80Y-ตอนที่ 25 กลุ่มคนในเงามืด
ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาได้ต้อนรับจักรพรรดิองค์ใหม่และเป็นช่วงเวลาที่ทำให้โลกหล้ารู้สึกยินดีกับความมั่นคงสงบสุข
เวลา 5 ปีที่ หลินเทียนหยวน จักรพรรดิหมิง เสด็จขึ้นครองบัลลังก์ เขาได้ดำเนินการปฏิรูปตามเส้นทางที่จักรพรรดิหยวนทิ้งไว้ให้
เขาทำงานอย่างหนักเพื่อชำระดินแดนที่เน่าเฟะ และ ปราบปรามตระกูลขุนนางฉ้อโกงทั้งหลาย รวมถึงรับเอาผู้ลี้ภัยจากสถานที่ต่าง ๆ มา
นอกจากนี้ เขายังได้บูรณะดินแดนที่ขุนนางชั้นสูงทั้ง 9 เคยครอบครองก่อนหน้านี้
อีกทั้งเขายังตามล่าพวกกบฏที่มีความใกล้ชิดกับเหล่าขุนนางทั้ง 9
เมื่อเวลาผ่านไป ปัญหาต่เนื่องที่กวนใจราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาเป็นเวลาหลายร้อยปีในที่สุดก็ได้รับการแก้ไขโดย หลินเทียนหยวน
ทั้งราชวงศ์และประชาชนต่างยกย่องในผลงานอันยิ่งใหญ่ของเขา
แต่หลินเทียนหยวน หาได้คล้อยตามเพราะเขารู้ว่านี่ไม่ใช่ผลงานของตัวเอง
เขามีหน้าที่แค่ผูกต้นชนปลายและเก็บเกี่ยวผลลัพธ์เท่านั้น
ปัญหาที่แท้จริงได้รับการแก้ไขโดยลุงของเขาที่อาศัยอยู่ในตำหนักเย็น
5 ปีนับตั้งแต่เขาขึ้นครองบัลลังก์ เขายุ่งกับงานราชกิจเกินกว่าที่จะปลีกตัวไปพบลุงของเขา
แน่นอนว่าอีกเหตุผลนึงก็คือ หลินจิ่วเฟิง ไม่ชอบให้ใครมารบกวน
ในทางกลับกัน หลินเทียนหยวน ไม่กล้าที่จะหย่อนยาน เพราะกลัวจะทำให้เสด็จพ่อที่ล่วงลับของเขาไปผิดหวัง
จนขนาดอีกฝ่ายได้ฉายาว่า จักรพรรดิหยวน คนที่สอง ที่มัวเมาไปกับงานราชกิจ
พระองค์ทรงอนุมัติและแก้ไขงานราชกิจทั้งกลางวันและกลางคืน
เขาไม่กล้าแม้แต่จะหย่อนยาน-แม้เพียงครู่เดียว
…
ตำหนักเย็น
เวลา 5 ปีผ่านไป รูปลักษณ์ของ หลินจิ่วเฟิง ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย
อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ของเขากลับทำให้ดูมีเสน่ห์และดูลึกลับมากยิ่งขึ้น
หลายคนที่ได้มองเขาอาจจะคิดว่าเขาไม่ต่างอะไรจาก บุรุษหน้าหยก ที่คงความเยาว์เอาไว้ได้ตลอดเวลา
ดวงตาของ หลินจิ่วเฟิง ยังคงเปล่งประกายราวกับสายรุ้ง
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยก้าวออกจากตำหนักเย็นแม้แต่ครั้งเดียว
เขาได้ฝึกฝนทักษะพลิกสวรรค์และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
หลินจิ่วเฟิง เชื่อว่าโลกภายนอกคงจะสงบสุขชั่วระยะเวลานึง
เพราะการเคลื่อนไหวของเขาครั้งนั้นทำให้มันเกิดผลลัพธ์เช่นนี้
ก่อนที่เหล่าคนที่มีความทะเยอทะยานจะทำอะไร พวกเขาจะต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดีก่อนว่าจะต้านทานหนึ่งกระบี่ที่ปรากฏขึ้นในเมืองหลวงราชวงศ์ตอนนั้นได้หรือไม่
ดังนั้นแม้ว่ากระแสน้ำจะปั่นป่วนแต่มันก็ยังอยู่ใต้ทะเลลึกที่เงียบสงบ
ไม่มีใครกล้าเสียสละตัวเองออกมาพิสูจน์เรื่องนี้
ตามความคาดหวังของ หลินจิ่วเฟิง ทุกครั้งที่ ต้าชุน มาที่ตำหนักเย็น เขาก็รายงานทุกอย่างเกี่ยวกับตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา แต่เขาก็ไม่เคยพูดเรื่องเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในโลกภายนอก
สิ่งที่เขาพูดนั้นล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย
ยกตัวอย่างเช่น ต้าชุน แต่งงานและมีลูก อีกทั้งเขายังได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
หลินจิ่วเฟิง ได้ฟังต้าชุนอย่างเงียบ ๆ ขณะที่เขาพูด
ต้าชุน เป็นแหล่งข่าวเดียวของเขาเมื่อพูดถึงข่าวเกี่ยวกับโลกภายนอก
วันนี้ หลินจิ่วเฟิง ก็ได้นอนลงบนเตียงหยกน้ำแข็งและถอนหายใจออกมา
“น่าเสียดาย แม้ว่าข้าจะได้ฝึกฝนทักษะพลิกสวรรค์ มาถึง 5 ปีเต็ม และทักษะนี้ได้ช่วยเหลือปรับปรุงความแข็งแกร่งและปัญหาบางอย่างในอดีตของข้า แต่ข้าก็ยังไม่สามารถตัดผ่านไปยังช่วงที่ 2 ของขั้นปราชญ์การต่อสู้ได้”
ช่วงแรกของขั้นปราชญ์การต่อสู้,การทำความเข้าใจ
ช่วงที่สองของขั้นปราชญ์การต่อสู้,การตระหนักในชีวิต
ช่วงที่สามของขั้นปราชญ์การต่อสู้,ข้ามผ่าน
ช่วงที่สี่ของขั้นปราชญ์การต่อสู้,เส้นทางการต่อสู้อันยิ่งใหญ่
ตอนนี้เขาได้อยู่ในช่วงทำความเข้าใจจนถึงระดับสูงสุด
เขาได้เข้าใจมุมมองของทักษะต่อสู้และตอนนี้กำลังมองเข้าไปในความยิ่งใหญ่ของโลก
ทักษะพลิกสวรรค์ได้แก้ไขปัญหาที่ผ่านมาบางส่วนที่ หลินจิ่วเฟิง ติดค้างเอาไว้
แต่เขาก็ผ่านพ้นมันมาได้
เพียงแต่เขาไม่สามารถตัดผ่านคอขวดที่ขวางกันเอาไว้
ดูเหมือนว่าเขาจะขาดอะไรไปอย่างไป
เพียงแต่ หลินจิ่วเฟิง ไม่รู้ว่าตนเองนั้นขาดอะไร
หลินจิ่วเฟิง ได้กล่าวอย่างซึมเศร้า“ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะพลังของข้าได้กลายเป็นเรื่องยากลำบากหลังจากข้าเข้าสู่ขั้นปราชญ์การต่อสู้ มันไม่ได้ก้าวหน้าเร็วเหมือนในอดีตอีกต่อไป”
แม้ว่าเขาจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ใจร้อน
ถ้า 5 ปีไม่เพียงพอ เขาก็จะใช้เวลาอีก 5 ปี
หลินจิ่วเฟิง ไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในวัย 40 ปี เกือบจะ 50 ปี
หากเป็นชาติที่แล้วเขาก็คงเป็นชายวัยกลางคนไปแล้ว
แต่ตอนนี้เขากลับรักษษความสงบเยือกเย็นเอาไว้
และแน่นอนว่าเขายังคงลงชื่อเข้าใช้สถานที่ต่อไป
แม้ว่าตำหนักเย็นจะมีขนาดใหญ่ แต่ หลินจิ่วเฟิง ก็ได้เยี่ยมชมสถานที่ทั้งหมดที่เขาสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้แล้ว
ดังนั้น หลินจิ่วเฟิง จึงตัดสินใจที่จะเริ่มสำรวจพื้นที่ใต้ดินของตำหนักเย็น
ใต้ตำหนักนี้เขาเชื่อว่ามันจะต้องมีหลายชั้น
ย้อนกลับไปในตอนนั้น หลินจิ่วเฟิง ไม่ได้สนใจที่จะสำรวจพื้นที่ใต้ดินเพราะในตำหนักเย็นมีสถานที่จำนวนมากที่เพียงพอให้เขาลงชื่อเข้าใช้ แต่ตอนนี้เขาต้องการสำรวจใต้ดิน
และวันนี้เป็นวันที่เขาคิดจะสำรวจมัน
…
นอกเมืองหลวงของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา คนกลุ่มนึงกำลังมองไปยังทิศทางของเมืองหลวงราชวงศ์จากยอดเขาอันห่างไกล
พวกเขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ล้าสมัยบ้าง ดูไม่เข้ากับยุคสมัยในปัจจุบัน เพียงแต่เสื้อผ้าของพวกเขาดูเหมือนจะมาจากเมื่อหลายร้อยปีก่อน
หัวหน้ากลุ่มดูเหมือนจะเป็นชายสูงอายุที่มีผิวเข้ม ผิวของเขาแห้งกร้าน และ มือของเขาคล้ายกับกรงเล็บไก่
เขากำลังมองไปยังทิศทางของเมืองหลวงราชวงศ์
“ผู้อาวุโสศพ ท่านเฝ้ามองที่นี่มานานกว่า 3 วันแล้ว พบอะไรบ้างหรือไม่?”ชายกำยำที่แข็งแกร่งด้านหลังของผู้อาวุโสศพ ได้กล่าวถามอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ถู๋ป๋อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากำลังมองหาอะไรอยู่?”อาวุโสศพได้กล่าวถามโดยไม่หันกลับมา
ชายร่างกำยำที่แข็งแกร่งและมีนามว่า ถู๋ป๋อ ได้สั่นศีรษะและตอบกลับ“ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังมองหาอะไร แต่ที่ข้ารู้ก็คือไม่ว่าท่านจะมองมากเท่าไหร่ มันก็ไม่ได้ช่วยให้เรารับเอาสมบัติของนิกายซากศพกลับมาได้”
คนอื่น ๆ ได้พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับ ถู๋ป๋อ
คนเหล่านี้เป็นสาวกของนิกายซากศพ พวกเขาได้หลบซ่อนตัวมานานหลายปี
ผู้อาวุโสศพ เป็นหัวหน้ากลุ่ม แทนที่จะพาพวกเขาไปที่เมืองหลวง แต่กลับยังคงซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกและสำรวจเมืองหลวงราชวงศ์จากระยะไกล นี่ทำให้ ถู๋ป๋อ รู้สึกไม่มีความสุข
“เจ้ารู้จัก หนึ่งกระบี่ ในเมืองหลวงราชวงศ์หรือไม่?”ผู้อาวุโสศพ ได้เย้ยหยันออกมา
“แน่นอน ไม่สำคัญว่า หนึ่งกระบี่ในเมืองหลวงราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา จะเป็นใคร แต่พวกเรามาที่นี่เพื่อมองหาสมบัติของนิกายซากศพ ไม่ใช่เพื่อต่อสู้”ถู๋ป๋อ ได้ตอบกลับ
เขาคิดว่าอาวุโสศพระวังตัวเกินไป
เขาไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะขี้ขลาดขนาดนี้หลังจากเก็บซ่อนตัวมานานหลายร้อยปี
“ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องนี้ เจ้ายังคิดว่าข้าระวังตัวมากเกินไปงั้นหรือไม่?”ผู้อาวุโสศพได้กล่าวถาม
“แล้วท่านได้รู้อะไรบ้างหรือยังจากการเฝ้ามองในช่วง3วันมานี้?”ถู๋ป๋อ ได้กล่าวถาม
“ไม่เลย”
ผู้อาวุโสศพได้สั่นศีรษะ
“หนึ่งกระบี่ซ่อนตัวได้เป็นอย่างดี ข้าไม่สามารถตรวจพบอะไรได้เลย”
“แล้วท่านยังจะเฝ้าระวังต่อไปหรือไม่?”ถู๋ป๋อ ได้เหล่มองไปที่ อาวุโสศพอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ไม่แล้ว”
“พวกเราจะเข้าสู่เมืองหลวงกัน…”
“แต่จำไว้ อย่าได้สร้างปัญหาและพยายามไม่เปิดเผยพลังของพวกเจ้า”
“โดยเฉพาะเจ้า ถู๋ป๋อ…”
“ข้ารู้ว่าเจ้าทะลวงระดับการบ่มเพาะพลังเข้าสู่ขั้นปราชญ์การต่อสู้แล้ว แต่อย่าได้ทำอะไรโดยประมาทอย่างเด็ดขาด”ผู้อาวุโสศพ ได้กล่าวเตือน
“ข้ารู้แล้ว ที่นี่คือเมืองหลวงราชวงศ์ สำหรับปราชญ์การต่อสู้ ที่นี่ถือเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดในโลก ข้าเองก็ไม่อยากถูกบั่นศีรษะจากกระบี่นิรนามนั่นหรอกนะ ข้าจะระวังตัวให้มาก”ถู๋ป๋อ ได้พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เมื่อมองไปที่ ถู๋ป๋อ อาวุโสศพ ไม่ได้ผู้อะไรอีกต่อไป
เขาได้โบกมือขึ้น“เอาล่ะ เข้าไปยังเมืองหลวงกันเถอะ ตอนนี้ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว เราจะใช้ประโยชน์จากค่ำคืนนี้ในการมองหาขุมทรัพย์กัน”
ถู๋ป๋อ รู้สึกดีใจมาก เขาได้ติดตาม ผู้อาวุโสศพ พุ่งเข้าไปยังเมืองหลวงราชวงศ์ทันที
หลังจากผ่านการพิจารณาของทหารรักษาความปลอดภัยของเมือง ในที่สุดพวกเขาก็เข้าสู่เมืองหลวงของราชวงศ์ได้
พวกเขาได้วนเวียนอยู่รอบ ๆ ตำหนักเย็น และอดทนรอจนเวลาพลบค่ำ
“ตำหนักนี้ใหญ่มาก แต่เหตุใดมันถึงดูร้างขนาดนี้?”
ถู๋ป๋อ กล่าวถามด้วยความสงสัยเมื่อมองไปยังตำหนักใหญ่ด้านหน้าเขา
ตำหนักเย็นนี้ใหญ่ก็จริงแต่มันก็ค่อนข้างทรุดโทรม
ไม่มีใครมาบำรุงดูแลรักษาสถานที่
อันที่จริง บางส่วนของกำแพงชั้นนอกได้ลอกออกแล้ว มันเผยให้เห็นอิฐสีแดงที่อยู่ข้างใน
“ที่นี่เป็นสถานที่ตัดสินโทษของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา เจ้าคิดว่าจะมีใครอยากมาที่นี่โดยสมัครใจงั้นหรือไม่?”ผู้อาวุโสศพได้ตอบกลับอย่างใจเย็น
ไม่นานช่วงเวลากลางคืนก็มาถึง
อาวุโสศพและถู๋ป๋อ ได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วหลังจากพลบค่ำ
“ร่างของบรรพบุรุษอาวุโสของนิกายซากศพได้หลับใหลอยู่ที่นี่”
“ทุกคนตั้งสติไว้ให้ดี อย่าได้ทำอะไรโดยพลการเด็ดขาด”ผู้อาวุโสศพได้พูดขึ้น
กลุ่มคนได้กระโดดข้ามกำแพงทันทีและเข้าไปยังตำหนักเย็น
“หืม มีลานที่พักที่มีไฟส่องสว่างอยู่?”
ถู๋ป๋อ ได้พบลานที่พักของ หลินจิ่วเฟิง และต้องการเข้าไปดู
“อย่าได้ไปที่นั่น ข้าได้สำรวจมาแล้ว ที่นั่นมีองค์รัชทายาทที่ถูกปลดออกจากบัลลังก์ซึ่งเป็นพี่ชายของจักรพรรดิหยวน เขาอาศัยอยู่ในตำหนักเย็นแห่งนี้ เขาอยู่ที่นี่มาหลาย 10 ปีแล้ว ข้าคิดว่าเขาคงเป็นบ้าไปแล้ว มันจะดีกว่าหากเราไม่สนใจและมุ่งหน้าไปกันต่อ”
ผู้อาวุโสศพ ได้คว้าแขนของ ถู๋ป๋อ และหยุดเขา
ถู๋ป๋อ ทำได้เพียงแค่ยอมแพ้
พวกเขาเดินลึกเข้าไปในตำหนักเย็น
หลินจิ่วเฟิง ซึ่งอยู่ในลานที่พักได้เผยสีหน้าแปลก ๆ
มีโจรแอบย่องเข้ามาในตำหนักเย็นแห่งนี้หรือไม่?
หรือว่าพวกเขาบ้าไปแล้ว?