?! เหลือเชื่อ!!”
สีหน้าของแต่ละคนเผยความประหลาดใจยิ่งยวดออกมา ผลลัพธ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงเอ้อร์เนียคนนี้จากหน้ามือเป็นหลังได้แบบนี้ ใครๆ ต่างต้องตกตะลึงทั้งนั้น!
ทว่าเรื่องมหัศจรรย์ยังคงไม่หมดสิ้นเพียงเท่านี้ รัศมีแรงกดดันอันแกร่งกล้ายังคงระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อเกิดเป็นเกลียวคลื่นสะพัดทั่วบริเวณหุบเขา คล้อยหลังเอ้อร์เนียทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงได้สำเร็จ ไม่นานเหล่าลูกหลานตระกูลเย่คนอื่นๆ ก็เลื่อนระดับขึ้นทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงตามลำดับ สองคน...สามคน...สี่คน...
ขอเพียงสายเลือดของบรรดาผู้คนเหล่านี้ตื่นขึ้น แม้แต่เยาวชนที่เคยถูกตราหน้าว่าเป็นขยะ ไร้พรสวรรค์ที่สุดในตระกูลเย่ ยามนี้กลับขึ้นกลายมาเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงกันถ้วนหน้า พวกเขาไม่เคยคิดไม่เคยฝันด้วยซ้ำว่า วันนี้จะมาถึงจริงๆ!
เลื่อนระดับชั้นคนแล้วคนเล่า การตื่นขึ้นของสายเลือดกล่าวได้ว่า ยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงของตระกูลเย่ตอนนี้ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ซึ่งปรากฏการณ์ฝนฟ้าวิปลาสนี้ยังส่งผลกระทบไปถึงทั่วทั้งเมืองหลงเยวี่ย แรงสั่นสะเทือนลามจากหุบเขาลงมาทั่วทุกบริเวณมุมเมือง เหล่าผู้คนที่อยู้อาศัยและทำงานกันอยู่ต่างรับรู้ได้ถึงความผิดปกติทันที ทุกคนต่างเหลือบมองไปที่หุบเขาลูกนั้นโดยมิทันนัดหมาย ทันใดนั้นสีหน้าของแต่ละคนพลันแตกตื่นอย่างยิ่ง หุบเขาลูกดังกล่วามีชื่อว่า หุบเขามังกรฟ้า ทว่าตอนนี้กับมีสายอัสนีแสนเกรี้ยวกราดฟาดผ่าลงมาไม่หยุดหน่อย ฉายแสงสว่างวูบวาบดูแล้วระทึกใจยิ่งนักแล
ในขณะเดียวกันพวกเขายังสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีแรงกดดันเป็นมวลขนาดมหึมาอันหาที่เปรียบไม่ ช่างเป็นแรงกดขี่ที่รุนแรงจนทำให้พวกเขาที่ยืนมองจากระยะไกลยังต้องเข่าอ่อน
ตอนนี้แถวเรือนตำหนักตระกูลเย่เห็นได้ชัดว่าไม่มีคนอยู่ หรือ...เป็นไปได้ไหมว่า เย่เจวี๋ยกำลังนำทั้งตระกูลขึ้นไปทำอะไรสักอย่างบนหุบเขามังกรฟ้า? แล้ว...แล้วพวกเขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่?! กำลังใช้เคล็ดวิชาลับเพื่อยกระดับพลังบ่มเพาะให้แก่ผู้คนทั้งตระกูลอยู่รึไงกัน? ยิ่งพินิจสัมผัมมากเท่าไหร่บรรดาฝูงชนภายในเมืองก็ยิ่งตกใจมากเท่านั้น
ไม่ว่าจะมุ่งจิตสัมผัสทางไหนก็ค้นพบแต่ ขุมพลังอณาจักรนภาม่วงทั่วบริเวณหุบเขา! นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
เย่เจวี๋ยสามารถยกระดับสมาชิกตระกูลเย่ทุกคนให้กลายเป็น ยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงได้ในคราเดียวงั้นรึ?!
หากเป็นในกรณีนี้จริง พวกเขาเหล่าตระกูลเย่จะสามารถทำอะไรกับเมืองหลงเยวี่ยแห่งนี้ก็ได้อย่างง่ายดาย
แต่เดิมทั้งตระกูลเย่ไม่เคยมียอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงปรากฏขึ้นมาเลยสักคน พอบทจะมีก็โผล่ขึ้นมาราวกับดอกเห็ด นี่มันเป็นขอบเขตพลังที่บรรนลุกันง่ายปานนั้นเชียว?
ชาวเมืองหลงเยวี่ยตกใจอย่างสุดซึ้ง คนพวกนี้จะทราบได้อย่างไรว่า หลังจากการปลุกสายเลือดให้ตื่นขึ้นมาได้ รากฐานพลังบ่มเพาะของพวกเขาจะทะยานข้ามขั้นได้มากขนาดนี้ คล้อยหลังบรรดาลูกหลานตระกูลเย่ได้รับโอสถสายฟ้าไป แต่ละคนรีบโค้งศีรษะขอบคุณเย่เจวี๋ย ก่อนจะรีบแยกย้ายไปหาที่สงบและกลืนโอสถนั่งบ่มเพาะพลังทันที
“เจ้ากุ้งแห้ง อันนี้ของเจ้า”
เย่เจวี๋ยยิ้มและส่งโอสถสายฟ้าเม็ดหนึ่งให้แก่เจ้ากุ้งแห้ง
“อ๊ะ! นายน้อย นี่มันเม็ดสุดท้ายแล้วมิใช่รึ? ดังนั้นท่านควรนำไปใช้เองจะดีกว่า ข้ามิได้ต้องการหรอกท่าน”
เจ้ากุ้งแห้งเห็นได้ชัดว่า โอสถสายฟ้าในมือเย่เจวี๋ยเม็ดนี้เป็นเม็ดสุดท้ายและมันก็ไม่เหลืออีกแล้ว ดังนั้นเขาไม่ควรรับไว้แบบนี้ นี่เป็นของสำคัญมากที่จะช่วยให้นายน้อยของเขายกระดับความแข็งแกร่งได้
“ไม่เป็นไร เจ้าเก็บไว้เองเถิด”
ขณะที่กล่าวอยู่นั้นเอง ปรากฏการณ์ฝนฟ้าวิปลาสอันมืดทมิฬบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ สลายหายไป เผยให้เห็นแสงตะวันสาดส่องแจ่มใสขึ้นมาอีกครั้ง
“นายน้อย แต่ปรากฏการณ์ฝนฟ้าวิปลาสได้หยุดลงแล้ว ดังนั้นท่านควรนำไปดูดซับเองเถิด ข้ามิได้ต้องการมันจริงๆ”
เจ้ากุ้งแห้งยังคงผลักมือของเย่เจวี๋ยออก ตอนนี้ไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถได้อีกต่อไป จะเห็นได้ชัดว่า โอสถสายฟ้าเม็ดตรงหน้ามันมีความสำคัญเพียงใด มันมีค่าอย่างหาเปรียบไม่
ดังนั้นเจ้ากุ้งแห้งจึงไม่กล้ารับมันมาใช้เอง ที่สำคัญกว่าตัวเขาคือความแข็งแกร่งของนายน้อย หากนายน้อยแข็งแกร่งขึ้นมันย่อมเป็นประโยชน์ต่อตระกูลเย่โดยธรรมชาติ
ขณะที่เย่เจวี๋ยกำลังจะเอ่ยปากตอบ จู่ๆ เย่ชิงฉงก็เดินเข้ามาและถามว่า
“เจวี๋ยเอ๋อ มีอะไรรึเปล่า?”
แต่ไม่จำเป็นต้องฟังคำตอบอันใด เพราะเขาก็ตระหนักได้ทันทีเมื่อเห็นตรงหน้าเจ้ากุ้งแห้งเป็นโอสถสายฟ้าเม็ดหนึ่งในมือหลานชายที่กำลังยื่นให้
“โอสถสายฟ้าไม่พองั้นรึ? เดี๋ยวข้าเรียกปรากฏการณ์ฝนฟ้าวิปลาสขึ้นใหม่อีกรอบ”
ขณะที่เย่ชิงฉงกำลังจะเริ่มนั่งขัดสมาธิอีกรอบ แต่สุดท้ายกลับถูกเย่เจวี๋ยหยุดไว้
“ท่านปู่ ข้ามิอาจรบกวนท่านได้มากไปกว่านี้แล้ว มิต้อง มิต้อง”
จากนั้นเย่เจวี๋ยก็หันมทาพูดกับเจ้ากุ้งแห้งว่า
“เจ้ากุ้งแห้ง หลังจากนี้ต่อไปเจ้าจะติดตามข้าไปทุกหนทุกแห่งใช่หรือไม่?”
“แน่นอนอยู่แล้วขอรับนายน้อย! ข้าจะ...อ๊อก!”
ขณะที่เจ้ากุ้งแห้งกำลังอ้าวปากกล่าวอยู่นั่นเอง เย่เจวี๋ยก็ดีดโอสถสายฟ้าเม็ดสุดท้ายยิงเข้าปากทันทีในชั่วอึดใจ
เจ้ากุ้งแห้งรีบยกมือขึ้นมาล้วงคอทันที ทั้งนี้ยังถอยไม่ให้เย่เจวี๋ยเข้ามาห้ามได้ง่ายๆ
“ถ้ากล้าล้วงคอ เช่นนั้ข้าจะไม่ให้เจ้าเฝ้าติดตามอีกต่อไป”
เย่เจวี๋ยขมวดคิ้วแน่น แสร้งกล่าวขู่ไปพร้อมสีหน้าเคร่งขรึม
“อึก...”
คราวนี้เจ้ากุ้งแห้งทำได้เพียงจำใจกลืนมันไปเท่านั้น
“แต่นายน้อย ท่านจะ...”
เจ้ากุ้งแห่งมองไปยังเย่เจวี๋ยเผยสีหน้าแววตาแสนซับซ้อนอออกมา
โอสถสายฟ้าเม็ดสุดท้าย กลับให้คนรับใช้กินแบบนี้ดูท่าจะเสียของเกินไปจริงๆ ...
“อย่างกังวลไปเสีย ปัญหาด้านการบ่มเพาะพลังของข้าไม่เกี่ยวข้องกับโอสถสายฟ้า ขอเพียงสบโอกาสข้าก็สามารถทะลวงผ่านได้ทุกเมื่อ ยิ่งไปกว่ามนั้น ตอนนี้ข้าก็แข็งแกร่งมากแล้ว สามารถต่อกรกับยอดฝีมืออาณาจักรปราณเคียงฟ้าได้ เจ้าเองก็น่าจะได้เห็นกับตาในวันนี้จริงหรือไม่? แล้วคิดว่าโอสถสายฟ้าเม็ดนี้ยังจำเป็นต่อข้าอยู่อีกรึ?”
เย่เจวี๋ยกล่าวขึ้นพลางโบกมือปัดอย่างไม่ใส่ใจ
เจ้ากุ้งแห้งครุ่นคิดพินิจตาม และเป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ภาพฉากในวันนี้ที่เข้าปะทะกับยอดฝีมืออาณาจักรปราณเคียงฟ้าช่างแสนจะตราตรึงใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลอีกต่อไป รีบเร่งพยักหน้าและวิ่งไปนั่งขัดสมาธิ เริ่มหลับตาดูดซับฤทธิ์โอสถอย่างรวดเร็ว
“เจวี๋ยเอ๋อ”
เย่ชิงฉงหันมามองเย่เจวี๋ยด้วยความปลื้มปีติในใจ
เขาไม่เพียงแค่จะพึงพอใจอย่างยิ่งกับความสำเร็จของหลานชายคนนี้ แต่เขายังดีใจอย่างมากที่หลานของเขามีคุณธรรม รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อีกด้วย
“จะว่าไปแล้วท่านปู่ ข้ามีอะไรจำต้องบอกท่าน”
เย่เจวี๋ยเอ่ยกล่าวขึ้นทันที
“มีอะไรงั้นรึ?”
เย่เจวี๋ยได้บอกกับเย่ชิงฉงวไปว่า เขาต้องการไปทวีปตะวันออกเพื่อเข้าสอบคัดเลือก และอีกหนึ่งประการคือ เขาต้องการท่องโลกกว้างเพื่อเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ หากเขายังอยู่ภายในสถานที่แคบๆ เช่นนี้ อนาคตของเขาอาจจะหยุดลงที่นี่ไปชั่วชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้สมาชิกเกือบทุกคนของตระกูลเย่ล้วนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงกันหมดแล้ว แถมท่านปู่เองยังเป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรปราณเคียงฟ้า ดังนั้นในรัศมีหมื่นลี้ไม่มีศัตรูที่ไหนกล้ารุกรานแน่นอน
คำกล่าวของเย่เจวี๋ยทำให้เย่ชิงฉงคิดหนักอยู่สักครู่ใหญ่ อันที่จริงเขาที่เป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรปราณเคียงฟ้า ยังจะมีใครกล้ายั่วยุเขาอีกในเมืองหรือรอบนอกบริเวณใกล้เคียง การปล่อยให้เย่เจวี๋ยออกไปเผชิญโลกกว้างนับเป็นเรื่องดีแล้ว
ดังนั้นคงเป็นการดีกว่าที่ให้หลานชายของเขาได้ทำตามใจปรารถนา
“หากเช่นนั้น เจวี๋ยเอ๋อ เจ้าจะออกเดินทางเมื่อใดกัน?”
เย่ชิงฉงพยักหน้าเห็นด้วย ถึงแม้ภายในใจจะไม่ค่อยเห็นด้วยก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นเขาก็มิอาจหยุดความปรารถนาของหลานชายได้
“อีกสามวันท่านปู่ ศึกสัประยุทธ์ระหว่างข้ากับฉิงกุยได้สร้างความเสียหายต่อตระกูลเย่มิใช่น้อย ดังนั้นระยะสามวันนี้ข้าจะอยู่เพื่อซ่อมแซมตระกูลให้กลับเป็นดังเดิมก่อน”
เย่เจวี๋ยกล่าว
เย่ชิงฉงพยักหน้าพลางรู้สึกยินดีปรีใจมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างน้อยก่อนที่เย่เจวี๋ยจะออกเดินทาง เขาก็ยังคำนึงถึงครอบครัวเสมอ
เวลาพ้นผ่านไป ในไม่ช้าเจ้ากุ้งแห้งก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา รัศมีแรงกดดันของเขาในตอนนี้ทัดเทียมอาณาจักรนภาม่วงแล้ว ในเวลาเดียวกันเขาก็สามารถปลุกสายเลือดตัวเองให้ตื่นขึ้นได้ พลางมีประกายสายฟ้าแลบครอบคลุมอยู่ทั่วทั้งร่าง
แต่พอลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบว่าบนหุบเขาแห่งนี้ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ยังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนี้ ดูท่าเขาจะเป็นคนสุดท้ายที่เลื่อนระดับชั้นได้สำเร็จ
ไม่มีใครรอเขาเลย...
แต่เมื่อเขายืนขึ้นและหมุนตัวกลับมา เจ้ากุ้งแห้งก็พบเย่เจวี๋ยที่ยืนรออยู่บริเวณขอบผาในชุดอาภรณ์สีขาว ช่างดูทรงสง่าเป็นอย่างยิ่ง
“นายน้อย!”
เจ้ากุ้งแห้งโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ
เห็นได้ชัดว่า ตอนนี้บรรดาคนของตราะกูลเย่ล้วนดูดซับฤทธิ์โอสถสายฟ้ากันเสร็จสิ้นดีแล้ว ส่งผลให้รากฐานระดับพลังบ่มเพาะถูกยกระดับขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากนั้นต่างก็พากันเดินลงเขาจากกันไปหมด เหลือเพียงเจ้ากุ้งแห้งอยู่คนเดียวที่ยังไม่ออกจากห้วงสมาธิ ดังนั้นที่เย่เจวี๋ยต้องอยู่ที่นี่ก็เพื่อเฝ้าระวังมิให้มีสิ่งใดเข้ามารบกวนระหว่างที่เจ้ากุ้งแห้งกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะหากมีอะไรเข้ามาขัดจนประสบความล้มเหลวระหว่างเลื่อนระดับชั้นขึ้นมา จะส่งผลเสียร้ายแรงอย่างยิ่ง
เจ้ากุ้งแห้งที่เห็นนายน้อยยังรอเขาอยู่แบบนี้ก็รู้สึกซาบซึ้งจับใจขึ้นมาทันที
“นี่เจ้าใช้เวลานานขนาดไหนกว่าจะดูดซับโอสถสายฟ้าหมด?”
เย่เจวี๋ยกล่าวติดตลกเล็กน้อย
“แหะ แหะ...”
เจ้ากุ้งแห้งเกาหัวแกร๊กๆ เจือท่าทีเขินอาย
เย่เจวี๋ยหันกลับมาเหลือบมองจ้องสังเกตอีกฝ่ายเล็กน้อย ทว่าทันใดนั้นเขาก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาทันที ไฉนรัศมีกลิ่นอายบนร่างของเจ้ากุ้งแห้งถึงสูงกว่าคนอื่นๆ ในตระกูลเย่ทุกคนเกือบสองเท่าทวีเลยทีเดียว?
“นายน้อย กลับกันเถอะขอรับ”
เจ้ากุ้งแห้งกล่าวทัก
“อืม”
ยามเห็นว่าเจ้ากุ้งแห้งดูท่าจะไม่รู้ตัวถึงความแตกต่างนี้ เย่เจวี๋ยก็มิได้เอ่ยถามอะไรอีก เขาโบกแขนเสื้อและเดินลงจากหุบเขาไปทันที
ระหว่างทาง เย่เจวี๋ยก็บอกกับเจ้ากุ้งแห้งว่า เขากำลังจะเดินทางไปยังทวีปตะวันออกในอีกสามวันข้างหน้า หาใช่อื่นใด เย่เจวี๋ยต้องการคนคุ้นเคยร่วมเดินทางไปกับเขา แถมรากฐานพลังของเจ้ากุ้งแห้งยังอยู่สูงกว่าผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรนภาม่วงทั่วไป ดังนั้นหากได้เจ้ากุ้งแห้งมาติดตามรับใช้ น่าจะเป็นผู้ช่วยของเขาได้ดี