ตอนที่ 43 ข่มขู่
เฉินเฉินหมกตัวอยู่แต่ในห้อง
แม้เขายังเด็กแต่ก็รับรู้ได้ว่าในครอบครัวมีเพียงพ่อเท่านั้นที่รักและหวังดี ส่วนแม่และพี่ชายกลับเกลียดชังเขาเข้าไส้!
แต่ตอนนี้... ดูเหมือนจะมีพี่สาวอีกคนที่รักเขา...
แม้พี่สาวจะไม่ค่อยอ่อนโยนกับตัวเขามากนัก แต่นางก็ห่วงใยเขาด้วยใจจริง ถึงจะดุไปหน่อยก็ตาม…
ด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจเหล่านี้ทำให้เฉินเฉินผล็อยหลับไปในห้องเล็ก ๆ ของเขา
ทั้งเฉินเฉิงเยี่ยและเฉินเฉินต่างรู้ดีว่าคงไม่มีใครในบ้านที่จะเตรียมอาหารรอพวกเขา ดังนั้นทั้งสองจึงซ่อนตัวอยู่ในห้องและไม่ยอมออกมาพบเจอใคร
เฉินเฉิงเยี่ยยังคงรู้สึกหิวอยู่บ้างหลังจากรับประทานมื้อเช้าไปแล้ว แต่เขาขี้เกียจเกินกว่าจะลุกออกไปข้างนอก
หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว คนที่หลินชวนฮวามาพบคือเฉียฮุย!
จากการได้พบเจอชายที่ปรารถนาจะพบมาโดยตลอดทำให้นางมีความสุขมาก แม้กระทั่งขณะเดินทางกลับบ้าน นางยังคงหน้าแดงจากความเขินอายราวกับหญิงสาวมีรักครั้งแรก
อย่างไรก็ตามอารมณ์สุนทรีของนางหมดลงทันทีที่ก้าวเท้าเข้าบ้าน
ตั้งแต่เฉินเถียนเถียนหยุดรับใช้บ้านหลังนี้ ก็ไม่มีใครทำความสะอาดลานหน้าบ้านเลย ส่วนหลินชวนฮวาเองก็เพิกเฉยต่อสิ่งนี้ และนางก็ไม่คิดที่จะทำมันแต่อย่างใดจึงเดินออกจากบ้านไปด้วยความสบายใจ
แต่ตอนนี้นางกลัวว่าหากเฉินผิงอันกลับมาเห็นความเละเทะของลานหน้าบ้านก็อาจโทษว่าเป็นเพราะนางไม่ยอมทำความสะอาด ทั้ง ๆ ที่นางพยายามแสร้งว่าเป็นแม่ศรีเรือนที่ดีมาโดยตลอด!
หลินชวนฮวากลัวว่าความลับนี้จะถูกเปิดเผยจึงเริ่มทำความสะอาดอย่างรวดเร็ว แต่เพราะนางไม่ได้ทำงานบ้านมาเป็นเวลาหลายปี เรื่องเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนางอีกต่อไป
เพื่อที่จะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ให้เสร็จก่อนที่เฉินผิงอันจะกลับ นางจึงทำได้เพียงกองสิ่งสกปรกหรือเศษใบไม้ต่าง ๆ ทั้งหมดไว้ในมุมมุมหนึ่ง เพื่อให้พื้นที่ที่เหลือดูสะอาดมากขึ้น... ส่วนมื้อเย็นก็ยังไม่ได้ตระเตรียม!
เฉินผิงอันกลับบ้านมาด้วยความอารมณ์ดี เขาได้รับเงินมากมายจากการเล่นไพ่และซื้อเนื้อจากทางเข้าหมู่บ้านติดมือมาด้วย
เมื่อกลับบ้านและเห็นว่าภรรยาของตนแต่งตัวสวย เขาก็ยิ่งอารมณ์ดีมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ขณะที่เขากำลังจะเอื้อมมือไปกอด อีกฝ่ายกลับหลบเลี่ยงอย่างรวดเร็วพร้อมเอ่ยปากถาม
“สามี... เหตุใดจึงมีเนื้อกลับมาด้วย... ชนะพนันอย่างนั้นหรือ?”
ดูเหมือนเฉินผิงอันจะคิดว่าการชนะพนันเป็นเรื่องน่าชื่นชม เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกล่าวออกอย่างยินดี “ใช่แล้ว สามีของเจ้ามีทักษะอันยอดเยี่ยมใช่ไหมล่ะ?”
หลินชวนฮวาพยายามปิดบังความเกลียดชังไว้ในใจก่อนจะยิ้มอย่างประจบสอพลอพร้อมกับคว้าถุงเนื้อในมือของเขามาไว้กับตนอย่างรวดเร็ว
“ไปเดินเล่นด้านนอกมาทั้งวันคงจะหิวน่าดู อย่างนั้นข้าจะรีบไปทำอาหารให้เดี๋ยวนี้!”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างพอใจ ก่อนที่หลินชวนฮวาจะจากไป เขาก็เอื้อมมือไปแตะก้นนางเบา ๆ อย่างหยอกล้อ
เพื่อเป็นการประหยัดอาหารไว้ให้ลูกชายคนโต หลินชวนฮวาพยายามอย่างหนักเพื่อหั่นเนื้อให้บางที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะปรุงอาหาร นางใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อยเพื่อให้เนื้อที่บางเฉียบดูฉ่ำและน่ารับประทาน!
หลังจากอาหารวางลงบนโต๊ะ เฉินผิงอันเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าทำอาหารเก่งขึ้นมาก ต่อจากนี้... หากนางเด็กขี้ครอกนั่นไม่ทำก็ไม่เป็นไร! ต่อให้นางไม่ทำ เจ้าก็ทำได้ ไม่ต้องให้นางกินอะไรในบ้านเราเลย ข้าจะคอยดูว่ากระดูกของนางจะแข็งแรงแค่ไหน!”
คำพูดนี้ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่หลินชวนฮวาเคยได้ยินมา แต่เพื่อแสดงความอ่อนโยนและความเมตตา นางจึงแสร้งยิ้มและกล่าวตอบ “ข้าเกรงว่า... นางจะกล่าวโทษว่าข้าทำการทารุณนางเสียมากกว่า!”
“หึ ปล่อยให้นางพล่ามไปเถิด ตอนนี้ไม่ว่านางจะกล่าวสิ่งใดก็ไม่มีใครเชื่อแล้ว พวกผู้เฒ่าไม่ได้มาสอดแนมเราทุกวัน แม้เด็กสาวที่กำลังจะแต่งงานต้องพบเจอกับอันตรายเท่าใด ผู้เฒ่าพวกนั้นไม่มีวันรู้หรอก!”
หลินชวนฮวาก้มหน้าลงพร้อมเผยสีหน้าชั่วร้ายออก
จู่ ๆ เฉินผิงอันก็มองหาลูกชายคนเล็ก
“เฉินเฉินอยู่ที่ไหน เรียกเขาออกมากินข้าวกับข้าเร็ว!”
เรื่องนี้ทำให้หลินชวนฮวาไม่พอใจนัก นางแอบซ่อนเนื้อไว้เพื่อลูกชายคนโต! อาหารที่มีนั้นน้อยนิดนัก จะให้เด็กนั่นมากินด้วยได้อย่างไร!
“ทำไมถึงให้เด็กน้อยมาทานอาหารบนโต๊ะเล่า? เจ้าอย่าแหกกฎของบ้านสิ! เฮ้อ เราทั้งสองก็มาจากต่างครอบครัวอย่างนั้นมาคุยเรื่องกฎกันหน่อยดีกว่า!”
เฉินผิงอันเผยสีหน้าพอไม่ใจทันที “เอาล่ะ กฎของบ้านอะไรกันนักหนา? ข้าไม่เห็นหน้าเฉินเฉินมาหลายวันแล้ว ไปเรียกเขามาเสีย! เขาอายุเพียงเจ็ดขวบจะซ่อนเขาไว้แต่ในห้องได้อย่างไร?”
แม้ว่าหลินชวนฮวาจะไม่พอใจ แต่เฉินผิงอันก็เคยพูดเรื่องนี้ไปแล้วและแน่นอนว่านางทำได้แค่เชื่อฟัง
เฉินเฉินซ่อนตัวอยู่ในห้องโดยไม่ยอมเล่นเพื่อไม่ให้เสียงพลังงาน เขารู้ดีว่าอาหารทุกสิ่งที่พี่สาวนำมาให้นั้นต้องผ่านความลำบากยากเข็ญ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะวิ่งออกไปด้านนอกด้วยความโง่เขลา เขาจำเป็นต้องนอนนิ่ง ๆ เพื่อเก็บแรงไว้และวันนี้คงไม่ได้กินข้าวเย็นอีกตามเคย
แต่จู่ ๆ พ่อกลับเรียกเขาออกไปกินข้าว ซึ่งเสียงนี้ทำให้เด็กชายกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข
ขณะที่เฉินเฉินกำลังเดินออกจากประตู เข้าก้มศีรษะเพื่อหลบหน้าแม่ใจยักษ์
“หากเจ้ากล้าฟ้องเรื่องนี้กับพ่อ พรุ่งนี้เมื่อพ่อไม่อยู่ ข้าจะขายเจ้าพวกค้ามนุษย์!”
เฉินเฉินตกใจมาก ใบหน้าชั่วร้ายของผู้เป็นแม่ตราตรึงเต็มตาทั้งสองข้าง เด็กชายก้าวถอยหลังอย่างหวาดกลัวพร้อมสะดุดขาตัวเองล้มและกำลังจะร้องไห้
แต่หลินชวนฮวาจะปล่อยให้เด็กน้อยคนนี้ทำลายนางได้อย่างไร?
“หากเจ้าแหกปากเพียงนิด ข้าจะทุบปากเจ้า!”
เด็กชายหุบปากแน่นทันที ร่างกายเขาสั่นสะท้านและเดินตามหลังผู้เป็นแม่ไปอย่างเงียบเชียบ แม้พ่อจะอยู่ตรงหน้าแต่เขาก็ไม่กล้ากล่าวคำใดแม้เพียงครึ่งคำ ทำได้เพียงนั่งสงบเสงี่ยมอยู่อย่างนั้น
เฉินผิงอันเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ “เหตุใดเจ้าไม่เหมือนข้าเลย? ไม่กล้าหาญและยังขี้ขลาดตาขาว!”
เมื่อถูกตำหนิ... เฉินเฉินได้แค่ก้มศีรษะลงด้วยความเสียใจ เขาก้มหัวกินข้าวที่อยู่ในจานของตน เด็กชายหวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะตักกับข้าวตรงหน้า
แต่ไม่ว่าอย่างไร เฉินเฉินก็เป็นลูกชายแท้ ๆ ของตน เฉินผิงอันจึงไม่ได้พูดอะไรก่อนจะถอนหายใจยาวพร้อมกับเอื้อมมือไปคีบเนื้อวางลงในจานของเขา
เฉินเฉินไม่พูดอะไรต่อหน้าแม่ เขาเพียงก้มหัวและกินต่อไปเท่านั้น
หลังจากที่ทั้งสองคนกินเสร็จ หลินชวนฮวาจึงกินอาหารที่เหลือ จากนั้นนำอาหารที่ซ่อนไว้ไปให้ลูกชายของตน...
ไม่มีใครสงสารเด็กสาวที่นอนอยู่ในโรงเก็บไม้เลย... เฉินเถียนเถียนที่หิวโซยังคงนอนอยู่ในนั้น!
ความจริงแล้วหลินชวนฮวาค่อนข้างรู้ดีว่านังเด็กขี้ครอกนั่นเอาตัวรอดได้ ตอนนี้นางนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารและรู้สึกโล่งใจอย่างยิ่ง
สำหรับหลินชวนฮวาแล้ว การที่นางจะต้องเอาตัวเองให้รอดในแต่ละวันก็แสนยากเย็น อีกทั้งนางยังมีลูกที่ต้องดูแล
วันนี้แม้เฉินผิงอันจะยอมให้เฉินเฉินขึ้นร่วมโต๊ะอาหาร แต่เขาก็ไม่ได้อยู่บ้านทุกวัน สุดท้ายเด็กชายตัวน้อยก็จะได้กินข้าวเพียงมื้อเดียวเท่านั้น…
นางหยุดคิดเรื่องทั้งหมดเพราะต้องรีบยกน้ำไปให้เฉินผิงอันล้างหน้า!