80Y-ตอนที่ 32 เพื่อนบ้าน
หลินจิ่วเฟิง ได้ออกจากตำหนักเย็นพร้อมกับแมวขาวตัวน้อยและมุ่งหน้าไปที่ห้องสมุดของราชวงศ์
หนังสือทุกประเภทที่ทางราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวารวบรวมมาหลายปีได้ถูกเก็บเอาไว้ที่นี่
การรักษาความปลอดภัยค่อนข้างแน่นหนา
หากใครคิดจะผ่านไปก็ต้องถูกตรวจสอบโดยละเอียด
เพียงแต่ หลินจิ่วเฟิง ได้เดินผ่านการรักษาความปลอดภัยเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
ไม่มีใครค้นพบเขา
แม้ว่า หลินจิ่วเฟิง จะเดินต่อหน้าทหารองค์รักษ์ส่วนพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถค้นพบตัวเขาได้
ถูกแล้ว อีกฝ่ายไม่รู้การมาถึงของเขาแม้แต่น้อย
เมื่อเขาสู่ช่วงตระหนักรู้ในชีวิต หลินจิ่วเฟิง ก็มีความก้าวหน้าอย่างแท้จริงในทุกด้าน ถ้าเขาไม่ต้องการให้ตัวเองถูกค้นพบ ก็ยากที่คนทั่วไปจะมองหาเขาเจอ
เจ้าแมวขาว ได้ติดตาม หลินจิ่วเฟิง มันค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น
เหตุใดคนเหล่านี้ทั้งหมดถึงไม่สังเกตุเห็นเขา?
อย่างไรก็ตาม หลินจิ่วเฟิง ขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบาย
เขาเดินเข้าไปในห้องสมุดที่เก็บหนังสือโบราณและบันทึกเกี่ยวกับนิกายปีศาจพร้อมกับแมวขาวตัวน้อย
“ข้าจะเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า ‘จอมมาร’”
หลินจิ่วเฟิง ได้เริ่มอ่านหนังสือแต่ละเล่มจากหมวดหมู่ที่เขาต้องการ
ความเร็วในการอ่านของเขาสูงมาก ดูเหมือนว่าเขาจะแค่เปิดผ่านหน้าหนังสือเท่านั้น แต่เขาก็เข้าใจเนื้อหาทั้งหมดได้ในคราวเดียว
ขณะที่เขาอ่านหนังสือทีละเล่ม หลินจิ่วเฟิง ก็ค้นพบ หัวข้อที่เขามองหา ‘จอมมาร’
ประมุขนิกายปีศาจเมื่อ 1,500 ปีก่อนมีสมญานามว่า ‘จอมมาร’
แต่เขาก็มีชื่อเรียกอื่นด้วย
จอมมารคนสุดท้าย!
ตำแหน่งนี้หมายความว่าหลังจากเขา-จะไม่มีเทพมนุษย์อีกต่อไปเมื่อพิจารณาจากพลังงานทางโลกที่ค่อย ๆ ลดลง
จอมมารเป็นหนึ่งในเทพมนุษย์คนสุดท้ายของยุคนั้น
หลังจากที่พวกเขาตาย แม้แต่ปราชญ์การต่อสู้ก็ได้หายไป
ปราชญ์การต่อสู้ได้ปรากฏตัวขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านหรือหรือสองทศวรรษที่ผ่านมา
นี่หมายความว่าพลังงานทางโลกกำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างช้า ๆ
แต่มันก็ยังยากที่ เทพมนุษย์ จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
เพราะอัตราการฟื้นฟูพลังของพลังงานทางโลกในปัจจุบันช้าเกินไป
เมี้ยว!
เจ้าแมวขาวได้ร้องเรียก มันได้กระโดดขึ้นไปบนไหล่ของ หลินจิ่วเฟิง และ อ่านหนังสืออย่างกระตือรือร้น
ดูเหมือนว่ามันจะเข้าใจเนื้อหาภายในหนังสือนี้
หนังสือเล่มนี้ได้บันทึกวีรกรรมของจอมมารคนสุดท้ายเอาไว้
“จอมมารได้สร้างพระราชวังใต้ดินขึ้นเมื่อไหร่?”หลินจิ่วเฟิง ได้กล่าวถาม
พื้นที่ใต้ดินลึกมีพลังงานเชิงลบอย่างมาก มันจะต้องมีความหมายสำคัญบางประการที่ทำให้ จอมมารฝังพระราชวังใต้ดินไว้ที่นั่น
เจ้าแมวขาวได้ใช้เล็บของมันเขียนบนตัวของ หลินจิ่วเฟิง ทีละจังหวะ
“1,000 ปีก่อน!”เจ้าแมวขาวได้เขียนคำเหล่านี้
“นั่นแสดงว่าเจ้ามีชีวิตอยู่มาแล้วนับ 1,000 ปีหรือไม่?”หลินจิ่วเฟิงกล่าวถามด้วยความประหลาดใจ
“ข้ากินโอสถพวกนั้นไปเยอะมาก บางทีก็เป็นโอกาสล้ำค่าที่จอมมารทิ้งเอาไว้ ด้วยความช่วยเหลือจากพวกมันทำให้ข้าสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างยืนยาว”เจ้าแมวขาวได้ตอบกลับ
“ปรากฏว่าเจ้ามีอายุมากกว่า 1,000 ปี ดูเหมือนว่าเจ้าจะแก่กว่าข้ามาก”
หลินจิ่วเฟิง อดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดเห็น
เจ้าแมวขาวได้หรี่ตาลง มันจ้องมองไปที่ หลินจิ่วเฟิง ขณะที่มันยกอุ้งเท้าของมันขึ้น
แม้ว่ามันจะมีอายุมากกว่า 1,000 ปี แต่มันก็อาศัยอยู่ในพระราชวังใต้ดินมาโดยตลอด
มันค่อนข้างขาดสามัญสำนึก
“เจ้าได้เห็นวาระสุดท้ายของจอมมารใช่หรือไม่?”หลินจิ่วเฟิง ได้กล่าวถามอย่างใจเย็น
เจ้าแมวขาวได้พยักหน้า
“เมื่อ 1,000 ปีก่อนเจ้าไม่เคยไปจากที่นั่นเลยงั้นเหรอ?”หลินจิ่วเฟิง ได้กล่าวถามต่อไป
“ไม่เคย ตั้งแต่ข้าได้เริ่มกินโอสถยืดชีวิตเหล่านั้นในตอนแรกข้าก็ตกอยู่ในสภาวะหลับไหลเป็นเวลานาน…”
“เมื่อข้าได้ตื่นขึ้น ข้าก็ค้นพบว่ามีใครบางคนอยู่ที่ทางเข้าพระราชวังใต้ดิน และ กำลังศึกษาวิธีการแกะรูปแบบอาคมอยู่”เจ้าแมวขาวได้เขียนบนร่างของ หลินจิ่วเฟิง
“มันน่าจะเป็นช่วง 7-8 ร้อยปีก่อน ที่เป็นยุคทองของนิกายซากศพ ในช่วงเวลาที่เจ้าหลับใหลประมาณ 2-3 ร้อยปี ดั้งนั้นร่างของจอมมารจึงหายไปในช่วงเวลานั้น”หลินจิ่วเฟิง ได้อนุมาน
เจ้าแมวขาวได้หยุดเขียน
มันรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย
หลินจิ่วเฟิง ยังคงอ่านหนังสือต่อไป
มีหนังสือหลายประเภทที่บันทึกข้อมูลมากมายเกี่ยวกับจอมมาร
แต่ทว่ามันก็เป็นบันทึกเมื่อ 1,500 ปีก่อน ในปัจจุบันไม่ได้มีข้อมูลเกี่ยวกับจอมมารแม้แต่น้อย
หลินจิ่วเฟิง เชื่อว่าทักษะบ่มเพาะพลังปีศาจที่ หลินเทียนหยวน มอบให้เขา น่าจะเป็นทักษะบ่มเพาะพลังของจอมมารในตอนนั้น
ในที่สุด หลินจิ่วเฟิง ก็เข้าใจว่าทำไมจักรพรรดิทั้งสองถึงต้องการฝึกฝนมันอย่างแรงกล้า
เพราะนี่เป็นทักษะบ่มเพาะพลังของ เทพมนุษย์
ใครๆ ต่างก็ถูกล่อลวงโดยมันทั้งนั้น
เมื่ออ่านหนังสือเสร็จ เจ้าแมวขาวก็รู้สึกหมดหวัง
มันได้กระโดดออกจากไหล่ของ หลินจิ่วเฟิง ขณะที่หันหลังจากไปด้วยความเศร้าโศก
มันไม่ได้บอกลา หลินจิ่วเฟิง เลย
ร่างเล็กสีขาวได้หายไปจากห้องสมุด
หลินจิ่วเฟิง ได้สั่นศีรษะ
เขาวางหนังสือและเตรียมจะจากไป
[คุณต้องการลงชื่อเข้าใช้ห้องสมุดหรือไม่?]
“ยืนยันการเข้าใช้!”หลินจิ่วเฟิง ได้พยักหน้า
[ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับเต๋าแห่งชีวิตที่ส่องสว่าง]
หลินจิ่วเฟิง รู้สึกสับสน
เต๋าแห่งชีวิตที่ส่องสว่าง?
นี่มันคืออะไร?
[เต๋าแห่งชีวิตที่ส่องสว่าง สามารถช่วยให้คุณค้นพบทิศทางที่ถูกต้องและทางเบี่ยงน้อยลงเมื่อทำการฝึกฝน]
ดวงตาของ หลินจิ่วเฟิง ได้เป็นประกาย
“เต๋าแห่งชีวิตนี้ค่อนข้างดีอย่างแท้จริง”
…
เขาได้ออกจากห้องสมุดราชวงศ์
หลินจิ่วเฟิง ไม่ได้มองหาเจ้าแมวขาวตัวน้อย
ท้ายที่สุด เจ้าแมวขาวตัวนั้นก็มีความแข็งแกร่งไม่ธรรมดา จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของมัน
หากมันต้องการเดินทางออกจากเมืองหลวงไปยังสถานที่อื่น หลินจิ่วเฟิง ก็ไม่คิดจะรั้งให้มันอยู่ต่อ
เขาได้กลับไปที่ตำหนักเย็นและทำกิจวัตรประจำวันต่อไป
เข้าใช้สถานที่,บ่มเพาะพลัง และ บรรลุเส้นทางการฝึกฝน
ในฤดูที่หนาวเหน็บนี้ หลินจิ่วเฟิง ยังคงใช้ชีวิตโดยตัดขาดจากเรื่องราวทางโลก
เวลาได้ผ่านไป
สามวันผ่านไป เจ้าแมวขาวก็ยังไม่กลับมาที่ตำหนักเย็น
หลินจิ่วเฟิง ทำได้เพียงสั่นศีรษะ
เวลาได้ผ่านไปอย่างช้า ๆ
จนวันนี้ ต้าชุน ได้มาส่ง ไวน์และอาหารอีกครั้ง
ผ่านมา 6 วันแล้วนับตั้งแต่ หลินจิ่วเฟิง ได้กลับมาจากที่ราบทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ต้าชุน ได้พูดจากทางด้านหลังกำแพง“องค์ชายทรงรู้ข่าวที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้หรือไม่?”
“ที่ราบเซียนเป่ยทางตะวันตกเฉียงเหนือได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”
หลินจิ่วเฟิง ได้ดื่มไวน์อย่างใจเย็นและกล่าวถาม“เกิดอะไรขึ้น?”
“ตามข่าวที่ทหารองค์รักษ์ส่วนพระองค์ได้รับมา ก่อนหน้านี้ ที่ราบเซียนเป่ย ที่กระจัดกระจาย ได้ถูกยอดฝึมือลึกลับ รวบรวมอิทธิพลที่กระจัดกระจายขึ้น แต่ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ยอดฝีมือลึกลับคนนั้นกลับถูกสังหารที่ทะเลสาบสวรรค์ บนภูเขาสวรรค์ อิทธิพลในเซียนเป่ย ได้แตกกระจายอีกครั้ง…”
“การแตกกระจายในครั้งนี้ บีบคั้นให้พวกเขาจนมุมถึงขนาดส่งคนของตัวเองมาขอเสบียงจากทางเมืองหลวงราชวงศ์สำหรับใช้ในฤดูหนาว กระทั่งพวกเขายังแสดงความเต็มใจที่จะยอมจำนนต่อราชบัลลังก์อีกด้วย”ต้าชุน ได้แบ่งปันข่าวสาร
ดูเหมือนว่าเขาจะค้นพบเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อเล็กน้อย
หลินจิ่วเฟิง ได้แสดงความคิดเบา ๆ“เช่นนั้นฝ่าบาทคงจะมีความสุขดีสินะ”
“ถูกต้อง ทั้งราชวงศ์สำนักต่างรู้สึกยินดีที่เราไม่ต้องทำสงครามอีกต่อไป”
“เหตุผลที่ ข้าไม่ได้มาหาท่านก่อนหน้านี้ เป็นเพราะข้ายุ่งเกี่ยวกับการเตรียมตัสำหรับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น…”
“แต่ตอนนี้ อิทธิพลในเซียนเป่ย ได้พังทลายลงอีกครั้ง ข้าไม่ได้มีงานยุ่งอีกต่อไป ดังนั้นข้าจะมาที่นี่เพื่อส่งอาหารและไวน์ให้ท่านตามเดิม”ต้าชุน ได้หัวเราะเบา ๆ
“ดีแล้ว”หลินจิ่วเฟิง ได้พยักหน้าอย่างพอใจ“หากสงครามปะทุขึ้น จะมีคนำจนวนมากที่ต้องเสียชีวิต”
ความพยายามของเขาในการเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืนโดยรีบเร่งไปยังที่ราบทางตะวันตกเฉียงเหนือ ก็เพื่อหยุดสงครามในครั้งนี้
ต้าชุน ยังคงแบ่งปันเรื่องราวในราชสำนักที่น่าสนใจให้กับ หลินจิ่วเฟิง ฟัง
จากนั้นม่านอาหารก็สิ้นสุดลง
หลินจิ่วเฟิง ได้กลับไปที่ลานที่พักของเขา และ นอนลงบนเตียงหยกน้ำแข็งพร้อมกับนำทักษะบ่มเพาะพลังปีศาจ ที่หลินเทียนหยวน ให้เขาออกมา
[หนังสือปีศาจโบราณ]
หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยความชั่วร้ายเหนือคณา
มันได้สังหารจักรพรรดิสององค์ของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาติดต่อกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ หลินจิ่วเฟิง ติดตั้ง เต๋าแห่งชีวิตที่ส่องสว่างแล้ว ความเร็วในการฝึกฝนของเขาก็โดดเด่นยิ่งขึ้น จิตใจของเขาก็มั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ
เขาไม่ได้กลัว [หนังสือปีศาจโบราณ] เล่มนี้เลย
เขาได้พลิกเปิดแผ่นหนัง และ ค่อย ๆ อ่านเนื้อหาของทักษะบ่มเพาะพลังปีศาจนี้
“ในที่สุดก็เข้าใจ”หลินจิ่วเฟิง ได้เปิดเผยความรู้สึกออกมาหลังจากอ่านเสร็จ
“ทักษะบ่มเพาะพลังปีศาจนี้เป็นของนิกายปีศาจที่หลงเหลือเอาไว้ ดูเหมือนว่ามันจะค่อนข้างน่าสนใจมากทีเดียว”หลินจิ่วเฟิง ได้ยิ้มออกมา
สำหรับข้อเสียอย่างการผลาญพลังชีวิต?
หลินจิ่วเฟิง ได้ครุ่นคิด
‘ตราบใดที่ข้ามีความก้าวหน้าที่เร็วพอ ข้าก็ไม่กลัวที่จะถูกกลืนกิน’
เมี้ยว!
ในขณะที่ หลินจิ่วเฟิง กำลังหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาทักษะบ่มเพาะพลังปีศาจ เสียงร้องก็ได้ดังขึ้นในตำหนักเย็น
เป็นเจ้าแมวขาว มันได้กลับมาแล้ว
ตอนแรกมันไม่คิดจะส่งเสียงร้องออกมา
เพียงแต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันรู้สึกว่า ต้องแจ้งให้ หลินจิ่วเฟิง รู้ว่ามันกลับมาแล้ว
หลังจากส่งเสียงแจ้งเตือน มันก็กลับไปหลบซ่อนตัวในพระราชวังใต้ดิน
หลินจิ่วเฟิง ที่กำลังอยู่ระหว่างการฝึกฝนทักษะบ่มเพาะพลังปีศาจ เขาไม่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจจากหนักสือเล่มนี้ได้ แต่มุมปากของเขาได้ยกขึ้น
ในตำหนักเย็นแห่งนี้ ในที่สุดเขาก็มีเพื่อนบ้านแล้ว