80Y-ตอนที่ 24 ผ่านไป 5 ปี
จักรพรรดิหยวน ได้สิ้นพระชนม์ลง
เขายังเด็กมาก แต่เขาก็ต้องจากโลกนี้ไปเพื่ออุดมคติของเขาเอง
เพื่อไม่ให้พี่ใหญ่ หลินจิ่วเฟิง ต้องผิดหวัง หลังจากที่เขาได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทในตอนนั้น
นี่เป็นผลให้เขาทำงานหนักเป็นพิเศษ
หลินจิ่วเฟิง ได้มองไปที่จักรพรรดิหยวนที่ไร้ชีวิต ความรู้สึกว่างเปล่าได้เข้าครอบงำเขา
คนที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุดบนโลกนี้ได้จากไปแล้ว
พวกเขาเกิดมาจากมารดาคนเดียวกัน
มีสายสัมพันธ์กันทางสายเลือด
ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาไม่เคยมีความขัดแย้งซึ่งกันและกัน
จักรพรรดิหยวนอายุน้อยกว่าเขามาก
แต่อีกฝ่ายกลับชิงจากเขาไปเสียก่อน
หัวใจของ หลินจิ่วเฟิง และมือของเขาสั่นไหวเล็กน้อย
เขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
เขาทำได้เพียงหลับตาลงและส่งเสียงกระซิบไปให้หลินเทียนหยวน
“เสด็จพ่อของเจ้า...จากไปแล้ว”
นอกห้องโถง หลินเทียนหยวน ได้กล่าวอย่างโศกเศร้ากับทหารองค์รักษ์“ฝ่าบาทสวรรคตแล้ว!”
ทันทีที่เขาพูดคำเหล่านี้ เสียงร้องไห้ก็ดังขึ้น
ขุนนางใหญ่และขุนนางอาวุโสคนอื่น ๆ ในราชสำนักต่างวิ่งเข้าไปในห้องโถงและต้องการพบจักรพรรดิหยวนเป็นครั้งสุดท้าย
แต่ละคนเป็นเพียงบันฑิตที่ไร้ความสามารถ ในโลกที่ผู้บ่มเพาะพลังคือทุกสิ่ง พวกเขากลับไม่สามารถทำให้ความทะเยอทะยานของพวกเขาเป็นจริงได้
แต่ทว่าจักรพรรดิหยวนกลับได้เชิญพวกเขามาที่ราชสำนักและมอบเวทีที่จะเติมเต็มความปราถนาของพวกเขาเพื่อให้พวกเขาได้แสดงความสามารถ
บันฑิตเช่นพวกเขา เพื่อที่จะช่วยเหลือผู้คนและสืบสานคำสอนที่หายไปของปราชญ์ในอดีต พวกเขาจำเป็นจะต้องเริ่มที่ตัวของพวกเขาเอง
ดั่งเช่นคำกล่าวที่ว่า ปราชญ์ที่ดีนั้นมักจะแสวงหาความรู้ตลอดชีวิตของพวกเขา
ภายใต้คำสั่งของจักรพรรดิหยวน พวกเขาได้แสวงหาความรู้เพื่อที่จะช่วยเหลือทุกคน
พวกเขาได้ปฏิรูปความชั่วร้ายของราชวงศ์และทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะกำจัดขุนนางชั้นสูงทั้ง 9 ที่กดขี่ข่มเหงประชาชน เหล่าครอบครัวที่ถูกตระกูลเหล่านี้ขับไล่ เป็นพวกเขาที่คอยช่วยเหลือคนเหล่านี้และคอยให้ที่พักพิงแก่พวกเขา…
สิ่งเหล่านี้อาจจะดูไร้ความหมายในสายตาของผู้บ่มเพาะพลัง
แต่สำหรับพวกเขา นี่คือสิ่งที่พวกเขาพยายามทำมาตลอดทั้งชีวิต
และทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นภายใต้คำสั่งของจักรพรรดิหยวน
จักรพรรดิหยวนควรค่าแก่การยกย่องเป็นองค์จักรพรรดิที่ดีไปตลอด
แม้ว่ารัชสมัยของพระองค์จะสิ้นสุดในระยะเวลาอันสั้น แต่อิทธิพลของพระองค์ก็แผ่กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง
ความโศกเศร้าของเหล่าขุนนางในราชสำนักล้วนเป็นของจริง
พวกเขารีบเข้าไปในห้องโถงและมองเห็นร่างที่ไร้ชีวิตของจักรพรรดิหยวนนอนอยู่บนเตียงโดยไม่ขยับเขยื้อน
พวกเขาได้ร้องไห้ออกมา
บางคนถึงกับเป็นลมในทันที
หลินเทียนหยวน ไม่ได้รู้สึกเสียใจในตอนนี้
เขาได้ขอให้ผู้คุม พาขันทีและเจ้าหน้าที่ในราชสำนักที่หมดสติจากการร้องไห่ออกไปยังที่ปลอดภัยและรอให้พวกเขาฟื้นคืนสติ
เขาได้เงยหน้าขึ้นและมองเข้าไปในห้องโถง
หลินจิ่วเฟิง ได้จากไปแล้ว
เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ดูเหมือนว่าท่านลุงของเขาจะจากไปก่อนหน้านี้แล้ว
นี่ทำให้ หลินเทียนหยวน รู้สึกสบายใจในการจัดพิธีศพ
เขาปล่อยให้เหล่าขุนนางพวกนี้ร้องไห้อยู่ครู่นึง จากนั้นเขาก็นำโลงศพออกมาและวางร่างของจักรพรรดิหยวนไว้ข้างใน…
หลินเทียนหยวน ได้จัดการสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นระเบียบ
สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยแต่ไม่ได้หลั่งน้ำตาออกมา
จนกระทั่งร่างของจักรพรรดิหยวนได้ถูกวางลงในโลงศพ หลินเทียนหยวน ได้คุกเข่าลงและเริ่มร้องไห้ด้วยความเสียใจ
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะไม่มีพ่ออีกแล้ว!
เขาได้บังคับความเศร้าโศกไว้จนถึงตอนนี้
ในห้องโถงใหญ่ เหล่าขุนนางน้อยใหญ่และผู้บัญชาการทหารต่างร้องไห้ออกมา
พระราชวังต้องห้ามทั้งหมดได้กลายเป็นสถานที่ที่โศกเศร้าของเหล่าผู้คน
แต่ หลินจิ่วเฟิง ที่ หลินเทียนหยวน คิดว่าออกไปแล้ว เขากลับอยู่ในห้องโถงมาโดยตลอด
เขาได้ยืนอยู่ข้างโลงศพของจักรพรรดิหยวน
แต่ไม่มีใครมองเห็นเขา
ด้วยฐานการบ่มเพาะพลังของ หลินจิ่วเฟิง เขาได้ปรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่โดยรอบร่างกายของเขาเอาไว้
นอกจากนี้ ฐานการบ่มเพาะพลังของเขายังแข็งแกร่งกว่าใคร ๆ ในห้องโถงนี้…
ทำให้ไม่มีใครสามารถตรวจพบการมีอยู่ของเขาได้
เมื่อ ร่างของจักรพรรดิหยวนถูกวางลงในโลงศพ หลินเทียนหยวน ก็ร้องไห้ออกมาเช่นเดียวกัน
เขาได้ลูบโลงศพทองแดงและใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ
…
หลินจิ่วเฟิง ได้อยู่ในห้องโถง เป็นเวลา 3 วัน
ในช่วง 3 วันนี้ เขาเห็นผู้คนสัญจรไปมา
เหล่าข้าราชการฝ่ายในและทหารทุกคน…
ใครก็ตามที่สังกัดหรือเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ได้มาสักการะจักรพรรดิหยวน
แต่ไม่มีใครเห็น หลินจิ่วเฟิง
3 วันต่อมา ร่างของจักรพรรดิหยวน ได้ถูกฝังอยู่ในภูเขาจักรพรรดิ
ที่นี่คือสุสานจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
เนื่องจากจักรพรรดิหยวนยังเด็กมาก หลุมฝังศพของเขาจึงยังไม่ได้รับการบูรณะ
มันเป็นเพียงหลุมฝังศพที่ดูธรรมดาอย่างมาก
หลินจิ่วเฟิง ได้เฝ้าดูโลงศพของจักรพรรดิหยวนถูกหามออกจากห้องโถงใหญ่
จนกระทั่งได้เคลื่อนหายไปจากสายตาของเขา
น้องชายของเขาได้จากไปแล้ว
หลินจิ่วเฟิง ได้อยู่กับเขาจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ในใจของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เขาได้เช็ดน้ำตาที่หางตาออกไป
จากนั้น เขาก็เตรียมพร้อมจะออกจากห้องโถงที่ว่างเปล่า
จักรพรรดิหยวนได้จากไปแล้วไม่มีอะไรให้เขาทำในพระราชวังต้องห้ามอีกต่อไป
เขาต้องการจะกลับไปที่ตำหนักเย็นและใช้ชีวิตอยู่ในนั้น
เขาไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับโลกภายนอกมากเกินไป
หลินจิ่วเฟิง เกลียดการพรากจากกันแบบนี้
[คุณต้องการลงชื่อเข้าใช้ห้องโถงใหญ่ในพระราชวังต้องห้ามหรือไม่?]
ข้อความได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของ หลินจิ่วเฟิง
เขารู้สึกตกตะลึง
เขาอยู่ในห้องโถงใหญ่มาสามวันแล้ว แต่ข้อความกลับเพิ่งปรากฏวันนี้
‘เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ข้าเศร้าเกินไปหรือไม่’หลินจิ่วเฟิง ได้ครุ่นคิดกับตัวเอง
“ยืนยันการเข้าใช้!”หลินจิ่วเฟิง ได้ตอบกลับ
[ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับทักษะพลิกสวรรค์!]
ทักษะอันไร้ใดเปรียบได้ปรากฏขึ้นในจิตใจของ หลินจิ่วเฟิง
“นี่...ดูเหมือนมันจะไม่ใช่ทักษะต่อสู้ แต่ดูเหมือนกับทักษะบ่มเพาะพลังที่น่าสะพรึงกลัว”
ในใจของหลินจิ่วเฟิงได้ปรากฏข้อมูลขึ้น
เพียงแต่เขายังไม่ได้ศึกษาทักษะพลิกสวรรค์ในที่แห่งนี้
เขาได้ออกจากห้องโถงใหญ่และกลับไปที่ตำหนักเย็นก่อนที่จะเริ่มฝึกฝนมัน
…
ตำหนักเย็น
หลังจากที่ หลินจิ่วเฟิง กลับมา เขาได้ปิดประตูแน่นและอยู่ในลานที่พักของเขา
เขาได้นอนบนเตียงหยกน้ำแข็งและศึกษาทักษะพลิกสวรรค์
ทักษะพลิกสวรรค์ เป็นทักษะลับที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งใช้เจตจำนงค์ของทักษะต่อสู้ในการรับรู้สถานการณ์ทั่วไปของโลกและใช้เป็นข้อได้เปรียบในการสร้างเจตจำนงค์ต่อสู้ของตนเอง
ทักษะพลิกสวรรค์ ในที่นี้ก็หมายความว่าคน ๆ หนึ่งจะมีความแข็งแกร่งมากจนสามารถพลิกคว่ำสวรรค์ได้
นี่ไม่ใช่ทักษะโจมตีเท่านั้น แต่ยังเป็นทักษะบ่มเพาะพลังอีกด้วย
“ข้าไม่ได้มีความก้าวหน้ามากนักตั้งแต่ทะลวงขอบเขตพลังขั้นปราชญ์การต่อสู้ แต่ข้าสามารถใช้ทักษะพลิกสวรรค์นี้ในการฝึกฝนได้”หลินจิ่วเฟิง ได้หลับตาลงด้วยความพึงพอใจ เขาได้ส่งปราณแท้จริงไปทั่วร่างกายและฝึกฝนทักษะพลิกสวรรค์
สำหรับเรื่องของโลกภายนอก หลินจิ่วเฟิง ไม่ได้สนใจพวกมันเลย
ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา มีเสถียรภาพมากในตอนนี้
มันก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้
แม้ว่าสถานการณ์ของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาจะสงบแต่โลกภายนอกกลับปั่นป่วนอย่างแท้จริง
กองกำลังน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนได้ติดต่อกันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
แต่ไม่มีใครกล้าก้าวออกมาในเวลาเช่นนี้
แม้ว่าจักรพรรดิหยวนจะสิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ตาม
ตอนนี้ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์กำลังจัดพิธุไว้ทุกข์
ไม่มีใครโง่พอที่จะสร้างปัญหาขึ้นในเวลานี้
ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้โง่พวกเขาก็ย่อมไม่เลือกที่จะสร้างปัญหาเวลานี้
หากคิดสร้างปัญหาให้กับทางราชวงศ์ที่กำลังเศร้าโศกพวกเขาคงเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้หวาดกลัวทหารจากราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ได้กลัวยอดฝีมือลึกลับที่หลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังเมืองหลวงราชวงศ์แห่งนี้
กองกำลังจำนวนมากต่างพยายามสืบสวนอย่างบ้าคลั่งเพื่อหาตัวตนของชายลึกลับคนนั้น
แต่พวกเขากลับไม่พบอะไรเลย
แม้แต่คนส่วนใหญ่ในราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาก็ไม่รู้จักตัวตนของเขาเช่นเดียวกัน
มีเพียงจักรพรรดิหยวนและจักรพรรดิองค์ใหม่เท่านั้นที่รู้
แต่พวกเขาจะบอกคนเหล่านี้หรือไม่?
ด้วยสถานะลึกลับของยอดฝีมือผู้นี้ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะต่อต้านราชวงศ์มันจะเป็นการดีกว่าที่พวกเขาเลือกที่จะนิ่งเงียบ
จักรพรรดิหยวนได้สิ้นพระชนม์คนทั้งประเทศต่างตกอยู่ในความโศกเศร้า
หลังจากไว้ทุกข์เสร็จ จักรพรรดิองค์ใหม่ก็เสด็จขึ้นครองบัลลังก์
หลินเทียนหยวน ได้เปลี่ยนรัชสมัยของเขาจาก [หยวน] เป็น [หมิง]
นี่เป็นปีแรกของรัชสมัยหยูฮวาหมิง
หลังจากที่เขาขึ้นครองบัลลังก์เขาก็ต้องจัดการกับหลายสิ่งหลายอย่างทันที ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ในราชสำนัก เขาได้จัดการทุกอย่างที่จักรพรรดิหยวนทิ้งเอาไว้อย่างเป็นระบบ จากนั้นเขาก็เดินไปบนเส้นทางที่จักรพรรดิหยวนทิ้งไว้ให้เขา
ในช่วงเวลานี้ หลินจิ่วเฟิง ก็ไม่เคยก้าวออกจากตำหนักเย็น
หลินเทียนหยวน ก็ไม่ได้มารบกวนหลินจิ่วเฟิงเช่นเดียวกัน
ไม่นานเวลา 5 ปีก็ผ่านพ้นไป
ในช่วง 5 ปีมานี้ หลินเทียนหยวน ได้สร้างสถานะตัวเองบนบัลลังก์อย่างมั่นคง
เขาไม่ได้ไปรบกวน หลินจิ่วเฟิง แม้แต่ครั้งเดียว
กระทั่งหลายคนได้ลืมไปแล้วว่ามีองค์ชายที่ถูกปลดออกจากบัลลังก์ในราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
หลินจิ่วเฟิง ได้มีชีวิตอยู่มาถึง 3 รัชสมัย
ส่วนทำไมผู้คนถึงไม่สามารถจดจำเขาได้นะเหรอ?
เพราะสถานะของเขาต่ำต้อยอย่างมาก