ตอนที่ 49 เฉินเฉิงเยี่ยสอนหนังสือ?
หลังจากตระเวนไปทั่วเมืองในตลอดทั้งวันนางก็ต้องพบกับความผิดหวัง ทุกคนรู้ดีว่ามีนักปราญช์อยู่หนึ่งคนในหมู่บ้านเทพธิดาซึ่งขายน้องสาวตนเองเพื่อแลกกับอนาคตของตัวเอง!
เฉินเถียนเถียนไม่เคยไปเมืองอื่น นางไม่มีอิทธิพลมากพอที่จะป่าวประกาศเรื่องพวกนี้ได้… ซึ่งนางก็พอเดาออกว่าใครเป็นคนทำเรื่องเช่นนี้
นายน้อยหลี่ต้องเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดแน่ แต่เขาไม่ใช่คนธรรมดาที่นางจะมีปัญหาด้วยได้…
เช่นนี้นางจึงกล่าวโทษเฉินเถียนเถียนแต่เพียงผู้เดียว!
นังเด็กขี้ครอกผู้นี้ต้องเกลี้ยกล่อมนายน้อยหลี่และใช้เขาเป็นเครื่องมือในการแก้แค้นแน่
หลินชวนฮวากลับบ้านมาด้วยความขุ่นเคือง เฉินผิงอันอยู่ในห้องของเฉินเฉิน… ทั้งพ่อและลูกกำลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขากล่าวถึงการเรียนหนังสือ หลินชวนฮวาก็ยิ่งไม่พอใจ!
ตอนนี้นังเด็กขี้ครอกก็ยังซ่อนตัวอยู่ในโรงเก็บไม้ อาหารค่ำวันนี้หลินชวนฮวาต้องจัดการเองทั้งหมด นางยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม!
หลินชวนฮวาทำอาหารไปพร้อม ๆ กับสาปแช่งเฉินเถียนเถียนไปด้วย!
เฉินผิงอันและเฉินเฉินคล้ายกับว่ากำลังหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานตามประสาพ่อลูก ทั้งหมดนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีขึ้นมา แต่เสียงหัวเราะทั้งหมดกลับสร้างความรำคาญใจให้กับหลินชวนฮวายิ่ง…
ในที่สุดอาหารก็พร้อมเสิร์ฟ
หลินชวนฮวาเดินไปเรียกสามีเพราะต้องการจะแยกพ่อลูกออกจากกัน
“สามี… กินข้าวกันเถิด”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับก่อนจะอุ้มเฉินเฉินไปที่โต๊ะอาหารด้วยกัน
เพราะเฉินเฉินเคยได้ลิ้มรสมือแสนอร่อยของพี่สาวมาแล้ว ดังนั้นอาหารที่วางตรงหน้าจึงไม่ต่างอะไรจากรำข้าวของหมู!
แต่ถึงจะไม่อร่อยเพียงใดเขาก็ไม่กล้าปริปาก แต่เฉินผิงอันก็ตักอาหารใส่จานลูกชายตนอย่างเอาใจ
“ภรรยาข้า… จงเตรียมตัวเถิด เราจะส่งเฉินเอ๋อไปโรงเรียนในอีกสองวัน”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นหลินชวนฮวาจึงหงุดหงิดไม่น้อย เหตุใดต้องให้เด็กคนนี้ไปโรงเรียนด้วย? ทีลูกชายของนางเฉินผิงอันยังไม่กระตือรือร้นเช่นนี้!
“เฉินเอ๋อยังเด็ก จะไปโรงเรียนคนเดียวได้หรือ?”
แม้จะถามอย่างนั้น แต่หลินชวนฮวาก็ไม่คิดจะให้เฉินผิงอันกล่าวตอบในสิ่งที่ขัดใจ
“ภรรยาข้า… ตั้งแต่เจ้าแต่งงานเข้ามาในตระกูลเฉิน ข้าไม่เคยขัดใจเจ้าเลยสักเรื่อง เจ้าอยากให้เฉิงเยี่ยได้เรียน ข้าก็ส่งเสีย คราวนี้เป็นลูกชายแท้ ๆ ของข้าบ้าง แต่เจ้ากลับพยายามขัดขืนทุกวิถีทาง เขามิใช่ลูกชายเจ้างั้นหรือ?”
เฉินผิงอันไม่เคยพูดเช่นนี้มาก่อน ที่ผ่านมาเขาเชื่อฟังถ้อยคำภรรยาเสมอ
แท้จริงแล้วทั้งหมดนี้เป็นความคิดของเฉินผิงเหอพี่ชายใหญ่ของเขา อีกฝ่ายพูดกับเขาอย่างจริงจังว่าเฉินเอ๋อควรได้เรียนหนังสือ
“เฉินผิงอัน ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ เหตุใดจึงส่งเสียลูกชายนอกไส้แทนที่จะส่งเสียลูกชายของตน! เฉินเอ๋อเป็นเด็กดี ส่วนเฉิงเยี่ยนั้น… พวกเรารู้จักเขาตอนที่โตมากแล้ว เขาจะรักและกตัญญูต่อเจ้าได้เพียงใด? มันคงดีไม่น้อยหากปลูกฝังลูกของตนตั้งแต่ยังเด็ก หากเฉินเอ๋อร่ำเรียนจนกลายเป็นนักปราญช์จริง ๆ เจ้าเองก็จะได้มีหน้ามีตาด้วย มันไม่ดีงั้นหรือ?”
ถ้อยคำเหล่านี้เป็นพี่ชายใหญ่กล่าวกับเขาในระหว่างทางกลับบ้าน คำพูดทั้งหมดราวกับเตือนสติให้เฉินผิงอันกล้าหาญและหนักแน่นที่จะพูดคุยกับภรรยามากขึ้น
หลินชวนฮวาสบกรามแน่นด้วยความไม่พอใจ นางรู้ดีว่าตอนนี้เฉินผิงอันไม่ได้ขอความเห็นแต่เขากำลังสั่งให้นางปฏิบัติตาม!
ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำยอม
“สามี… ไม่ว่าอย่างไรเฉินเอ๋อก็เป็นลูกของข้าเช่นกัน แต่การส่งเขาไปโรงเรียนตอนนี้ข้าเกรงว่าจะไม่ทันการ ในช่วงสองสามปีแรกให้เฉิงเยี่ยเป็นคนสอนเขาเถิด ครอบครัวเราจะได้ประหยัดเงินไว้ใช้ในยามลำบาก เฉิงเยี่ยร่ำเรียนมาหลายปี เพียงแค่สั่งสอนน้องชายคงไม่ยากเย็นนัก”
“ยังไงซะสองสามปีแรกการสอบไม่น่ากังวลเท่าไหร่ การให้พี่ชายสอนก็ไม่เสียหาย หลังจากนั้นเขาก็จะโตพอที่จะไปโรงเรียนด้วยตนเองได้”
เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็รู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลวเลย
บทสทนาทั้งหมดกระทบหูของเฉินเถียนเถียน แต่นางกลับไม่คิดอย่างผู้เป็นพ่อสักนิด ยังไงซะนางก็ไม่อาจเชื่อใจหลินชวนฮวาได้
ประการแรก… เฉิงเยี่ยไม่มีทางตั้งใจสอนเด็กคนนี้แน่นอน อาจฟังดูไม่มีเหตุผลแต่อย่างไรแล้วทรัพย์สินในบ้านมีมากมาย เขาไม่มีทางยอมให้เฉินเอ๋อเก่งกว่า และเพื่อต้องการครอบครองทุกสิ่ง เขาจะต้องเป็นใหญ่และเหนือกว่าทุกคนในบ้านเท่านั้น!
หรือหากเขายอมสอนเฉินเอ๋อด้วยความตั้งใจ แต่นอนว่าในอนาคตเด็กชายคนนี้จะเติบโตและมีนิสัยชั่วร้ายไม่ต่างอะไรจากพี่ชายแน่นอน
เฉินเถียนเถียนคิดว่านี่ไม่ใช่ความคิดที่ดี นางจึงเดินออกมาจากโรงเก็บไม้เพื่อที่จะกล่าวคำสักหน่อย
“แม่ก็ช่างสรรหาเรื่องราวไปรบกวนพี่ชายใหญ่เสียจริง เขาต้องเรียนและอ่านหนังสืออย่างหนัก จะเอาเวลาที่ไหนมาสอนเฉินเอ๋อเล่า?”
‘นังเด็กขี้ครอกช่างโผล่หน้ามาถูกจังหวะอะไรเช่นนี้! อีกอย่างนางไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้วแต่เหตุใดจึงยังมีชีวิตอยู่ได้?’
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจว่าเด็กสาวคนนี้จะออกมาจากโรงเก็บไม้เพื่ออะไร แต่เขากลับรู้สึกว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวออกนั้นถูกต้อง!
“นั่นสิ เฉิงเยี่ยไม่มีครูจึงต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง อีกทั้งยังต้องใช้เวลามากเพื่อศึกษา หากไปรบกวนให้เขาสอนเฉินเอ๋อ ข้าเกรงว่าเขาจะเสียเวลาเปล่า”
เฉิงเยี่ยที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนก็พลันเดินออกมาจากห้อง เขาได้ยินบทสนทนาทั้งหมดแล้วจึงเดินออกมาเพราะเกรงว่าแม่จะไม่สามารถรับมือได้
“พ่อไม่ต้องกังวล ก็แค่การสอนหนังสือขั้นพื้นฐาน ข้าสามารถจัดการได้!”
แต่เถียนเถียนกลับกล่าวโต้ตอบอย่างไม่ยอมแพ้ “เจ้าไม่มีวันจัดการหรือรับมือได้เพราะการสอนหนังสือต้องใช้หัวใจและจิตวิญญาณที่ดี!”
เฉิงเยี่ยเอียงคอไปมาก่อนจะเย้ยหยันอีกฝ่าย “มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า!”
เฉินผิงอันถึงกับทำตัวไม่ถูก หลินชวนฮวาเดินไปแตะตัวสามีพร้อมกล่าวปลอบ “สามี… ไม่ว่าอย่างไรพวกเราล้วนแต่เป็นครอบครัวเดียวกัน”
“เฉินเอ๋อไม่เคยไปโรงเรียนและอ่านหนังสือไม่ออก แทนที่จะส่งเขาไปตอนนี้ เราน่าจะวากรากฐานที่มั่นคงให้กับเขาก่อนดีกว่า หากเขาไปโรงเรียนแล้วต้องอยู่รั้งท้ายคนอื่นมันย่อมส่งผลเสียมิใช่หรือ?”
หลินชวนฮวากำลังพูดเรื่องอะไรกัน? ตอนนี้เฉิงผิงอันไม่ได้สนใจถ้อยคำของนางอีกแล้วเพราะความอ่อนนุ่มที่เขาโหยหากำลังถูไถอยู่กับแขนของเขาในตอนนี้…
เฉินเถียนเถียนส่งสายตารังเกียจให้กับผู้เป็นพ่อก่อนจะเดินกลับโรงเก็บไม้ ต่อให้พวกเขาอนุญาตให้นางอยู่ต่อ นางก็ไม่อยากจะอยู่แม้สักวินาที!
เมื่อเฉินเถียนเถียนหันกลับมาจึงเห็นใบหน้าและแววตาเกรี้ยวกราดของเฉิงเยี่ย… แววตาคมปลาบนั้นราวกับจะฆ่าแกงผู้เป็นพ่อบุญธรรมให้ตายตกเป็นพันครั้ง!
เหมือนว่าเฉิงเยี่ยจะไม่สำนึกในบุญคุณของเฉินผิงอันแม้แต่น้อย ความแค้นฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของเขาและเฉินผิงอันกลับมองไม่ออก!
แต่ไม่ว่าอย่างไร เฉินเถียนเถียนก็รู้สึกว่านางคิดไม่ผิด!
แต่ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นเรื่องราวที่ควรค่าแก่การรับชมแน่นอน เถียนเถียนคิดอย่างนั้นจึงเดินยกยิ้มไปอย่างมีความสุข ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ตระกูลเฉินต้องเจ็บปวด นางย่อมยินดียิ่ง!