Chapter 5
I’m Not Interested In The Main Characters (แปลไทย)
Chapter 5
เอลิเซียนอนมองดูแหวนอยู่บนเตียง
เธอไม่อยากจะเชื่อเลย เขาคิดว่าเธออันตรายมากแค่ไหนจึงเตรียมเจ้าสิ่งนี้มาให้
“เห็นฉันเป็นตัวอะไร? สัตว์ประหลาดที่เดินได้งั้นหรือไง?”
สิ่งเดียวที่เธอเข้าใจคือ เขาให้แหวนวงใหญ่และบอกให้เธอไปหาเขาหากเธอต้องการเลือด
ให้เธอดื่มเลือดจากเขาเท่านั้น ห้ามแตะต้องคนอื่น
‘นี่มันสัตว์ประหลาด... ไม่มีผิด’
เธอจ้องมองเข้าไปในหินเวทมนตร์ ดูเหมือนเจ้านี่จะใช้งานง่ายนะ เพียงแค่ปล่อยเวทมนตร์เข้าไปยังหินนี่เท่านั้น
เอลิเซียกระโดดขึ้น
‘ไม่สิ! คุณรู้ได้ยังไงกันว่าฉันสามารถใช้เวทมนตร์ได้’
มีเพียงคนเดียวที่รู้ว่าเธอเป็นนักเวทย์ คือครอบครัวและอาจารย์ของเธอ ราโมท
เอลิเซียคิด พลางใช้นิ้วม้วนผม
“ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ ๆ”
นอกจากตัวเธอเองแล้ว แคสเซียนดูเหมือนเป็นคนเดียวที่สามารถใช้แหวนวงนี้ได้
ตอนนี้จะให้คิดเรื่องหินแสนแพงนี้ก็ดูจะเสียเวลาไปเปล่าๆ
“ฉันมั่นใจว่า พ่อเฒ่าคนนั้นต้องมีวิธีรับมือเรื่องนี้ให้ฉันแน่ๆ”
เอลิเซียหัวเราะ เมื่อนึกถึงราโมท อาจารย์ของเธอ
เขาบอกว่า เขาจะมาถึงเมืองหลวงเร็ว ๆ นี้ ดังนั้น เขาอาจจะมาพบเธอ
****
“มิสเตอร์ราโมท มาที่นี่ครับ”
“ให้เขาเข้ามาพบฉันที่ห้องได้เลยค่ะ”
หลังจากเธอคิดถึงเขา ยังไม่ทันขาดคำ เขาก็มาพบเธอในวันรุ่งขึ้น
ตายยากจริง ๆ
เธอเบิกตากว้าง เมื่อเห็นอาจารย์ของตัวเอง ราโมท กำลังย่างกรายเข้ามาในห้อง
เธอเห็นชายผู้หล่อเหลาแต่งตัวต่างจากปกติ
ผมขาวที่เคยรุงรังถูกตัดออกอย่างเรียบร้อย ภาพลักษณ์ของเขาดูเหมือนพ่อมด เพราะเขาเคยไว้หนวดเครายาว แต่ตอนนี้เขามีกรามที่เป็นสันมาแทนที่
“พ่อเฒ่า ทำไมคุณแต่งตัวแบบนี้คะเนี่ย?”
“หยุดเลย เจ้าก็เห็นอยู่ว่าในใบหน้าหล่อเหลานี้มีผู้เฒ่าผู้แก่ที่ไหนกัน?”
“วิธีพูดของคุณก็เหมือนผู้เฒ่า ถ้าจะบอกว่าวัยเท่านี้ไม่ใช่วัยผู้เฒ่า จะให้เรียกว่าวัยอะไรคะ?”
คำพูดและพฤติกรรมของเอลิเซียที่มีต่อราโมท ผู้ซึ่งเป็นจอมเวทย์เพียงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์ของทวีปนั้นไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ข้ารับใช้เตรียมถ้วยชาราวกับว่าพวกเขาคุ้นเคยสิ่งนั้นเป็นอย่างดี
ราโมทเป็นอาจารย์สอนเวทมตร์ของเธอและรู้ว่าเอลิเซียไม่ใช่คนของโลกแห่งนี้
หลังจากเธอได้ครอบครองร่างนี้ไม่นานนัก เธอก็ได้พบกับราโมท
ขณะที่เขากำลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับชาติพันธุ์ ทั้งสองมีปากเสียงกันเรื่องหนังสือหายากเล่มหนึ่ง
ขณะที่ราโมทละสายตาจากมันเพียงครู่เดียว เอลิเซียก็คว้าหนังสือแล้ววิ่งหนีหายไป
ไม่รู้ว่าเขาตามเธอไปที่คฤหาสถ์ได้อย่างไร หลังจากนั้น
นั่นเป็นช่วงเวลาที่เอลิเซียไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าร่างกายเธอกำลังจะกลายเป็นแวมไพร์
แต่ราโมตสังเกตได้ตั้งแต่แรกเห็น ทั้งคู่จึงเริ่มรู้จักกัน
“คุณควรตัดผมโกนหนวดตั้งนานแล้ว แบบนี้ดูดีกว่าเยอะเลย จะว่าไปพ่อเฒ่าของเราก็หล่อเหมือนกันนะเนี่ย”
เอลิเซียหัวเราะอย่างสนุกสนาน ขณะที่เธอสัมผัสผมของราโมท
ราโมทนั่งตรงข้ามกับเอลิเซียด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ดวงตาสีฟ้าของเขาจ้องมองไปที่เอลิเซีย ขณะเขาดันแว่นขึ้น
“เจ้า.. เห็นสีหน้าของข้าไหม ระวังหน่อย”
ราโมทขมวดคิ้วและจ้องไปที่ดวงตาสีแดงของเธอ
บรรยากาศเมื่อเขาพบเอลิเซียครั้งล่าสุดกับตอนนี้แตกต่างกันอย่างชัดเจน
“ขอโทษค่ะ ฉันยังไม่ชิน ฉันเลยไม่ระวังตัว”
“ใช่ เพราะเจ้าสบายใจเกินไป สบายใจก็ดีแต่มันก็เอาแค่พอดีได้...”
เอลิเซียยักไหล่ คำว่า “สบายใจ” ไม่เหมาะกับสถานการณ์ของเธอตอนนี้สุดๆ
“พ่อเฒ่า ฉันมีเรื่องจะสารภาพ...”
เอลิเซียเริ่มร้องไห้ เธอกำลังจะสารภาพว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
แต่ยกเว้นไว้เรื่องหนึ่ง นั่นคือการมีค่ำคืนกับแคสเซียน
“เจ้าขี้แงเกินไปแล้วเอลิเซีย.. มันก็แค่สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน่า”
“ฉันควรทำยังไงดี? หรือแค่.. กำจัดเขาทิ้งไปดีไหมคะ พ่อเฒ่า”
ดวงตาของเอลิเซียเป็นประกายด้วยใบหน้าที่น่ากลัว
ราโมทอ้าปากหวอ
“อืม เวทมนตร์ของเจ้าใช้ไม่ได้ผลกับเขางั้นรึ เขาดูเหมือนไม่ใช่คนจริง ๆ เลยนะ”
“พ่อเฒ่าหมายถึงดยุคเอสเตบันน่ะเหรอคะ?”
ราโมทพยักหน้า
ศาสตร์เวทมนตร์ที่เอลิเซียบรรลุในช่วงสามปีที่ผ่านมานั้นยอดเยี่ยมมาก
เดิมทีร่างกายของเธอเป็นร่างกายที่มีความส้มพันธ์กับมานาเป็นอย่างดี
โดยปกติแล้ว หากรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้มีพลังพิเศษ พวกเขาก็จะผันตัวไปเป็นผู้ช่วยของพ่อมด
แต่น้อยคนมากนักที่จะไต่ไปถึงระดับสูง
เอลิเซียเป็นหนึ่งในกลุ่มคนจำนวนน้อยมากกลุ่มนั้น
แต่เมื่อร่างกายของเธอเริ่มกลายเป็นแวมไพร์ในเวลาเดียวกันกับการมีพลังพิเศษนี้
การมีทักษะและความเร็วในการรับมือกับพลังเวทย์ของเธอ ก็ไม่ได้ทำให้เธอก้าวนำคนอื่น ๆ อีกต่อไป
เมื่อไม่นานมานี้ ร่างกายของเธออยู่ในสภาพที่ไม่มั่นคง ทำให้เกิดปัญหา เช่น เธอเผาคฤหาสถ์ตัวเองตอนที่กำลังฝึกทำลูกไฟขนาดเล็ก
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่ในสถาพแบบนั้นแล้ว แต่ราโมทก็คิดว่าเธออาจจะยังไม่สามารถควบคุมพลังได้ดีพอ
ถ้าเทียบหลักสูตรเวทมนตร์กับคณิตศาสตร์ ในสายตาของเขา ความคิดความอ่านของเธอยังคงอยู่แค่ในระดับประถมเท่านั้น
‘ไม่รู้ทำไม... ข้าก็ยังคิดว่าเธอยังไม่พร้อมอยู่ดี’
“ตอนนี้ข้าขึ้นทะเบียนที่หอคอยให้ตามที่เจ้าต้องการแล้ว เจ้าสามารถทำอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ จะออกปราบปราม หรือจะทำอะไรก็ได้”
“ขอบคุณมากค่ะ พ่อเฒ่า”
ความจริงที่ว่าเขาได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้วิเศษที่หอคอยให้เธอ อาจจะทำให้คนอื่นรู้ว่าเธอมีพลังวิเศษ
ซึ่งเธอไม่ได้ต้องการเปิดเผยหรือทำตัวโดดเด่นมากเกินไป รวมไปถึงการที่เธออยากจะหลีกเลี่ยงการให้ความช่วยเหลือเรวอสให้มากที่สุดอีกด้วย
“ว่าแต่.. คุณต้องเปิดเผยตัวตนว่าเป็นผู้วิเศษไหมคะ?”
“เจ้าไม่รู้เหรอว่าข้าจะไม่แก่อีกต่อไป เพราะงั้นข้าก็ควรต้องบอกให้คนอื่นรู้สิ”
ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์จนถึงระดับหนึ่ง อายุขัยของเขาจะเดินช้ามาก
ยิ่งทักษะดี ยิ่งพลังเวทย์ดี การเดินของอายุขัยยิ่งช้าลงเท่านั้น
อย่างราโมท จริง ๆ เขาอายุมากกว่า 100 ปีแล้ว แต่เขายังดูหนุ่มเหมือนชายอายุ 20
แน่นอน ตอนนี้เธอได้ไปถึงจุดนั้นแล้ว
เวทมนตร์ของเอลิเซียมีพลังทำลายล้างเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ
“แล้วคุณจะเข้าร่วมการปราบปรามไหม?”
“ข้ายังไม่รู้ เจ้าถามเพราะอยากจะเข้าร่วมการปราบปรามหรือ? เจ้าไม่ต้องอยู่กับดยุกเอสเตบันหรอกรึ?”
สงครามมอนสเตอร์อันยาวนานสิ้นสุดลงแล้วเมื่อไม่นานมานี้ แต่การกวาดล้างตามปกติยังคงดำเนินต่อไป
“ตอนนี้ เจ้าจะเป็นที่รู้จักในฐานะนักเรียนของข้า ดังนั้นเจ้าควรจะไปหาวิชาใส่หัวเพิ่มเสียด้วย”
“พ่อเฒ่าจอมขี้บ่น..”
เอลิเซียทำหน้ามุ่ย แล้วถามต่อ
“ว่าแต่..แล้ววันนี้จะไปไหนต่อเหรอคะ?”
“อาณาจักรดีแลน”
“จริงเหรอ! พ่อกับพี่ชายของฉันอยู่ที่นั่นตอนนี้ ถ้าเจอพวกเขา อย่าลืมทักทายด้วยนะคะ”
เอลิเซียสวมกอดราโมท
ราโมทส่ายหัวและตีหลังเธอด้วยอาการเคอะเขิน
“เจ้า ! ข้าบอกแล้วว่าอย่ามากอดข้าแบบนี้ไม่ใช่รึ?”
“แต่ว่า พ่อเฒ่าก็ออกจะชอบนี่นา คิดซะว่าเป็นการกอดลูกศิษย์ที่เหมือนลูกสาวละกันค่ะ”
“ข้ามีลูกสาว ทั้ง ๆ ที่ข้ายังไม่ได้แต่งงานเนี่ยนะ ฮ่า! .. ในระหว่างนี้เจ้าก็พยายามแก้ปัญหากับดยุคเอสเตบันเข้าล่ะ ข้าไปละ”
เอลิเซียพยักหน้าและเดินไปส่งเขา
เมื่อกลับมาที่ห้อง เอลิเซียเอียงศีรษะดูกล่องที่สาวใช้เกรย์วางไว้บนโต๊ะ มีจดหมายอีก 2 ฉบับวางอยู่ข้างกัน
ฉบับหนึ่งมาจากเรวอส อีกฉบับเป็นซองสีกรม ดูเหมือนว่าจะมาจากแคสเซียน
เอลิเซียฉีกจดหมายของเรวอสทิ้งและหยิบซองสีกรมขึ้นมา
“….?”
ในจดหมายเขียนว่า เธอจะเข้าร่วมงานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้ในฐานะคู่ควงของเขา
ในสถานการณ์ตอนนี้ การไปงานเลี้ยงกับแคสเซียนก็เหมือนยอมรับว่าข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริง
มือของเอลิเซียที่ถือจดหมายอยู่กำลังสั่น
เธอวางจดหมายลงแล้วเอื้อมมือไปที่กล่องของขวัญ
กล่องของขวัญก็เป็นสีกรมมันวาวเช่นกัน ราวกับตั้งใจบอกให้เธอรู้ว่าใครส่งมา
เธอเปิดฝากล่องและแกะริบบิ้นที่เป็นสีเดียวกับสีผมของเธอออก
มีกล่องกำมะหยี่ทรงแบนและเสื้อผ้า 1 ชุด ที่ดูเหมือนจะเป็นเดรส
ภายในกล่องกำมะหยี่มีสร้อยคอและสร้อยข้อมือ
สร้อยโชคเกอร์ประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กเรียงกันเป็นลายลูกไม้ สร้อยคอมือก็เป็นรูปแบบเช่นเดียวกัน
‘นี่คืออัญมณีชนิดใด...’
อัญมณีสีประหลาดตา มันไม่เชิงเป็นสีม่วงเท่าไหร่ รูปร่างแปลก ๆ และเปล่งแสงสีแดงออกมาจากด้านในเบา ๆ เหมือนว่ามันกำลังสร้างแสงขึ้นด้วยตัวเอง
เธอมองดูอยู่สักพัก สาวใช้เกรย์ก็เดินเข้ามาหาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“นี่มันคืออะไรนะ...”
“อ๊า ! เลดี้ นี่มัน...!”
“ใช่ดวงเนตรของผู้พิทักษ์หรือเปล่า?”
“ใช่ค่ะ ดิฉันว่าใช่”
แต่เธอไม่คิดเช่นนั้น... ใช่มันจริงๆ เหรอ ทำไมถึงเอามาทำเป็นอัญมณีได้ล่ะ?
ดวงเนตรของผู้พิทักษ์ถือว่าเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์
จากที่เธอเคยได้ยินมา มันระบุไว้อย่างชัดเจนว่า หินดั้งเดิมถูกเก็บรักษาอยู่ที่อาราม
เจ้าอัญมณีนี้เป็นของล้ำค่าอย่างแท้จริง
เพราะงั้นยังไงมันก็คงไม่ใช่ดวงเนตรของผู้พิทักษ์ของจริงแน่ ๆ
เอลิเซียวางสร้อยคอลงและมองไปที่ชุดของเธอ
ชุดเดรสรัดรูปสีดำ คอเป็นรูปตัววีผ่าลึกจนถึงหน้าอก และเผยให้เห็นแผ่นหลัง
ไม่มีการตกแต่งอะไรมาก เป็นแค่เพียงการฝังเพชรเม็ดเล็กไว้รอบเอวให้ดูเหมือนเข็มขัด
มันดูเป็นตัวเลือกอันยอดเยี่ยมที่จะทำให้สร้อยคอที่มีอัญมณีเปล่งแสงสีแดงนั่นโดดเด่นขึ้น
แต่ว่า..ฉันรับของขวัญนี้ได้เหรอ?
เอลิเซียขมวดคิ้วและตกอยู่ในการครุ่นคิด
ฉันรู้ว่าฉันเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่นี่ฉันได้รับของขวัญมากเกินไปไหมนะ?
****
ร่างของเอลิเซียอยู่ใต้ฝ่ามือของสาวใช้เกรย์ทั้งวัน เธอกำลังได้รับการนวดตัว
“เอ๊ะ วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับคุณเกรย์ที่มักจะยุ่งอยู่ตลอดเวลากันนะ?”
“โถ่ เลดี้ของดิฉันนี่ช่างเป็นเด็กน้อยจริงๆ เลย ก็วันนี้เป็นการพบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก ของคุณและคนรักใหม่นี่คะ แน่นอนว่าคุณต้องการการจัดแจงอะไรหลายอย่างเชียวแหละ!”
เกรย์ขยิบตาและพาเอลิเซียไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง
คนรักใหม่งั้นเหรอ? นี่ข้ารับใช้ทุกคนคิดแบบนี้ไปแล้วสินะ?
ตอนพบกับแคสเซียนวันนี้ เธออยากจะถามเหมือนกันว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
วันนี้เธอแต่งหน้าอ่อน ๆ และทาลิปสติกสีแดง
ผมถูกม้วนเป็นลอนเกลียวเล็ก ลอนผมที่ไรหน้าผากและปอยผมเล็ก ๆ ที่ตกอยู่ข้างหูให้ความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม
“อ๊ะ เลดี้ ดิฉันเพิ่งคิดได้ว่า ดิฉันยังไม่ได้เช็คเลยว่าเดรสถูกไซส์ไหม”
เกรย์กล่าวคำขอโทษซ้ำ ๆ
เอลิเซียมองไปที่เดรสแล้วยักไหล่
“ครั้งล่าสุดที่ฉันได้มา ก็ไซส์ถูกนี่ ใช่ไหม?”
“ใช่ ไซส์ถูกแล้วค่ะ! รีบ ๆ ลองเลยค่ะ”
ตามคาด มันพอดีราวกับเป็นชุดที่สั่งตัดขึ้นมาโดยเฉพาะ
ไม่นานมานี้ เธอค้นพบความจริงว่า ช่างตัดเสื้อไม่ได้เป็นคนบอกสัดส่วนของเธอ
หากเป็นเช่นนั้น นั่นหมายความว่า เขาจำสัดส่วนของเธอได้ในชั่วข้ามคืน
พอคิดว่า อาจเป็นเพราะเขาสัมผัสเธอแบบนั้น ใบหน้าของเธอก็เริ่มแดงขึ้น
หลังจากเธอสวมเครื่องประดับเสร็จเรียบร้อย เสียงเคาะประตูของพ่อบ้านก็ดังขึ้น
“เลดี้ ดยุคแห่งเอสเตบันมาถึงแล้วครับ”
*****
.