80Y-ตอนที่ 26 สมบัติที่หลับใหล
หลินจิ่วเฟิง อยากรู้มากขึ้นว่าคนเหล่านี้มาทำอะไรที่ตำหนักเย็นแห่งนี้
เป็นเวลากว่า 5 ปีแล้วที่เขาไม่มีผู้เยี่ยมเยือนเข้ามายังตำหนักเย็น
อย่างไรก็ตาม-เจ้าของตำหนักเย็นแห่งนี้-หลินจิ่วเฟิง ไม่ได้ฆ่าพวกเขาตั้งแต่แรกพบ
เขาได้สังเกตุมองดูจากระยะไกล และอยากรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังวางแผนจะทำอะไรในตำหนักเย็น
‘ในหมู่พวกเขา มีเพียงคนสองคนที่ข้าควรให้ความสนใจ’
‘ชายชราที่มีพลังชีวิตเสื่อมโทรม และ ร่างกายเหี่ยวย่อนราวกับมัมมี่ แต่นี่เป็นเพียงรูปลักษณ์ของเขา อีกฝ่ายมี เม็ดโลหิตขนาดใหญ่ในจุดตันเถียน เมื่อเปิดใช้งานแล้ว จะสามารถดึงพลังสูงสุดออกมาได้ทันที’
‘ส่วนอีกคนราวกับพวกสมองกล้ามบ้าพลัง 2 คนนี้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปราชญ์การต่อสู้’
‘นอกจาก 2 คนนี้ คนที่เหลือก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล’
หลินจิ่วเฟิง ได้บ่นพึมพัมในใจของเขา
เขาได้พูดอย่างเคร่งครัด แต่ก็ไม่ได้กังวลกับ ผู้อาวุโสศพ และ ถู๋ป๋อ
เหตุผลที่เขากล่าวนั้นออกไปก็เพราะพวกเขาเป็น ปราชญ์การต่อสู้
หลินจิ่วเฟิง ยังต้องแสดงความเคารพต่อพวกเขาเนื่องจากศักดิ์ศรีของพวกเขา
“ตำหนักเย็นแห่งนี้ทรุดโทรมไปหมดแล้ว นอกจากจะมีพื้นที่พลังงานด้านลบอยู่ลึกลงไปในใต้ดิน ที่นี่ก็ยังมีเพียงซากปรักหักพังของนิกายซากศพ…”
หลินจิ่วเฟิง ได้คาดเดาภูมิหลังของอีกฝ่าย
เป็นเพราะฉากนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว
ย้อนกลับไปในตอนนั้น สาวก 2 คนของนิกายซากศพได้แอบเข้ามายังตำหนักเย็น เพื่อค้นหา ร่างของบรรพบุรุษอาวุโสของนิกายซากศพ
เพียงแต่พวกเขาได้ถูกค้นพบโดย หลินจิ่วเฟิง
จากนั้นทั้งสองคนก็ถูกสังหารกระทั่งศพของบรรพบุรุษอาวุโสของพวกเขาก็ได้เปลี่ยนกลายเป็นไร้นามในปัจจุบัน ซึ่งเป็น ผู้พิทักษ์ของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
หลินจิ่วเฟิง จำเรื่องนี้ได้อย่างชัดเชน
เขายังจำบทสนทนาของทั้งสองคนนั้นได้จนถึงตอนนี้
พวกเขากล่าวว่า นิกายซากศพ วางแผนที่จะเปิดเผยตัวสู่โลกหล้าอีกครั้งในอีก 10 ปีต่อมา
หลินจิ่วเฟิง ได้เฝ้ารอพวกเขามาโดยตลอด
เพียงแต่เขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะใช้เวลาถึง 15 ปีก่อนที่พวกเขาจะส่งคนกลุ่มนึงมุ่งหน้ามายังตำหนักเย็นอีกครั้ง
“ตอนนั้นข้าได้ ไร้นาม มา ก็ต้องขอบคุณพวกเจ้า ดังนั้นข้าสงสัยว่าวันนี้ข้าจะได้รับอะไรจากพวกเจ้า”หลินจิ่วเฟิง ได้สังเกตุผู้บุกรุก และ เอามือไขว้หลังเอาไว้ เขาไม่ได้รบกวนการสำรวจของคนกลุ่มนี้
เขาเพียงเฝ้าดู
แม้แต่ปราชญ์การต่อสู้ทั้ง 2 คน ก็ไม่รู้สึกถึงการจ้องมองของ หลินจิ่วเฟิง
พวกเขาจดจ่ออยู่กับงานที่พวกเขากำลังทำอยู่ในขณะนี้ โดยการวัดทุกอย่างในตำหนักเย็นและมองหาตำแหน่งเฉพาะเจาะจงเหล่านั้น
ถู๋ป๋อ และ อาวุโสศพ ได้รับผิดชอบในหน้าที่นี้ ส่วนคนอื่น ๆ เป็นเพียงเครื่องมือที่สะดวกต่อพวกเขาในการใช้งาน พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อมองหาสมบัติล้ำค่าของนิกายซากศพ
ถู๋ป๋อ ได้มองไปที่ลูกน้องของเขาอย่างช่วยไม่ได้ที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการค้นหา
เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา“พูด เหตุใดบรรพบุรุษอาวุโสถึงไม่นำสมบัติโบราณออกไปด้วย?”
เขาไม่เข้าใจ
คงจะดีไม่น้อยหากบรรพบุรุษอาวุโสได้นำสมบัติติดตัวไปกับเขา ตอนที่นิกายซากศพ ถูกย้ายออกไปในเวลานั้น หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะได้ไม่ต้องมาเสี่ยงชีวิตกับการมาที่เมืองหลวงราชวงศ์เพื่อค้นหาขุมทรัพย์อย่างลับ ๆ
พวกเขาไม่กล้าที่จะทำตัวเอิกเกริก
เพราะกลัวว่ากระบี่ลึกลับจะพุ่งเข้ามาสังหารพวกเขา
ผู้อาวุโสศพได้ยินคำถามของ ถู๋ป๋อ
หลังจากมองไปรอบ ๆ เขาก็ตอบกลับด้วยเสียงต่ำ“ผู้อาวุโสของนิกายทั้งหมดอ้างว่าการเคลื่อนย้ายครั้งแรกออกจากสถานที่นี้ เป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าสถานที่นี้ไม่เหมาะกับนิกาย เจ้าเชื่ออย่างนั้นจริงหรือ?”
“ไม่มีทาง!”ถู๋ป๋อ ได้ตอบกลับอย่างเย็นชา
“นิกายซากศพของเราก่อตั้งขึ้นเมื่อพันปีก่อน พวกเราได้ใช้เวลามากกว่า 800 ปี และ สร้างเกียรติยศอย่างมีชื่อเสียงตลอด 200 ปีสุดท้าย”
“ในตอนนั้น ท่ามกลางขุนเขาและแม่น้ำที่มีชื่อเสียง มีสถานที่ใดบ้างที่ไม่เหมาะที่จะฝังศพคนจากนิกายซากศพของเรา?”
“เพราะพวกเราพอใจกับการแย่งชิงซากศพจากทุกที่ ทำให้เวลาต่อมา ได้ไปสร้างความโกรธแค้นต่อสาธารณชน จนผู้ที่อยู่ในเส้นทางดั้งเดิม และ นิกายปีศาจ ใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นในการผนึกกองกำลังร่วมกันในการจัดการกับเรา”
“แม้แต่ราชสำนักก็ยังบีบบังคับพวกเรา ขับไล่พวกเราออกไปราวกับฝูงสุนัขที่ถูกปฏิเสธ”
“พวกเราได้ถูกบังคับให้ต้องย้ายรกรากของนิกายออกไป เพียงแต่เรารีบร้อนเกินไปจนไม่ได้ขุดร่างของบรรพบุรุษอาวุโสและสมบัติบางส่วนที่ถูกทิ้งไว้ไปด้วย จากนั้นพวกเราก็จากไปเพราะความเร่งรีบ”
ถู๋ป๋อ ได้เล่าถึงอดีตของนิกาย
นี่คืออดีตของนิกายซากศพ
นิกายซากศพก่อตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยก่อน พวกเขามีความทะเยอทะยานในการเติบโตที่ไม่ถูกยับยั้ง พวกเขาฉวยร่างจากทุกที่จนไปสร้างความโกรธเคืองให้กับผู้คนจำนวนมาก
ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 400 ปีก่อน
ในตอนที่ ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา ก่อตั้งขึ้น นิกายซากศพก็ได้ย้ายออกไปแล้ว
เกี่ยวกับพื้นที่ก่อนหน้าที่ยังหลงเหลืออยู่ของนิกายซากศพ มันได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวงราชวงศ์ของพวกเขา จากนั้นมาทางราชวงศ์ก็ขยับขยายอาณาเขตอย่างต่อเนื่อง
ส่วนองค์ชายที่สร้างตำหนักเย็นขึ้นในตอนนั้น
ความจริงก็คือเขาตกเป็นเหยื่อ
เขาถูกหลอกให้สร้างพระราชวังขึ้นในสถานที่ที่มีพลังงานด้านลบที่รุนแรง ซึ่งสถานที่แห่งนี้เคยเป็นซากปรักหักพังของนิกายซากศพมาก่อน
ไม่นานพระราชวังก็ถูกสร้างขึ้น
ภายนอกนั้นงดงามแต่ภายในก็แค่ผิวเผิน
ไม่มีใครให้ความสนใจเกี่ยวกับอดีตซากปรักหักพังของนิกายซากศพ
จากนั้นไม่นาน สุขภาพขององค์ชายก็ค่อย ๆ แย่ลง
โชคของเขาแย่ลงและในไม่ช้าเขาก็ได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่
จนทำให้สถานที่แห่งนี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นตำหนักเย็นที่เอาไว้ใช้ลงทันฑ์ในภายหลัง
หลินจิ่วเฟิง ได้แอบฟังการสนทนาของทั้งสองคนจากจุดที่ไม่ไกลพวกเขามากนัก
เขาได้ขยับเข้ามาใกล้ แต่ปราชญ์การต่อสู้ทั้ง 2 คนไม่ได้สังเกตุเห็นเขา
สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถที่แท้จริงของ หลินจิ่วเฟิง
แม้ว่าพวกเขาทั้ง 3 จะอยู่ในช่วงทำความเข้าใจของขั้นปราชญ์การต่อสู้เหมือนกัน แต่ช่องว่างระหว่างพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรไปจาก ผืนฟ้าและปฐพี มันไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้
“อย่างที่เจ้าพูด เพราะพวกเราถูกขับไล่ออกไปในเวลานั้น”
“พวกเราจึงไม่สามารถรับสิ่งเหล่านี้ได้ ดังนั้นพวกเราจึงทิ้งพวกมันไว้ที่นี่โดยหวังว่าจะสามารถกลับมาได้ในอนาคต แต่ทางราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา ได้ก่อตั้งขึ้นหลังจากนั้น ทำให้ นิกายซากศพของเรา เกิดความระสับระส่ายต้องย้ายรกรากหนีเข้าไปหลบซ่อนตัวในเงามืด”
“จนถึงตอนนี้ พวกเราก็ยังไม่ได้เก็บกู้สิ่งเหล่านี้กลับคืนมา”ผู้อาวุโสศพ ได้ตอบกลับเบา ๆ
“แล้วสิ่งที่เรียกว่าสมบัตินี้มันคืออะไรกันแน่?”
ถู๋ป๋อ ได้กล่าวถามเบา ๆ
หลินจิ่วเฟิง ก็ตั้งใจฟังอย่างจริงจัง
เขาเองก็อยากรู้เหมือนกัน
ที่นี่คืออาณาเขตของเขา หากมีสมบัติมันย่อมตกเป็นของเขาโดยธรรมชาติ
“สมบัตินี้ก็เป็นเพียงแค่ชื่อเรียกในการพูด”
“พวกเราได้ก่อตั้งนิกายขึ้นที่นี่เพราะเราค้นพบว่าที่นี่มีพลังงานเชิงลบมากมายที่อยู่ด้านล่างแห่งนี้ โดยมันได้ถูกปิดกั้นเอาไว้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามนิกายของเราต้องย้ายออกไปก่อนที่จะมีเวลาได้สำรวจมัน”ผู้อาวุโสศพได้ลดเสียงลงขณะที่เขาอธิบาย
เสียงของเขาเบามาก-ราวกับว่าเขากลัวว่าคนภายนอกจะแอบฟังการสนทนาของพวกเขา
หลินจิ่วเฟิง ที่อยู่ค่อนข้างไกล
เขาได้ก้าวไปข้างหน้า 2-3 ก้าวและไปถึงในระยะ 5 เมตรจากพวกเขา
อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังไม่ค้นพบการปรากฏตัวของ หลินจิ่วเฟิง
ในเวลานี้ หลินจิ่วเฟิง ได้ดึงพลังงานทางโลกที่เขาพยายามอย่างเต็มที่ในการทำความเข้าใจตลอดช่วงระยะเวลา 5 ปีมาใช้กับตัวเอง
คลื่นพลังที่ไม่สามารถอธิบายได้ หลอมรวมเป็นหนึ่งกับหลินจิ่วเฟิงทันที
คลื่นพลังนี้ก็ไม่ต่างไปจากธรรมชาติ
ธรรมชาติและมนุษย์ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน!
เมื่อ หลินจิ่วเฟิง ยืนอยู่ตรงนั้น เขาก็ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
ตราบใดที่เขาไม่ได้พูดหรือใช้ทักษอะไรออกมา ทั้งสองคนนี้ ก็ไม่มีทางที่จะตรวจพบตัวตนของเขาได้
แน่นอนว่าขีดจำกัดในปัจจุบันของ หลินจิ่วเฟิง ก็คือระยะ 5 เมตร
ถ้า 2 คนนี้ไม่ได้อยู่ขั้นปราชญ์การต่อสู้ แม้ว่า หลินจิ่วเฟิง จะโจมตีพวกเขาต่อหน้าต่อตาพวกเขาก็ไม่มีทางที่จะค้นพบการมีอยู่ของเขาเลยแม้แต่น้อย
ถู๋ป๋อ อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ“เข้าใจแล้ว รีบเปิดสถานที่แห่งนั้นเถอะ พวกเราจะได้รีบนำสมบัติและออกไปจากที่นี่”
เมื่อพูดถึงสมบัติแล้ว อารมณ์ของ ถู๋ป๋อ ก็ดีมากขึ้น
“เรามาที่นี่แค่สำรวจ เมื่อเราพบสถานที่นั้นแล้ว เราจะต้องกลับไปรายงานท่านประมุข แล้วเขาจะมาที่นี่เป็นการส่วนตัว”ผู้อาวุโสศพได้สั่นศีรษะ เขาได้ดับความหวังของ ถู๋ป๋อ ในการเก็บสมบัติด้วยตัวเอง
ถู๋ป๋อ ได้พึมพัมออกมา“ถ้าอย่างนั้น พวกเราคงต้องรอให้ท่านประมุขมาที่นี่ก่อนและค่อยเปิดมัน”
“อย่างไรก็ตาม การทิ้งสมบัติไว้ในตำหนักเย็น ก็ค่อนข้างปลอดภัย…”
“ไม่มีใครมารบกวนพวกมันที่นี่ อีกทั้งเรายังมี องค์รัชทายาท ที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งเป็นคนคอยคุ้มกันให้อีกด้วย”ผู้อาวุโสศพ ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ถูกต้อง เพียงแต่องค์รัชทายาทผู้นั้นคงไม่มีทางรู้ว่ามีความลับมากมายซ่อนอยู่ใต้ตำหนักเย็นแห่งนี้”ถู๋ป๋อ ได้ยิ้มออกมา
ขณะที่มองดูลูกน้องของเขาทำงานอย่างน่าเบื่อ ดังนั้นพวกเขาจึงล้อเลียน หลินจิ่วเฟิง
แต่สำหรับ หลินจิ่วเฟิง แล้ว เป็นพวกเขาต่างห่าง ที่กำลังถูกล้อเลียนอยู่ แม้ว่าตัวเขาจะอยู่ใกล้ 5 เมตร อีกฝ่ายก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้
“ข้าจะอยู่นิ่ง ๆ สักพัก…”
“รอจนกว่าลูกน้องของพวกเจ้าจะตรวจสอบเสร็จ แล้วข้าจะคิดบัญชีกับพวกเจ้าสองคน”
หลินจิ่วเฟิง ยังคงแสดงท่าทีสงบออกมา
ตั๊กแตนตำข้าวไล่ตามจั๊กจั่น โดยที่ไม่รู้เลยว่านกขมิ้นกำลังจ้องมองจากเบื้องหลัง
หลังจากค้นหาประมาณ 2 ชั่วยาม ในที่สุด ก็มีคนรายงาน
“พวกเราค้นพบทางเข้าใต้ดินแล้ว!”
ตวงตาของ ถู๋ป๋อ และ อาวุโสศพ เป็นประกายในทันที พวกเขารีบเดินไป
ดวงตาของ หลินจิ่วเฟิง ก็สว่างขึ้น เขาได้เดินตามทั้งสองคนไปอย่างสบาย ตามรอยเท้าของพวกเขา