Chapter 4
I’m Not Interested In The Main Characters (แปลไทย)
Chapter 4
เอลิเซียยังไม่อยากเข้าไปในห้องนั่งเล่น เธอจึงเดินวนเวียนอยู่หน้าประตู
แคซเซียนมาหาเธอที่คฤหาสถ์
พลังที่เธอใช้ลบความทรงจำเขาจะต้องได้ผลสิ แต่ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นกันนะ?
เธอรู้สึกเป็นกังวล เพราะเธอเพิ่งใช้ความสามารถนั่นเป็นครั้งแรกด้วยร่างนี้
เธอผลักประตูห้องนั่งเล่นเข้าไป จะต้องพยายามมองหารอยเขี้ยวที่คอเขาให้เจอให้ได้
‘ให้ตายสิ กลิ่นขนาดนี้ มันไม่ตลกเลยนะ!’
ทันทีที่เธอเข้าไปในห้องนั่งเล่น เธอต้องพยายามกลั้นหายใจเพื่อไม่ให้จมูกได้กลิ่น
แต่กลิ่นนั่นหอมยั่วยวนทรมารเธอสุดๆ
วันนี้เขาเอาผมหน้าลง
เขาดูหล่อ เมื่อเสยผมเปิดหน้าผาก แต่ก็ดูดีมากเช่นกันเมื่อทำผมปรกหน้าลงมาแบบนั้น
“ในที่สุด ผมก็ได้พบคุณเสียที ยินดีที่ได้พบคุณครับ เลดี้”
เขาพูดขึ้นเพราะจำเธอไม่ได้หรือเปล่านะ?
หรือพวกเขาไม่ได้คุยกันตอนพบกันครั้งแรกงั้นเหรอ?
เอลิเซียได้ยินเหล่าข้ารับใช้ที่ยืนด้านหลังเขากระซิบกระซาบกัน
ที่คุณพูดให้เกียรติฉันเพราะข้ารับใช้จ้องมองอยู่สินะ?
แคสเซียนยื่นมือไปหาเอลิเซีย
“ยินดีที่ได้พบคุณอีกครั้งค่ะ ท่านดยุค”
แคสเซียนยิ้ม ขณะมองไปที่มืออันไร้ที่ติของเธอที่วางอยู่บนฝ่ามือของเขา
เขาก้มหน้าและจูบหลังมือแคสเซียน
แม้ว่าจะเป็นเพียงคำทักทายอย่างเป็นทางการ แต่หลังมือของเธอกลับร้อนผ่าวราวกับกำลังถูกเผาไหม้
‘ทั้งหมดนี้เป็นเพราะกลิ่นของเขาคนเดียว!’
แม้ว่าเธอจะดื่มเลือดก่อนที่จะพบเขา แต่มันก็ควบคุมตัวเองได้ยากมาก
เอลิเซียพยายามจะไม่เครียดเกินไป
ดวงตาสีม่วงอเมทิสต์ของแคสเซียนทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายลง
เธอมองไปที่ใบหน้าของเขาเพื่อดูทีท่าว่าเขาจำจะอะไรได้บ้าง แต่เธอมองไม่ออก
เอลิเซียดึงมือกลับ แต่มันไม่ขยับเขยื้อน
“?!”
แคสเซียนเลื่อนมือและดึงเธอเข้ามาใกล้มากขึ้น
ระยะห่างระหว่างสองคนแคบลง
ยิ่งเขาใกล้เธอมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากสำหรับเธอมากเท่านั้น
‘ฉันพูดอะไรไม่ออก ฉันต้องออกไปข้างนอกให้เร็วที่สุด’
จะบอกว่าเพราะห้องนั่งเล่นแคบก็ไม่ใช่
นั่นเป็นเพราะการอยู่ในพื้นที่ปิดแบบนี้พร้อมกับเขาต่างหาก นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น !
“ฉันอยากจะออกไปเดินเล่นน่ะค่ะ ได้ไหม?”
“แน่นอนครับ”
แคสเซียนดึงมือเอลิเซียเดินออกไป
เธอต้องการออกห่างจากเขาให้มากที่สุด
เขาเดินนำไปโดยไม่พูดอะไรเลย
ในขณะเดียวกันเอลิเซียก็พยายามหาวิธีทำให้ตัวเองสงบด้วยการกัดริมฝีปากล่างของตัวเอง
เธอหันไปมองข้ารับใช้ที่เดินตามมาอยู่ไกล ๆ แล้วหันมามองแคสเซียน
“แค่นี้พอแล้วค่ะ”
แม้จะพูดแค่ประโยคสั้น ๆ แต่ริมฝีปากของเอลิเซียก็สั่น
เธอกล่าวโดยที่พยายามดึงมือตัวเองออกจากมือเขาอย่างขัดขืน
“ทีนี้ก็ปล่อยฉันได้แล้ว”
ทันทีที่เขาปล่อยมือเธอ เอลิเซียก็เขยิบออกห่างจากเขา
“ตัวคุณเย็นง่ายไปทุกส่วนเลยนะครับ นี่แค่จับมือแปปเดียวยังทำเอามือผมเย็นไปหมด”
“ว..ว่ายังไงนะ?”
เอลิเซียหันไปมองหน้าเขา
แคสเซียนหยุดและเริ่มเอ่ยปากพูดอีกครั้ง
“ผมรู้ว่าคุณน่าจะขี้หนาว คืนนั้นผมถึงบอกว่าถ้าหนาว ก็กอดผมไว้สิ..”
โอ้ ! พระเจ้า !
เอลิเซียส่งเสียงร้องวี้ด เมื่อฟังถึงใจความสำคัญของประโยค เธอดึงชายเสื้อโค้ทของตัวเองคลุมตัวแน่น
แคสเซียนยกมุมปากขึ้น
“ให้ตายเถอะ!? นี่คุณจำได้ทุกอย่าง...”
เธอไม่สามารถปล่อยชายเสื้อโค้ทของตัวเองได้ ถึงแม้ว่ามันอาจจะทำให้เธอหายใจลำบากขึ้น
เพราะตอนนี้เขาอยู่ใกล้มากจนสามารถรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกันได้
เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรก่อน
สิ่งที่เธอไม่อยากจะเชื่อ เป็นจริงแล้ว!
“ไหนบอกผมหน่อย ตอนนั้นคุณพยายามทำอะไรกับผม?”
มันยากจะเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร เพราะเธอทำอะไรกับเขาไปตั้งหลายอย่าง (o///o)
“ที่ผมจะบอกคือ เวทมนตร์ใช้ไม่ได้ผลกับผม แม้ว่ามันจะทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไปนิดหน่อยก็ตาม”
‘ที่คุณหมายถึง คือเวทมนต์ควบคุมจิตใจหรือหมายถึงพลังของฉันกันนะ?’
แคสเซียนดึงเสื้อคลุมออกจากมือของเอลิเซีย แล้วจับมือของเธอข้างหนึ่งให้โอบไปที่รอบคอของตัวเอง และเอ่ยปาก
“คุณจะต้องการมันอีกแน่นอน เมื่อนั้น.. โปรดจงมาหาผม”
‘คุณจำได้ พลังมันใช้ไม่ได้ผล’
อะไรที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้หรือทำไมพลังของเธอถึงใช้กับเขาไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุหรือเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้เรื่องพวกนั้นไม่สำคัญอีกต่อไป
ดวงตาของเอลิเซียดูเหมือนจะเริ่มสั่น แต่ไม่นานเธอก็สามารถซ่อนสีหน้าได้
เธอก้าวเข้าไปใกล้เขาอีกนิด
“บอกมาว่าคุณต้องการอะไรจากฉัน?”
เอลิเซียวางแขนไว้รอบไหล่ของเขา แล้วทิ้งน้ำหนักลง
คุณต้องการอะไรกัน? เงินเหรอ? หรือร่างกาย? หรือพยายามจะใช้ประโยชน์จากตระกูลของเธอ?
หากมีสิ่งใดที่เขาต้องการ อย่าอ้อมค้อม แค่บอกมาเท่านั้น
ดยุคเอสเตบันร่ำรวยกว่าตระกูลของเธอมาก
เขาอาจไม่ได้ต้องการเงินหรือการสนับสนุนทางการเมือง เพราะจากจุดยืนของเขาแล้ว เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ เขาดูเป็นคนที่สามารถบรรลุสิ่งที่ตัวเองต้องการได้โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากตระกูลโลเวลล์
“หรือคุณต้องการแบบนี้?”
เอลิเซียยิ้มแล้วส่งสายตามองเขาอย่างมีนัยยะ
ตึก-ตัก ตึก-ตัก ยากที่จะบอกได้ว่านั่นเป็นเสียงหัวใจเต้นของใคร
เธอรวบรวมพลังที่มือและเริ่มโอบไปที่รอบคอของเขา
แต่แคสเซียนได้จับข้อมือของเธอทั้งสองข้างไว้ก่อนมันจะสำเร็จ
เขากระซิบที่ข้างหูของเธอ
“…!”
“นี่ดูเหมือนจะเป็นวิธีที่คุณชอบใช้มากที่สุดนะสินะครับเลดี้ แต่ทำยังไงได้ ผมไม่ใช่คนอ่อนแอขนาดนั้น”
“งั้นก็บอกฉันมาสิว่าคุณต้องการอะไร!?”
เอลิเซียพยายามคิดว่าเธออาจจะชนะ หากใช้พลังเวทมนตร์อีกครั้ง แต่ตอนนี้คงต้องใช้กำลังแทน
ขณะที่เธอเริ่มเรียกพลังมาที่มือ แคสเซียนก็ขมวดคิ้ว
“หยุดได้แล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจจะบอกใครทั้งนั้นแหละ ตอนนี้คุณช่วยใจเย็นๆ ก่อน”
การได้เห็นท่าทีที่ผ่อนคลายของเขา ยิ่งทำให้เธอรู้สึกแย่ลง
เขาโน้มศีรษะเข้ามาใกล้เธอและพูดขึ้น
“อย่าคิดที่จะหนีผมเลย ไม่ว่ายังไง คุณก็หนีผมไม่พ้นอยู่ดี .. และถ้าหากคุณต้องการเลือดเมื่อไหร่ โปรดจงมาหาผม ..ที่ผมต้องการคือแค่สองอย่างนี้เท่านั้น”
“นี่คุณกำลังข่มขู่ฉันอยู่ใช่ไหม?”
ผู้ชายที่ได้รู้จักตัวตนของเธอ แม้จะเป็นชีวิตที่ก่อนเข้ามาในโลกแห่งนี้ ก็มักจะเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่สามารถช่วยเธอได้
พวกเขาบอกว่าจะเก็บเป็นความลับ และหากเธอต้องการเลือด ก็ให้ไปหาเขา
สุดท้ายก็มักจะจบแบบเดิมๆ คือเธอต้องตกอยู่ในความหวาดกลัวและเรื่องราวตัวตนของเธอก็จะรั่วไหลออกไปอยู่ดี
เอลิเซียยิ้มอย่างขมขื่นกับสถานการณ์ที่ทำให้เธอนึกถึงอดีต
“ช่วยไม่ได้ ยังไงผมก็จะทำแบบนั้น”
“ถ้าฉันปฏิเสธล่ะ?”
“ไม่ เลดี้ คุณไม่มีทางเลือก”
เขายกมุมปากเพียงข้างเดียวอย่างเจ้าเล่ห์
เอลิเซียกดริมฝีปากตัวเองแน่น มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขามีสิ่งที่เขาต้องการอย่างชัดเจนจริง ๆ
แบบนี้มันคลุมเครือที่จะบอกว่าเขาต้องการเพียงร่างกายของเธอ
แต่มันก็แปลก ถ้าจะบอกว่านี่เป็นเพียงภารกิจที่คอยจับตาดูเธอเท่านั้น
ไม่ว่ายังไงผลที่ตามมาก็คงเหมือนๆ กัน เธอคงต้องถูกให้ไปทำโน่นนี่ตามอำเภอใจ
เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะความอ่อนแอของตัวเองแท้ ๆ
นี่มันเลวร้ายที่สุด
“คุณอยากจะเล่นเกมรักงั้นหรือไง?”
เอลิเซียกล่าวอย่างประชดประชัน
“ผมจะเรียกมันว่า การเฝ้าระวัง ผมจะคอยจับตาดูคุณอยู่ตลอดเวลา ผมไม่มั่นใจว่าจะสามารถปล่อยคุณให้อยู่ตามลำพังได้อีก”
“อ๋อใช่ แล้วฉันก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อไหร่ที่คุณจะคิดว่ามันปลอดภัยมากพอ”
เขาจะพิสูจน์ยังไงว่าสถานการณ์จะปลอดภัยแล้ว ในเมื่อเธอยังคงดูดเลือดอยู่แบบนี้?
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่าเธอจะกลายเป็นแวมไพร์ตอนไหน
และการพยายามกักบริเวณของเขา ยังไงก็ต้องรบกวนวิถีชีวิตปกติของเธออย่างแน่นอน
แค่คิดก็ปวดหัวจะแย่
‘ทั้งหมดนี้เป็นเพราะตาดยุคนี่คนเดียว’
ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายของเขา ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นคืนนั้น
หรือถ้าเธอกัดคนอื่นที่ไม่ใช่แคสเซียน เธอก็คงจะสามารถแก้ไขอะไร ๆ ได้
“งั้น..แล้วในระว่างนี้ คุณมีอะไรที่อยากทำบ้าง? ออกเดทกับใครสักคน?”
“ไม่ล่ะ... คนอื่นๆ อาจจะชอบเรื่องโรแมนติก แต่ฉันไม่... ฉันเกลียดมัน คุณก็รู้ว่าหลายวันมานี้ ฉันมีแต่ข่าวอื้อฉาวพวกนี้”
เอลิเซียกำลังสงสัยว่าต้องแก้ข่าวลือที่ผิด ๆ นี่ยังไง
ยังไงก็ตาม ถึงแม้ว่าเธออาจจะแก้ข่าวลือนั่นให้ถูกอย่างที่ควรจะเป็นเรียบร้อยแล้ว
แต่หากเธอยังคงนัดเจอกับแคสเซียนเช่นนี้ คำพูดมากมายก็จะตามมาอีก
“หรือเหตุผลเป็นเพราะฉันเกี่ยวข้องกับมกุฏราชกุมาร?”
“ไม่ใช่เลย ก็คุณบอกว่าพวกคุณทั้งคู่เลิกกันแล้วไม่ใช่หรือไง?”
เอลิเซียขมวดคิ้วไม่พอใจ
“งั้นเราต้องเจอกันบ่อยแค่ไหนคะ?”
“ถ้าบอกว่าทุกวัน ผมว่ามันคงจะยากไปหน่อย”
“นี่ท่านดยุค แม้ว่าเราจะต้องเป็นพันธมิตรกันไว้ แต่ฉันไม่ได้คิดว่าจะต้องเจอคุณบ่อยหรอกนะคะ”
“ทุก ๆ สี่วัน”
เอลิเซียลังเลอยู่ครู่หนึ่งและเริ่มเอ่ยปาก
“ทุก ๆ สี่วัน ฉันว่าฉันมีปัญหาแน่ๆ ค่ะ ฉันว่าเดือนละครั้งดีกว่า”
“ทุก ๆ ห้าวัน”
“ทุก 2 สัปดาห์ค่ะ”
“ตกลงที่สัปดาห์ละครั้ง ห้ามต่อรอง”
“ก็ได้.. ค่ะ”
แม้จะแค่สัปดาห์ละครั้ง แต่ก็รู้สึกว่าบ่อยมากอยู่ดี จะต่อรองต่อไปก็ดูยาก
แคสเซียนควานหาของในเสื้อของเขาและหยิบกล่องเล็ก ๆ ออกมา
กล่องแหวนปรากฏต่อหน้าสายตาทุกคน
มือสวยและนิ้วเรียวยาวนั้นบรรจงเปิดกล่อง
ตามคาด มันมีแหวนอยู่ในนั้นจริง ๆ
อัญมณีสีแดงสดฝังอยู่กลางวงแหวนทองคำขาว
เขามองไปที่มือเธอเหมือนตั้งใจว่ากำลังจะสวมแหวนให้ เอลิเซียรีบซ่อนมือไว้ด้านหลังแล้วโพล่งถามด้วยความตกใจ
“นี่มันอะไรกันคะ?”
เขาวางแหวนลงบนฝ่ามือตัวเองคล้ายว่ายอมแพ้ที่จะสวมให้เธอ และให้เอลิเซียลองดูแหวนด้วยตัวเอง
เอลิเซียมองเขาด้วยสายตาสงสัย จากนั้นจึงลดสายตาลงไปที่แหวน
มันไม่ใช่อัญมณีทั่วไป มันคือหินเวทย์
เมื่อมองไปที่เวทมนตร์ที่ถูกสลักอยู่บนหินเวทย์ พลังงานของเวทมนตร์เคลื่อนที่ไปตามที่ที่มันถูกสลักไว้
‘นี่มันเท่าไหร่กันเนี่ย?’
หินเวทย์มีจำนวนน้อยมากและยังถูกสลักด้วยเวทมนตร์ การได้มันมาครอบครองจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก
คุณจะต้องจัดการกับมอนสเตอร์ระดับสูง 1 ตัว เพื่อจะได้รับอัญมณี แถมอัญมณีที่ออกมา มีขนาดเล็กแค่นิ้วก้อยเท่านั้น
เพียงแค่เสี้ยวเล็ก ๆ ของเม็ดอัญมณีที่ถูกฝังลงในแหวนวงนี้ ก็มีมูลค่ามากพอที่สร้างคฤหาสถ์ให้ขุนนางสองสามคนในเมืองหลวงด้วยได้
ไม่สิ ฉันคิดว่าสามารถซื้อถนนได้ทั้งเส้นเลยแหละ
“เจ้านี่ถูกลงเวทมนตร์เอาไว้ให้ไปที่ไหน?”
“ห้องของผมเอง”
“ฮะ ว่าไงนะ?”
เอลิเซียอ้าปากค้างกับคำตอบ
“ห้องที่คุณจะได้พักอยู่ จะไม่มีข้ารับใช้คนใดสามารถเข้าไปได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากผม ดังนั้น คุณจะสามารถพักผ่อนที่นั่นได้อย่างสะดวกสบาย”
ไร้สาระที่สุด ห้องนั่นจะสะดวกสบายได้ยังไง!
“เอาคืนไปเถอะ ฉันไม่รับ”
เขารับแหวนจากเอลิเซียคืนมาและสวมเข้าที่นิ้วก้อยขวาของเธอโดยไม่รอให้เธอยินยอม
แล้วยิ้มอย่างพอใจ เมื่อเห็นแหวนหดตัวจนพอดีเข้ากับนิ้วก้อยนั้น
เนื่องจากเขาเป็นคนทำแหวนนี้ขึ้น จึงไม่มีใครสามารถถอดมันออกได้ นอกจากตัวเขาเอง
“ก็แค่รับไปเถอะ ผมไม่รู้ว่าคุณสามารถควบคุมความต้องการเหล่านั้นได้มากแค่ไหน ...หรือมีอย่างอื่นที่คุณอยากได้อีก?”
“…..”
เอลิเซียไม่สามารถตอบคำถามของเขาได้
เธอจำเป็นที่จะต้องดื่มเลือดมนุษย์เดือนละครั้ง เช่นก่อนหน้านั้น แต่หลังจากนี้ เธอเองก็ไม่แน่ใจ
มิหนำซ้ำ เธอยังทำอย่างอื่นกับเขาอีกต่างหาก
“..โอเค ถ้างั้นพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ ท่านดยุค”
“โปรดติดต่อผมด้วย”
แคสเซียนเดินจากไป เขาบรรลุจุดประสงค์ของการมาเยือนครั้งนี้อย่างน่าพอใจ
****
.