ตอนที่27 ความพ่ายแพ้
ตอนที่27 ความพ่ายแพ้
“คิดจะล้างบาง? ไร้สาระสิ้นดี”
ขณะที่ฉิงกุยแหกปากเห่า สุ้มเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากหลังคาเรือนใหญ่
ทุกคนหันมองตามเสียงดังกล่าวทันที เห็นเป็นเย่เจวี๋ยที่กำลังยืนกอดอกภายใต้แสงตะวันสาดส่อง เขาผู้นี้ช่างดูกล้าหาญและสง่างามยิ่งในเวลาเดียวกัน สิ่งที่ไม่เข้าพวกที่สุดคงเป็น แววตาของเขาที่จับจ้องไปยังฉิงกุย มันสุดแสนจะเย็นชาปราศจากความรู้สึกใดๆ
“ไอ้บัดซบตระกูลเย่ วันนี้ข้าไม่เพียงจะฆ่าเจ้าเท่านั้น แต่ข้ายังจะสร้างที่นี่ให้เป็นป่าช้าของพวกตระกูลเย่ทั้งหมด!”
ทันทีที่เห็นเย่เจวี๋ยสาดสะท้อนผ่านแววตา สีหน้าอันสุดแสนอาฆาตพยาบาทก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉิงกุย จากล้างทะยานสู่ฟ้า ฉิงกุยพุ่งโจมตีใส่เย่เจวี๋ยในพริบตา คมดาบยักษ์กรีดอากาศฉีกห้วงเวลากลายมาเป็นคมเคี้ยวจันทร์เสี้ยวอันน่าสยดสยอง สะบั้นอัดเย่เจวี๋ยเสียงเสียดอากาศดังแสบแก้วหูลั่น
“ทุกคนรีบถอยออกไปซะ!”
เย่เจวี๋ยตะโกนลั่นเสียงหนึ่ง เร่งชักดาบสะบั้นมังกรที่เอวออกมาเข้าปะทะชนกับคมดาบยักษ์สุดแรงเต็มพิกัด ก่อให้เกิดเป็นเกลียวคลื่นกระเพื่อมลูกใหญ่กวากระจายออกไปทั่วทั้งสารทิศ เศษดินเศษฝุ่นโดยรอบรัศมีกระจายสะพัด
บรรดาลูกหลานตระกูลเย่บางคนที่ไม่ค่อยแกร่งกล้าพอถูกเกลียวคลื่นลูกดังกล่าวซัดออกไปจนล้มคะมำ เย่เจวี๋ยที่ได้ปะทะมือหนึ่งต่อหนึ่งยังต้องประหลาดใจอยู่หนึ่งส่วน พลังลมปราณฟ้าดินของเจ้าหมอนี่มันไม่ธรรมดาเลย ตอนนั้นหมอนี่ยังอยู่เพียงอาณาจักรนภาม่วง แต่คล้อยหลังการปะทะนี้ก็รู้แจ้งทันที ฉิงกุยตอนนี้มันแข็งแกร่งกว่าตอนนั้นมากมาย
ครืน...
ทั่วร่างฉิงกุยพลันสั่นสะท้าน พลังปราณฟ้าดินภายนอกถูกดูดซับเข้าไปยังจุดตันเถียนกลั่นเป็นลมปราณบริสุทธิ์สายหนึ่งกรอกเทลงไปยังสองมือที่กระชับดาบยักษ์ในทันใด จู่ๆ เส้นเลือดบนแขนทั้งสองข้างก็ปูดโปนขึ้นหลากเส้นสายราวกับงูตัวเล็กตัวน้อย เสี้ยวอึดใจนั้นเอง ฉิงกุยออกแรงเพิ่มขึ้นอีกครั้นหนึ่ง จากเดิมแรงโถมดาบยักษ์ของฉิงกุย เย่เจวี๋ยก็สุดจะทานทนอยู่แล้ว ได้แรงโถมอีกชุดหนึ่งเสมือนตอกค้อนยักษ์เข้าซ้ำ เย่เจวี๋ยถึงกับทรุดทั้งร่วง!
เกร๊ง!
เสียงคมโลหะกระทบแหลมเสียดแก้วหูดังเป็นลำดับต่อมา เย่เจวี๋ยไม่สามารถยืนหยัดได้ไหวถึงกับถูกแรงระเบิดจากคมดาบยักษ์ของฉิงกุยซัดปลิวละล่องออกไป
ร่างกระเด็นเข้าชนกับเรือนพักหลังหนึ่งจนพังทลายลงมาไม่เป็นท่า ไม่มีสมาชิกตระกูลเย่คนใดกล้าเดินไปดูอาการ พวกเขาแต่ละคนรีบเร่งถอยห่างตามคำสั่งของเย่เจวี๋ย ยามนี้จึงทำได้เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ เท่านั้น
เย่เจวี๋ยเป็นคนที่พวกเขาต่างยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลเย่แล้ว
นอกเหนือจากเขาคนนี้ คงไม่มีใครแข็งแกร่งหรือมีฝีมือไปมากกว่าเขาอีกแล้ว ดังนั้นศึกสัประยุทธ์ระหว่างยอดฝีมืออย่างในปัจจุบัน ไม่มีเหตุผลอันใดที่พวกเขาควรเข้าไปยุ่วเกี่ยวเลย
ฉิงกุยหอบหายใจฮึกฮักเล็กน้อย ยามนี้เขารู้สึกทั้งอับอายและโกรธในเวลาเดียวกัน ทั้งที่เขาเป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรปราณเคียงฟ้าแล้วแท้ๆ แต่ทำไมถึงต้องใช้แรงเพื่อจัดการกับเย่เจวี๋ยตั้งขนาดนี้กัน ดูเหมือนว่าฉิงกุยจะมองข้ามอะไรไปอย่าง ตอนที่เขาฝึกปรืออย่างบ้าคลั่ง ระหว่างนั้นเย่เจวี๋ยก็เติบโตขึ้นเช่นกัน
สิ่งหนึ่งที่ฉิงกุยมั่นใจอย่างยิ่งในตอนนี้คือ เขาไม่คิดว่า เพียงการโจมตัเดียวของเขาจะสามารถเอาชีวิตเย่เจวี๋ยได้ คล้อยหลังหยุดชะงักไปหนึ่งจังหวะ คู่เท้าของเขาพลันกระตุกวุบกระโจนลงมาจากบนหลังลงไปยังเรือนหลังหนึ่งที่ถล่มลงมาเมื่อครู่ หนึ่งคมดาบยักษ์ถูกฟาดฟันไปอีกครา ปักซากปรังหักพังที่บดบังวิสัยทัศน์กระจายออก ฉิงกุยในขณะนี้ยังคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่เจวี๋ยอยู่ในนี้ ซึ่งตัวเขายังมิอาจประมาทได้
และเป็นดั่งที่คิดไว้ คลื่นลมประหลาดกระโชกแรงซัดผ่านเข้ามาหาระลอกใหญ่ เศษฝุ่นผงจากซากทั่วบริเวณปัดกวาดพุ่งเข้าให้ เสี้ยวพริบตาต่อมาปรากฏเป็นเงาสายหนึ่งปราดพุ่งเข้าจู่โจม เห็นดังนั้นฉิงกุยรีบยกดาบยักษ์เข้าตั้งรับ คมดาบสะบั้นมังกรโถมเข้าปะทะจนเกิดเป็นสะเก็ดไฟกระจาย อาวุธของทั้งสองฝ่ายสั่นกึกกักอย่างไม่มีใครยอมใคร สีหน้าของฉิงกุยล้นปรี่เปี่ยมล้นความดุร้ายแสนอาฆาต ทางด้านเย่เจวี๋ยเองก็ไม่สามารถรักษาความสงบได้ดั่งตอนแรก เขากัดฟันแน่นเผยสีหน้าจริงจังออกมา
พลังลมปราณฟ้าดินหาใช่เรื่องตลกไม่ ต้านรับการโจมตีเต็มสูบของยอดฝีมืออาณาจักรปราณเคียงฟ้าถึงสามรอบติด ไม่เพียงแค่ท่อนแขนชาทั้งท่อน ยามนี้จะเริ่มมีอาการบอบช้ำจากภายใน เลือดธารสายหนึ่งรินไหลออกจากมุมปากแล้วเช่นกัน
เย่เจวี๋ยพยายามหยุดดาบยักษ์ของฉิงกุยไม่ให้กดคงมาบนร่าง แต่ฉิงกุยคนนี้ยิ่งเร่งเร้าพลังโคจรลงในแขนทั้งสองข้าง เพิ่มแรงกดโถมเข้าใส่อย่างไม่หยุดยั้ง อาศัยการเสริมพลังชนิดนี้ พละกำลังของเย่เจวี๋ยอ่อนด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด พอฉิงกุยออกแรงเพิ่มขึ้นอีก เย่เจวี๋ยก็เริ่มทรุดจนเข่าแทบติดพื้นอยู่แล้ว พอเห็นแบบนั้นอีกฝ่ายก็ยกดาบยักษ์ในมือขึ้นและหวดใส่ลงมาอีกครั้งอย่างดุเดือด
เย่เจวี๋ยทำได้แค่ใช้ดาบสะบั้นมังกรเข้าขวางอยู่เบื้องหน้า ส่วนทางด้านฉิงกุยยังคงกระหน่ำฟันต่อเนื่องอย่างบ้าคลั่ง ทุกครั้งที่คมดาบยักษ์หวดกระแทกเข้าใส่ ร่างของเย่เจวี๋ยก็ค่อยๆ ทรุดลงและทรุดลง ยิ่งเห็นแบบนั้นก็ยิ่งได้ใจราวกับอีกฝ่ายไม่คิดปรานีใดๆ
มันยังคงกดร่างของเย่เจวี๋ยจนแทบจะแนบกับพื้นแล้ว เพียงไม่นายฉิงกุยพลันหยุดคลื่อนไหวชั่วขณะ เริ่มหอบหายใจเหนื่อยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม สภาพตอนนี้ของเย่เจวี๋ยก็ใช่ว่าจะดี ทั่วทั้งร่างของเย่เจวี๋ยชาจนแทบไม่รู้สึกแล้ว ริมฝีปากสั่นพับ กระอักพ่นเลือดสดออกมาคำโต ยามต้องเผชิญหน้ากับกระบวนจู่โจมอันแสนบ้าคลั่งของฉิงกุย เขาทำได้เพียงใช้กลยุทธ์เชิงตั้งรับเท่านั้น แต่ทว่าเห็นฉิงกุยเริ่มหายใจหอบแฮ่กฮั่ก เย่เจวี๋ยก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง
ท้ายที่สุดนี้ พลังทางกายภาพพื้นฐานของฉิงกุยก็ไม่ต่างอะไรจากเขาเท่านั้น หมอนี่อาศัยการดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินจากภายนอกเข้ามาในร่างกายและแปรเปลี่ยนเป็นพลังเท่านั้น นี่คือจุดแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างความห่างชั้นนี้
อนึ่ง ขีดจำกัดของอาณาจักรปราณเคียงฟ้าคือ แม้จะสามารถหยิบใช้พลังลมปราณฟ้าดินจากภายนอกได้ แต่มันก็ไม่สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เพิ่งเลื่อนระดับชั้นมาได้อย่างฉิงกุยแล้ว จึงหยิบใช้ได้เพียงระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น
เช่นนั้นต้องทำให้มันหมดแรงไปก่อน! เย่เจวี๋ยครุ่นคิดในใจ ดังนั้นจึงจำใจต้องอดทนต้านรับต่อไปทั้งแบบนั้น รีดเร้นพลังทั้งหมดออกมาต้านรับกันต่อไป
“ตายซะ!”
คล้อยหลังพักหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ฉิงกุยก็หันกลับมาคำรามลั่นอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นก็ฟาดฟันคมดาบยักษ์ลงมาฉีกห้วงเวหาจากบนสูงสับลงมา หวังจะผ่ากะโหลกของเย่เจวี๋ยในเสี้ยวอึดใจเดียว
แต่ทว่าเย่เจวี๋ยยังปัดป้องไว้ได้โดยใช้ดาบสะบั้นมังกรเข้าขวาง คมดาบยักษ์กระหน่ำฟัดฟาดเข้าเป็นเส้นตรงไม่หยุดยั้ง พอเวลาผ่านไปสักระยะ การเคลื่อนไหวของฉิงกุยช้าลงจนเห็นได้ชัด ระหว่างง้างคมดาบยักษ์เย่เจวี๋ยก็เห็นโอกาสในที่สุด ในเสี้ยวพริบตา สองมือกระชับดาบสะบั้นมังกรแน่นและแทงสวนออกไปโดยมีจุดหมายคือจุดตันเถียนของอีกฝ่าย
แต่นับว่าเป้นโชคดีของฉิงกุยที่สะบัดคมดาบยักษ์ลงมาปัดป้องได้ทันท่วงที เกือบสะบั้นมือเย่เจวี๋ยขาดเป็นสองท่อน
เย่เจวี๋ยเห็นท่าไม่ดูรีบร่นถอยออกมา ตีระยะเว้นห่างออกไปจากฉิงกุย อีกฝ่ายยิ่งเห็นดังนั้นก็ยิ่งได้ใจราวกับตนได้รับชัยชนะแล้ว ปราดพุ่งเข้าจู่โจมเย่เจวี๋ยอีกระลอกใหญ่ หนึ่งก้าวร่นถอยหนึ่งก้าวไล่ตาม
ภายใต้สถานการณ์ตอนนี้เริ่มไม่คล้ายการต่อสู้ ทว่าเป็นฉิงกุยที่ไล่ล่าเย่เจวี๋ยอยู่ฝ่ายเดียว รัศมีความเสียหายขยาดขยายกว้างขึ้น เรือนตำหนักตระกูลเย่อีกมากมายถูกทำลายถล่มลงมา เหล่าสมาชิกตระกูลเย่ต่างวิ่งหนีตายอยนน่างจ้าละหวั่น
เฝ้ามองศึกสัประยุทธ์นี้ บรรดาสามชิกตระกูลเย่แต่ละคนแทบหายใจหายคอไม่ออก บางคนถึงกับกลั้นหายใจตั้งสมาธิดู บ้างแอบปาดเหงื่อบนหน้าผากอย่างลุ้นระทึก เพราะว่า หากเย่เจวี๋ยเกิดพ่ายแพ้ขึ้นมา พวกเขาจะต้องถูกฉิงกุยไล่ฆ่าล้างบางแน่อย่างไม่ต้องสงสัย กล่าวคือ ที่แห่งนี้อาจกลายมาเป็นป่าช้าตระกูลเย่
คล้อยหลังฟาดฟันกันอยู่นาน ฉิงกุยก็ชะงักหยุดพักหายใจอีกครา เย่เจวี๋ยเองก็ไม่เปิดจังหวะให้มันพักหายใจหายคอได้ง่ายๆ เข้ารุกกระบวนเข้าใส่ จนทำให้อีกฝ่ายพักได้ไม่นานต้องกลับมาฟาดฟันคมดาบยักษ์ใส่อีกครั้ง
‘หึ! ข้าจะรอจนกว่าเจ้าจะหมดแรง ถึงครานั้นค่อยสะบั้นหัวเจ้าทิ้งในคราเดียว!’
ฉิงกุยเอ่ยกล่าวขึ้นกับตัวเองภายในใจ แต่หารู้ไม่ว่าเย่เจวี๋ยเองก็คิดเช่นเดียวกัน
แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ เย่เจวี๋ยต้องการเร่งให้อีกฝ่ายหยิบใช้พลังลมปราณฟ้าดินจะพละกำลังเหือดแห้งไป
ไม่นานฉิงกุยก็พลันหยุดชะงักเป็นรอบที่สาม เย่เจวี๋ยก็ไม่ยอมเป็นโอกาสตอบโต้ใส่ทันที จนทำให้อีกฝ่ายไม่มีเวลาพัก ยกดาบยักษ์ขึ้นปะทะชนอีกชุดใหญ่
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองจึงพัลวันสัประยุทธ์เป็นร้อยรอบเห็นจะได้แล้ว แม้ว่าเย่เจวี๋ยจะเสียเปรียบทุกครั้งไป แต่ระหว่างการประชันต้านรับคมดาบ เขาเองก็ไม่ดูเหมือนว่าจะมีท่าทีพ่ายลงแม้สักนิด ฉิงกุยฟาดฟันคมเบยักษ์ลงมา เย่เจวี๋ยเพียงแค่รับอย่างง่ายดายโดยอาศัยดาบสะบั้นมังกร
บริเวณที่ทั้งสองสัประยุทธ์เดือดกัน บ้านเรือนพังทลายกลายเป็นซากปรักหักพัง พื้นดินแตกระแหง เวลาพ้นผ่านจากแผ่นฟ้ามืดมิด แปรเปลี่ยนจนสว่างขึ้นอีกคราราวกับเพิ่งขับไล่ความมืดออกไป
ใช่แล้ว ทั้งสองสัปยุทธ์ข้ามวันข้ามคืนกันเลยทีเดียว จนแสงอรุณของเช้าวันถัดมาได้มาถึง บรรดาสมาชิกตระกูลเย่ก็ใช่ว่าจะแยกย้าย แต่ยังคงรุมล้อมจับจ้องภายฉากนี้ด้วยความอึกทึกใจจากระยะไกล
ในขณะนี้เอง ฉิงกุยยังคงรุกไล่เย่เจวี๋ยจร่นถอยออกไปอีกครั้ง ทว่าคราวนี้กลับแตกต่าง ฉิงกุยมิได้ไล่ล่าติดตามเมื่อก่อนหน้า ทว่ากลับก้มศีรษะคอตกหยุดหอบหายใจเฮือกใหญ่เป็นเสียงถี่ ผ่านศึกสัประยุทธ์ตลอดทั้งวันทั้งคืนเต็ม ต่อให้เป็นยอดฝีมืออาณาจักรปราณชั้นฟ้ายังควรจะเหนื่อย แต่กระนั้นสภาพของเย่เจวี๋ยก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่นัก เนื่องด้วยต้องเข้ารับแรงปะทะนับพันหมื่นกระบวน ทำให้เนื้อหนังบริเวณแท่นแขนฉีกแตก ธารเลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจนชโลมทั้งแขนทั้งสองข้าง อวัยวะภายในบอบช้ำถึงขีดสุดแล้ว สภาพช่างอนาจอนาถจนมิอาจทนดูไหว
“ตายลงไปซะ!”
คล้อยหลังพักฮิบหายใจไปพักใหญ่ ฉิงกุยก็คำรามเสียงหนึ่งดังลั่น ยกคมดาบยัดษ์ขึ้นเหนือหัวกระโจนเข้าฟันใส่เย่เจวี๋ยอีกครั้ง
เย่เจวี๋ยยังคงยกดาบสะบั้นมังกรขึ้นมาป้องกันดังเดิม ทว่าระหว่างปะทะชนในครั้งนี้เย่เจวี๋ยกลับดูไม่เสียเปรียบดั่งก่อนหน้าแล้ว ทั้งนี้ยังถูกแรงโถมของดาบสะบั้นมังกรผลักออกได้อีกด้วย ซึ่งนี่ทำเอาฉิงกุยตะลึงงันไปชั่วขณะ
“ฮ่าฮ่า! สวรรค์เข้าข้างข้าแล้ว! แม้เจ้าจะหยิบใช้พลังลมปราณฟ้าดินมาได้ แต่หากหมดเกลี้ยง เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับข้า!”
เย่เจวี๋ยระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น หาทราบไม่ว่าเขาไปเอาพละกำลังมาจากไหน จู่ๆ ก็กระชับจับด้ามดาบสะบั้นมังกรแน่นและผลักอีกฝ่ายออกไปจนล่าถอยไปหลายสิบก้าว ก่อนพุ่งกระโจนตอบโต้สวนกลับไป ฟันผ่าอากาศออกไปอย่างเกรี้ยวกราด
ฉิงกุยเห็นท่าไม่ดีจึงรีบร่นถอยท่าทีลนลาน แต่ท้ายที่สุดกลับไม่พ้นระยะคมดาบ บริเวณหน้าอกถูกฟันจนเสื้อขาดกระจุย เผยให้เห็นเกราะอ่อนเกล็ดมรกต ซ้ำร้ายยังมีรอยฟันเมื่อครู่เป็นทางตรงผ่ากลางเกราะอ่อน เนื่องจากพลังลมปราณภายในตัวของฉิงกุยเกือบจะเหือดแห้งหมดสิ้น ทำให้เกราะอ่อนเกล็ดมรกตไม่มีกระแสลมปราณเข้ามาหล่อเลี้ยง จนท้ายที่สุดประสิทธิภาพการป้องกันจึงลดฮวบจนน่าใจหาย
เย่เจวี๋ยไม่หยุดเท่านี้ ฟาดฟันดาบสะบั้นมังกรเข้าซ้ำรอยผ่าเดิมบนชุดเกราะจนแยกออกเป็นสองส่วนในเสี้ยวพริบตา
“เกราะอ่อนเกล็ดมรกตของข้า! อ๊ากกก! ไอ้บัดซบ! ฉันจะสับแกเป็นพันหมื่นชิ้นให้สุนัขจรกิน!”
พอเห็นดังนั้น ดวงตาคู่นั้นของฉิงกุยราวกับระเบิดความเกรี้ยวโกรธออกมา จับจ้องไปที่เย่เจวี๋ยตาเขม็งอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ฮ่าฮ่า ข้ากลัวเหลือเกิน!”
เย่เจวี๋ยกล่าวเย้าหยอกเป็นคำตอบ หลังจากพ้นผ่านศึกสัประยุทธ์ตลอดทั้งวันทั้งคืนเต็ม กลิ่นอายความดุร้ายที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างเขาก็ดูจะเข้มข้นขึ้นมาก
ทันทีที่พูดจบ เขาก็หันคมดาบสะบั้นมังกรฟันร่างของฉิงกุยหวังจะสับอีกฝ่ายให้เป็นเสี่ยง
สำหรับเย่เจวี๋ยแล้ว หากฉิงกุยปราศจากพลังลมปราณฟ้าดิน ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป
นอกจากนี้แล้ว ฉิงกุยยังได้มองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อะไรไปบางอย่างที่ว่า ร่างกายของเย่เจวี๋ยถึกทนกว่าเขามาก เนื่องด้วยการฝึกฝนร่างกายมาตลอดสิบปีของเย่เจวี๋ยจนทนแดดทนฝนเป็นอย่างดี อาศัยความขยันหมั่นเพียรในจุดนี้ จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมพละกำลังของเย่เจวี๋ยยังมีล้นเหลือถึงปานนี้
สถานการณ์พลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ ฉิงกุยที่พยายามหลบเลี่ยงการโจมตีออกไป แต่สุดท้ายกลับหนีไม่พ้น โดยดาบสะบั้นมังกรตัดแขนข้างหนึ่งจนหลุดกระเด็นออกไป
ใบหน้าของฉิงกุยซีดเผือกในทันใด เมื่อรู้ว่าตัวมันไม่มีทางเอาชนะเย่เจวี๋ยได้อีกต่อไป ยามนี้จึงคิดหาทางหนี รีบหมุนร่างวิ่งออกไป เร่งเร้าพลังทั้งหมดที่ยังเหลือรีบเหาะเหินออกไปทั้งอย่างนั้น พุ่งทะยานสู่น่านฟ้า
เย่เจวี๋ยเองก็มิได้ไล่ตามอีกฝ่ายไปเช่นกัน เพราะพลังของเขายังไม่ถึงระดับขั้นที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้
ซึ่งเขาเองก็หาได้หวาดกลัวไม่ว่า อีดฝ่ายจะกลับมาล้างแค้นอีกหรือไม่ หากมันยังต้องการโดนสั่งสอนอีก เขาก็พร้อมลงมาเล่นด้วยเสมอ ขอเพียงอย่าได้ประมาท มิฉะนั้นอาจโดนสะบั้นหัวขาดได้ในพริบตา
และอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เย่เจวี๋ยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งก็คือ เมื่อเขาลองโคจรลมปราณดูก็พบว่า ระดับพลังบ่มเพาะของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากหลังจากศึกสัประยุทธ์ข้ามคืน
คล้อยหลังศึกนี้ได้สิ้นสุดลง เย่เจวี๋ยก็เป็นฝ่ายชนะไป ยอดฝีมืออาณาจักรปราณเคียงฟ้าคนหนึ่งพ่ายลงจนต้องล่าถอย หนีห่างจุกตูดต่อหน้าเย่เจวี๋ย
เวลาเดียวบรรดาสมาชิกตระกูลเย่ต่างถอนหายใจหายคอด้วยความโล่งอก แต่ยังคงไว้ซึ่งความตกตกใจต่อความแข็งแกร่งของเย่เจวี๋ยประดับคู่ใบหน้าทุกคน
โดยไม่รอแช่มใดๆ พวกเขารีบวิ่งไปหาเย่เจวี๋ยทันทีด้วยความเป็นห่วง