ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 2

Chapter 1


I’m Not Interested In The Main Characters (แปลไทย)

Chapter 1

เอลิเซียตื่นขึ้นเพราะลมหายใจของใครบางคนที่กำลังรดหน้าผากเธออยู่

หากมีใครถามว่า ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เธอเคยมีเช้าที่แสนสงบสุขเช่นนี้บ้างไหม

เธอจะตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีมานี้

ถึงแม้ว่าเธอเพิ่งจะหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าเมื่อตอนเช้ามืดนี่เอง แต่สภาพเธอในตอนนี้ก็ยังดูดีเหมือนเดิม

มุมปากของเธอยกขึ้น

เธอยิ้มให้กับร่างที่ดึงดูดสายตาตรงหน้า แขนของเขากำลังโอบรอบเอวเธออยู่

เธอลูบไล้ใบหน้านั้นและซุกตัวลงในอ้อมแขน มือใหญ่ของเขาเลื่อนพาดผ่านหัวไหล่และโอบกอดเธอไว้

“‘….?”

ทำไมเธอถึงหลับไปด้วยความเหนื่อยกันนะ แล้วความรู้สึกนี่มันคืออะไร?

เดี๋ยวก่อนนะ.... นี่เธออยู่ที่ไหน? ทำอะไรอยู่?

คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวไม่นานนัก ภาพดวงตาสีม่วงอเมทิสต์ที่ร้อนแรงเมื่อคืนก็ผุดขึ้นในความทรงจำ

‘นี่มันเรื่องจริงเหรอเนี่ย! โอ้ย! ฉันอยากจะบ้า’

พระเจ้า! เธอหวังว่า เสียงในความทรงจำนั่นจะไม่ใช่เสียงของตัวเอง

ถ้าเธอจำอะไรไม่ได้เลย มันก็คงจะดี แต่ภาพในห้องนอนนี่มันชัดมาก ชัดเกินไป เธอสามารถบรรยายมันออกมาเป็นฉากๆ ได้ด้วยซ้ำ

เกิดอะไรขึ้น?!

เอลิเซียกำลังรื้อฟื้นความทรงจำของตัวเองโดยพยายามไม่ทำให้เจ้าของมือที่กำลังดึงตัวเธอเข้ามากอดอยู่นั้น ได้สติ

*****

ในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นทุกฤดูหนาวโดยราชวงศ์จิโอวานนี...

เอลิเซียกำลังมองดูชายและหญิงที่กำลังเต้นรำอยู่กลางโถงด้วยความพึงพอใจ

‘พอพวกเขาอยู่ด้วยกันแล้วมันช่างดูดีจริงๆ’

ชายและหญิงที่กำลังเต้นรำคือ ‘เรวอส’ พระเอกและ ‘ลูเมียร์’ นางเอกของนิยายเรื่องนี้

นี่เป็นฉากพบกันครั้งแรกของตัวละครทั้งสอง มันคือบทแรกของเรื่อง

เอลิเซียที่กำลังจิบแชมเปญด้วยความสุขใจ เริ่มขมวดคิ้ว

‘อีกแล้วเหรอ...’

การมองเห็นของเธอเริ่มมัวและกลับมาชัดสลับกันไปมาซ้ำๆ

ที่ด้านหลังสุดของห้องจัดเลี้ยง มีเสียงของผู้คนกำลังกระซิบบอกรักกันอย่างเงียบๆ

เสียงของเด็กๆ ที่กำลังถามเกี่ยวกับชุดและทรงผมวันนี้ของตัวเอง กลิ่นน้ำหอมของผู้คนปะปนกัน

หรือแม้แต่ชุดเดรสหลากสีสันและแสงที่สะท้อนจากแชนเดอเลียคริสตัล

ทั้งหมดนี้ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยล้า

เอลิเซียเดินสะดุดเล็กน้อย เธอจึงวางแก้วแชมเปญที่ถืออยู่ลง ท่ามกลางสายตาของผู้คนและอัศวินรอบข้างที่จับจ้องมาที่เธอ

ขุนนางทุกตระกูลต่างเข้าร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ รวมไปถึงอัศวินที่เพิ่งกลับมาจากสงครามมอนสเตอร์ครั้งยิ่งใหญ่ที่ยาวนานถึง 3 ปี ก็เข้าร่วมงานด้วยเช่นกัน

ดังนั้นมันจึงมีสายตาหลายคู่กว่าปกติที่จับจ้องเธอด้วยความสนอกสนใจ

เธอมีดวงตาสีทับทิมที่โตเล็กน้อยและมีผมสีเงินพลิ้วสลวยยาวถึงเอว

นอกเหนือจากรูปลักษณ์ที่มีเสน่ห์ เดรสสีฟ้าที่เธอสวมใส่ยังเผยให้เห็นรูปร่างอันเย้ายวนไม่แพ้กัน

นับตั้งแต่ที่เธอได้ครอบครองร่างนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เธอก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงขึ้นเรื่อย ๆ

พูดได้ว่า ตัวตนในอดีต ของเธอสามารถเข้ากับร่างปัจจุบันนี้ได้เป็นอย่างดี

เอลิเซียมุ่งหน้าออกไปนอกห้องจัดเลี้ยงเพื่อพักจากอาการที่เกิดขึ้น

ที่นอกห้องจัดเลี้ยง เธอเขยิบหาที่ที่เหมาะพอที่จะยืนพิงได้

‘ค่อยยังชั่วหน่อย...’

ทิศทางของห้องจัดเลี้ยงและลมที่พัดมาจากอีกด้านผสมกับกลิ่นจากใครสักคน

กลิ่นนั่นเย้ายวนจนทำให้เธอรู้สึกใจหวิว

ลมค่อยๆ พัดแตะแก้มและเส้นผมเธอเบา ๆ อีกครั้ง ทำให้เธอเหมือนจะรู้สึกสดชื่นขึ้น

.

ทันทีที่สายตาเริ่มกลับมามองเห็นชัด เธอก็เริ่มขยับร่างเพื่อมองหาเจ้าของกลิ่นเย้ายวนนั่นราวกับคนขาดสติ

เพราะเธอขาด ‘เลือด’ เป็นเวลานาน เพื่อให้เธอไม่พลาด ‘เหยื่อ’ รายนั้น การรับกลิ่นของเธอจึงไวขึ้นอย่างรู้สึกได้

เขาอยู่ไกลแค่ไหนกัน?

เธอกำลังสะกดรอยตามชายคนหนึ่งข้างหน้าด้วยร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมได้

นับจนถึงตอนนี้ นี่ก็เป็นเวลาที่นานมากแล้ว หลังจากที่เธอได้เหยื่อคนล่าสุดมา

อยู่ห่างจากตรงนี้สัก 20 ก้าวได้ไหมนะ?

บนถนนอันมืดมิด มีเพียงชายคนนั้นและเธอ

เรื่องนี้ไม่ใช่นิยายสยองขวัญ

.

สิ่งที่แย่ คือ เธอไม่เคยปรารถนาที่จะเป็นแวมไพร์เลย

และที่แย่กว่าคือ เหตุการณ์ตอนนี้กำลังทำให้เธอเสียสติ

เมื่อลมพัด กลิ่นของร่างที่กำลังกระตุ้นเธออยู่ก็ลอยมาแตะปลายจมูก เสียงที่ขุ่นเคืองก็ระเบิดออกมา

“ฮ่า ฮ่า..”

ณ ช่วงเวลานั้น ปฏิกิริยาของร่างกายเธอกำลังเปลี่ยนไป

ชายผู้นั้นเดินไปสักพักก็หยุดลง

‘อย่าหยุดเดินนะ’

เธอไม่สามารถอ้าปากร้องออกไปได้

เขาไม่ควรอยู่ที่นี่ ตราบใดที่กลิ่นเขายังคงอบอวลอยู่แบบนี้

ดอกซ่อนกลิ่นสีขาวกำลังส่องประกายท่ามกลางแสงจันทร์

ชายผู้นั้นเผยตัวออกมาท่ามกลางกลิ่นของดอกซ่อนกลิ่นที่อบอวลอยู่รอบตัวเขาและหันกลับมามองเธอ

ดวงตาสีม่วงอเมทิสต์เหลือบมองลงมาเผชิญหน้าเธออย่างใกล้ชิด

ดวงตาคมและริมฝีปากสีแดงทำให้เขามีใบหน้าที่มีสีสันแปลกตา

เขามีร่างกายที่สูงใหญ่ กำยำเสียจนเธออยากจะลองได้ถอดเสื้อผ้านั่นออกดูสักครั้ง

‘นี่มันไม่ยุติธรรมเลย แม้แต่หน้าตาเขาก็ยังเป็นสเปคของฉัน’

ความไม่พอใจแสดงออกอย่างชัดเจนผ่านดวงตาสีม่วงนั่น

มีเพียงคนเดียวบนโลกนิยายแห่งนี้ที่มีผมสีดำและดวงตาสีม่วงอเมทิสต์ เขาคือ ‘แคสเซียน ดยุคเอสเตบัน’

แคสเซียนอ้าปากถามเอลิเซียที่กำลังเหนื่อยหอบ

“นี่คุณเมาหรือคุณต้องการอะไร? ทำไมเอาแต่เดินตามผมอยู่ได้?”

เมื่อได้ยินเขาพูดขึ้น เพียงสิ่งเดียวที่เธอคิดคือ เสียงทุ้มต่ำนี้มันช่างเซ็กซี่เสียจริง โดยได้ไม่สนใจเนื้อหาในคำพูดนั้นเลยแม้แต่น้อย

เมื่อดวงตาสีแดงของเอลิเซียมองเห็นได้ชัดขึ้น มันก็เปล่งรังสีอันตรายออกมา เธอเลียริมฝีปากที่อวบอิ่ม และขยับเข้าใกล้เขามากขึ้น

ระยะห่างของทั้งคู่แคบลงอย่างรวดเร็ว

“…นี่คุณจะทำอะไร?!”

แคสเซียน คิดว่าเธอเป็นแค่ขุนนางธรรมดาๆ เขาขยับตัวและเลิกคิ้วขึ้น

เขามองดูเธอวางมือบนหน้าอกของตัวเอง เอลิเซียกอดและทิ้งตัวลงไปบนตัวเขา

นิ้วเรียวงอของเธอ กดลงบนริมฝีปากของแคสเซียน ขณะที่เขากำลังพยายามพูดบางอย่างออกไป

สิ่งที่เธอทำอยู่มันไม่เหมือนคนเมา

“ชู่ววว...”

เอลิเซียกดริมฝีปากของแคสเซียนเบาๆ ด้วยนิ้วชี้ และส่งสัญญาณให้เขาเงียบ

มืออีกข้างเคลื่อนผ่านหน้าอก ไล้ขึ้นไปที่ต้นคอของเขา

แคสเซียนยกมือผลักเธอออก แต่เอลิเซียกลับผลักเขากลับจนหลังชิดกับต้นไม้ที่อยู่ด้านหลัง

เขาไม่ได้พยายามหยุดเธออย่างเต็มแรง เพราะเขาคิดว่ากำลังรับมือกับหญิงสาวผู้บอบบางอยู่

และตัวเอลิเซียเองก็มีพลังมหาศาล นั่นจึงทำให้แคสเซียนรู้สึกเจ็บนิดหน่อย

มันทำให้เขารู้สึกว่า เลดี้ที่อยู่ตรงหน้า ช่างน่าสนใจไม่น้อย

และแม้ว่าเขาจะพยายามหลบหนีแค่ไหน แต่เธอก็สามารถขวางเขาเอาไว้ได้อยู่ดี

เขาอ้าปากกว้างด้วยความรู้สึกประหลาดใจ

ในช่วงจังหวะนั้นเอง ริมฝีปากของเขาถูกประกบเข้าด้วยริมฝีปากอวบอิ่มของเธอทันที

ลิ้นนุ่มสอดแทรกเข้าไปอย่างไม่ทันตั้งตัว

จูบนั้นทำเขาหายใจไม่ทัน มันร้อนแรงจนเขาต้องกลืนลมหายใจตัวเอง

เสียงน้ำลายที่ผสมกันดังก้องในหูของเอลิเซีย มือของเธอยังคงบีบรอบต้นคอของเขา

ในขณะที่จูบอันลึกซึ้งยังคงดำเนินต่อไป เขี้ยวแหลมคมของเธอก็โผล่ออกมา

เธอฝังเขี้ยวลงริมฝีปากล่างของแคสเซียนและฝังลึกลงไปเรื่อยๆ ราวกับเธอกำลังขุดหาบางสิ่ง

ความรู้สึกเสียวซ่านและกลิ่นคาวเลือดคลุ้งกระจายอยู่ในปากของเขา

พลันความรู้สึกเหมือนได้ดื่มยากระตุ้นความต้องการก็โจมตีเขาในขณะเดียวกัน

“…”

“อาา”

เอลิเซียหายใจออกและคลายริมฝีปากออก

เธอปลดกระดุมชุดของแคสเซียนแล้วเอาใบหน้าซุกเข้าตรงท้ายทอย ก่อนหายใจเข้าลึกๆ

กล้ามเนื้อแผ่นหลังของแคสเซียนเกร็งขึ้น

เขาพยายามผลักเธอออกอย่างเต็มแรง แต่มันช้าเกินไป เอลิเซียสอดเขี้ยวเข้าที่หลังคอและเริ่มดื่มเลือดอย่างตั้งใจ

ร่างกายของเธอเริ่มสั่นสะท้านจากความรู้สึกที่เธอไม่ได้พบเจอมานาน

เธอไม่คิดด้วยซ้ำว่าเธอควรหยุด ...ใช่ เธอไม่ต้องการหยุด

เอลิเซียโอบแขนรอบคอและดึงเขาเข้ามาใกล้ เมื่อร่างทั้งสองกอดกันแน่นเธอก็รู้สึกพอใจ

“เฮือก—”

แคสเซียนจับไหล่ของเอลิเซียอีกครั้งและผลักเธอออก

ความแข็งแกร่งของเธอได้หายไปหมดสิ้นภายใต้อ้อมแขนของเขา

เอลิเซียไม่สามารถควบคุมตัวเอง

แคสเซียนจับเอวของเอลิเซียที่อ่อนแรงและพยุงตัวเธอ

“บอกผมหน่อย นี่ผมถูกโจมตีจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย?”

***

“น..น..นี่มัน..บ้าไปแล้ว..”

“ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ถ้าคุณยังง่วง คุณนอนต่อได้อีกหน่อยนะ”

เอลิเซียรู้สึกขนลุกจากเสียงทุ้มต่ำของเขา

เธอได้ยินเสียงเขาหัวเราะเบาๆ

แคสเซียนปัดผมออกจากใบหน้าของเธอด้วยสัมผัสที่อ่อนโยน แล้วลุกขึ้นจากเตียง

ก่อนที่เธอจะรู้ตัว ดวงตาสีทับทิมของเธอก็มองไล่ตามเขาไปแล้ว

แม้ในความมืด เธอยังคงมองเห็นร่างของชายคนนั้น

‘เกิดอะไรขึ้นกับฉันกันนะ?’

เป็นไปได้ไหมที่เธอจะกลายร่างเป็นแวมไพร์อย่างสมบูรณ์แล้ว ?

ขณะเอลิเซียกำลังครุ่นคิด เธอก็ถูกหันเหความสนใจด้วยร่างของชายตรงหน้าที่สามารถมองเห็นได้ชัดขึ้น

ไหล่ผายและกล้ามเนื้อหลังที่สวยงามดึงดูดสายตาเธอ

รอยแดงกลางแผ่นหลังที่ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนทำมันเมื่อคืนนี้ ยิ่งทำให้เขาดูเซ็กซี่

ในขณะที่เธอมองต่ำลงไปตามแนวกระดูกสันหลัง เธอเห็นกล้ามเนื้อบริเวณต้นขาที่มีความหนาอย่างพอเหมาะ

เธอกลืนน้ำลายอึกใหญ่โดยไม่รู้ตัว มันเป็นความกระหายอย่างเห็นได้ชัด

เธอไม่สามารถละลายสายตาไปจากร่างกายของเขาได้ เขาเงยหน้าขึ้นเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่

เอลิเซียสะดุ้งเมื่อดวงตาสีม่วงของเขาจ้องเธอ

สายตาคู่เดิมคู่เดียวกับที่มองเธออย่างร้อนแรงเมื่อคืน ทำให้เอลิเซียรีบคว้าผ้าห่มมาคลุมตัวเองไว้

แคสเซียนเอ่ยปาก

“ดูเหมือนว่าคุณจะละสายตาจากร่างกายของผมไม่ได้สินะ ถ้าคุณโอเค ผมยินดีนะถ้าเราจะทำกันอีกรอบ ...”

เขาส่งยิ้มละลายใจและเอียงคอ นั่นทำให้เห็นรอยเขี้ยวบนหลังคอเขาได้อย่างชัดเจน

หนึ่ง สอง สาม ...โอ้พระเจ้า

เธอดูดเลือดเขาถึง 3 ครั้ง แต่ผู้ชายตรงหน้าเธอกลับยังคงสบายดีอยู่ แถมออกจะแฮปปี้เกินไปด้วยซ้ำ

‘ถ้าคุณอยากให้ฉันหยุด อย่าผลักฉันออกด้วยใบหน้าแบบนั้น’

ประโยคที่บอกเขาเมื่อคืน แต่กลับกลายเป็นตัวเธอเองที่หมดแรงจนอยากจะร้องออกมา

เมื่อนึกถึงร่างของชายคนนั้น ภาพเหตุการณ์ก็ผุดขึ้นมาในหัวเรื่อยๆ

ยิ่งเธอพยายามไม่คิด เธอก็ยิ่งได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเขาพูดว่า ‘อย่ายั่วผมไปมากกว่านี้ได้ไหม'

เอลิเซียทึ้งหัวตัวเองด้วยท่าทางหมดหวัง

“คุณกำลังคิดอะไรอยู่น่ะ? ทำไมหน้าแดง”

เอลิเซียไม่แม้แต่จะสามารถโต้ตอบคำพูดที่หยอกล้อของเขาได้

‘ถูกจับได้ไม่พอ แถมยังค้างคืนที่นี่อีก!’

เธออยากจะตีตัวเองจริงๆ เมื่อคืน

‘แต่รสนิยมของเขาก็ดีเลยเชียวแหละ’

ในขณะเดียวกัน เธอก็คิดว่าเธอถูกใจผู้ชายคนนี้

เอลิเซียยกมือขึ้นตบแก้มทั้งสองข้างของตัวเองเพื่อเรียกสติ

“ทำแบบนี้ ไม่เจ็บหรือไง?”

มือใหญ่ของแคสเซียนแตะที่หน้าผากของเธอ

ดยุคแห่งเอสเตบันเป็นคนที่ไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึงเท่าไหร่ในนิยาย ข้อมูลทั้งหมดที่เธอรู้เกี่ยวกับแคสเซียนมีแค่เรื่องพื้นๆ เท่านั้น

เขาเป็นชายคนแรกที่เข้าร่วมในสงครามมอนสเตอร์ครั้งล่าสุด และชัยชนะในสงครามก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย ถ้าปราศจากเขา

เขายังเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดและเป็นผู้นำอัศวินเอสเตบัน

ตำแหน่งที่ผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งนี้ ยากเสียยิ่งกว่าการได้เป็นอัศวินแห่งจักรวรรดิ

แม้ว่าที่จริงเขาจะเป็นคนที่มีความสามารถระดับปรมาจารย์ แต่นิยายเรื่องนี้กลับให้น้ำหนักกับเขาน้อยมาก

นอกจากที่กล่าวไปทั้งหมดแล้ว ข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับชายคนนี้ก็แทบจะไม่มีเลย

เธอไม่รู้ว่ามันโชคดีหรือโชคร้ายที่เขาบังเอิญมารู้ความลับของเธอเข้า

ชีวิตของเธอต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ? หรือเธอควรจะหนีไปที่ไกลๆ เสียเลยก็น่าจะดี ซ่อนตัวตนและอยู่อย่างเงียบๆ

หากโชคดี เธออาจจะได้มีชีวิตที่สงบสุขอยู่ที่ไหนสักที่

แต่ถ้าโชคไม่เข้าข้าง หากเธอหนีไม่พ้น ชะตากรรมของเธอคงจบอย่างเลวร้าย

‘อนาคตจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่ตอนนี้ฉันควรหนีออกจากที่นี่ก่อน!’

เอลิเซียตัดสินใจใช้พลังทั้งหมดของเธอหลบหนีไปในที่สุด

.

.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด