80Y-ตอนที่ 14 ทะลวงสู่ขั้นปราชญ์การต่อสู้
ภายใน 10 ปีนี้ในตำหนักเย็น สิ่งต่าง ๆ ยังคงเหมือนเดิม
เพียงแต่ว่าสถานที่ภายในบางส่วนได้รับการทำความสะอาดแล้ว
หลินจิ่วเฟิง เป็นคนทำความสะอาดและเก็บกวาดสถานที่ไม่กี่แห่งที่นี่
เขาได้จัดสวนกว้างขนาดใหญ่และลำธารให้เหมาะสมสำหรับตัวเองไว้เดินเล่นและพักผ่อน
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ฐานการบ่มเพาะพลังของ หลินจิ่วเฟิง ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเตียงหยกน้ำแข็งอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงยกมันให้ หลินเทียนหยวน ใช้
นอกจากการลงชื่อเข้าใช้สถานที่ทุกวัน หลินจิ่วเฟิง ก็ได้นั่งเงียบ ๆ ข้างลำธาร มองดูท้องฟ้า โลก และ สายน้ำเบื้องล่าง…
ระดับการบ่มเพาะพลังของเขาได้มาถึงจุดสูงสุดของขั้นปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่แล้ว
สำหรับเขาขั้นปราชญ์การต่อสู้ อยู่ห่างออกไปเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส
เขาสามารถทำลายกำแพงที่ขวางกั้นของขั้นพลังนี้ได้ด้วยเพียงนิ้วจิ้มมัน
แต่หลินจิ่วเฟิง ไม่ได้เร่งรีบที่จะก้าวเข้าสู่ขั้นพลังต่อไป
“ขอบเขตพลังขั้นปราชญ์การต่อสู้ เป็นขั้นพลังที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าขั้นพลังก่อนหน้านี้อย่างแท้จริง”
“การดำรงอยู่ในขั้นพลังนี้ไม่เพียงแต่เป็นปราชญ์การต่อสู้ ผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นนี้ต่างก็ต้องการพลังปราณแท้จริงในการพัฒนาเส้นลมปราณของตนเองต่อไป เพียงแต่ ปราชญ์ยังต้องเข้าใจแนวคิดและสร้างเส้นทางการต่อสู้ของตนเองขึ้นมา ความตั้งใจในเส้นทางการต่อสู้เหล่านั้นจะเป็นตัวบดขยี่ศัตรูทั้งหมดที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของปราชญ์การต่อสู้”
หลินจิ่วเฟิงได้พึมพัมในใจ
เขาได้สะสมเจตจำนงค์ในเส้นทางต่อสู้ของตัวเองมาหลายปีแล้ว
หลังจาก 5 ปี เส้นทางการต่อสู้ของเขา ก็กว้างใหญ่ไพศาลราวกับทะเลลึก มันไร้สิ้นสุดแลไม่มีขอบเขต
เขามองไปยังลำธารที่กว้างใหญ่เบื้องหน้าเขา และ สร้างตราประทับกระบี่ด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลางก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ยกมันขึ้น
ฟึ่มม!
น้ำในลำธารทั้งหมดได้ถูกยกลอยขึ้นไปในอากาศ ในเวลานี้ น้ำที่กระเซ็นออกมาได้เปลี่ยนกลายเป็นกระบี่ยาวนับไม่ถ้วนไว้สำหรับการโจมตี
ฉากนี้ ได้ถูกมองเห็นโดย หลินเทียนหยวน จากระยะไกล ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้น
เป็นเพราะ หลินจิ่วเฟิง ไม่ได้ใช้พลังปราณแท้จริงในร่างกายของเขา ทำให้เขาดูคล้ายกับคนธรรมดา แต่เพียงแค่นึกคิด กระบี่ยาว-หลายหมื่นเล่มก็ถูกควบแน่นจากน้ำในลำธารขนาดใหญ่โดยทันที
พวกมันได้พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนที่จะระเบิดออกจากกัน
พรึ่บ!
หยาดฝนกระบี่ได้โปรยลงมา น้ำแต่ละหยดมีพลังมากพอที่จะสังหารผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ได้
พวกมันทั้งหมดได้หยุดลงในลำธารด้านหน้าหลินจิ่วเฟิง
พลังปราณแท้จริงของหลินจิ่วเฟิงได้ขยับและเขาได้ควบแน่นพวกมันกลายเป็นหยดน้ำ
หนึ่งหยด!
สองหยด!
สามหยด!
ในขณะนี้ พลังปราณแท้จริงอันกว้างใหญ่ภายในร่างกายของเขาได้ควบแน่นเป็นสายน้ำไหลผ่านไปทั่วร่างของ หลินจิ่วเฟิง
เขาได้หลับตาลงและปล่อยให้วิญญาณของเขาล่องลอยไปทั่วโลกด้วยตัวของมันเอง
เขาเห็นหญ้าเล็ก ๆ เล็ดลอดผ่านดินตั้งแต่ไกล กระทั่งเห็นหัวมันที่ถูกฝังเอาไว้
เขาเห็นปลาในลำธารที่ว่ายด้วยความตื่นตระหนกราวกับว่าพวกมันตกใจกับสิ่งที่ หลินจิ่วเฟิง ทำในตอนนี้
เขายังเห็นมดในดินที่กำลังสร้างรังและทำงานหนัก
…
หลินจิ่วเฟิง ได้เปิดเปลือกตาของเขา
โลกที่ปรากฏขึ้นในกรอบสายตาของเขาดูเหมือนจะเปลี่ยนไปอย่างมาก
แต่มันก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกัน
หลินจิ่วเฟิง ได้ยิ้มออกมา“ขอบเขตขั้นปราชญ์การต่อสู้ดูเหมือนจะค่อนข้างลึกซึ้งอย่างแท้จริง”
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เขาได้แข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแค่หลับตา เขาก็ก้าวเข้าสู่ขั้นปราชญ์การต่อสู้
นี่ช่างเป็นพลังที่น่ากลัวอย่างแท้จริง
‘มีหลายช่วงในขั้น ปราชญ์การต่อสู้ ช่วงแรก คือความเข้าใจที่ลึกซึ้ง จุดประสงค์ก็เพื่อเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเส้นทางการต่อสู้’หลินจิ่วเฟิง ได้ครุ่นคิดเงียบ ๆ
การหยั่งรู้ในช่วงแรกคือจุดเริ่มต้นของขั้นปราชญ์การต่อสู้
ความแตกต่างระหว่างช่วงพลังในขั้นปราชญ์การต่อสู้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณพลังปราณแท้จริงหรือพลังของทักษะ แต่มันขึ้นอยู่กับเจตจำนงค์การต่อสู้ของพวกเขา
ในขณะนี้ หลินจิ่วเฟิง ได้ระลึกถึงปราชญ์การต่อสู้ 2 คน บรรพบุรุษอาวุโสของนิกายชุนฮวา และ ไร้นาม เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาและครุ่นคิด ‘พวกเขาทั้งคู่อ่อนแอมากในขั้นปราชญ์การต่อสู้’
เจตจำนงค์การต่อสู้ของ บรรพบุรุษอาวุโสของนิกายชุนฮวาแทบจะเรียกได้ว่าอ่อนแอมาก
สำหรับไร้นาม เขาไม่มีเจตจำนงค์การต่อสู้เลย
ย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้น หลินจิ่วเฟิง ได้ยืมร่างกายของเขาเพื่อใช้ออกโดยทักษะกระบี่ 22 เล่ม และฆ่าศัตรูได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
นี่คือความจริงของเหตุการณ์นั้น
ท้ายที่สุด ไร้นาม ก็เป็นศพที่ฟื้นคืนชีพ พูดตามตรง มันก็ดีมากแล้วที่เขากลับมาพร้อมกับพลังขั้นปราชญ์การต่อสู้ แม้จะไม่มีเจตจำนงค์การต่อสู้ก็ตาม
หลินจิ่วเฟิง ได้เปรียบเทียบเจตจำนงค์การต่อสู้ของเขากับทั้งสอง
เขาได้พบความแตกต่างระหว่างหยดน้ำกับทะเล
“ข้าสามารถฆ่าพวกเขาได้ด้วยการสะบัดนิ้ว”หลินจิ่วเฟิง ได้ถอนหายใจออกมา เขารู้สึกอยู่ยงคงกระพัน
ความมุ่งมั่นในเส้นทางการต่อสู้ที่เขาใช้เวลา 5 ปีในการทำความเข้าใจทำให้เขาตระหนักรู้ถึงโลกหล้าที่กว้างใหญ่
…
หลังจากที่ หลินจิ่วเฟิง ทะลวงพลังสู่ขั้นปราชญ์การต่อสู้ วันเวลาก็ผ่านไปเหมือนปกติ
เขาได้ให้คำแนะนำแก่ หลินเทียนหยวน เป็นครั้งคราวก่อนที่จะใช้เวลาที่เหลือในการทำความเข้าใจเจตจำนงค์การต่อสู้ของตัวเอง
แต่วันนี้ จักรพรรดิหยวนผู้ซึ่งไม่ได้มาที่ตำหนักเย็นเป็นเวลา 10 ปี เขาได้กลับมา
จักรพรรดิหยวนในปัจจุบัน ไม่ใช่คนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อน ตอนนี้เขาอายุ 30 ปีแล้ว ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ภายในตัวของเขาก็แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ และการบ่มเพาะพลังของเขาก็เข้าสู่ขอบเขตขั้นแกนทองคำ
และมันอยู่ไม่ไกลจากขั้นปรมาจารย์
แต่ถ้าเขาต้องการที่จะเข้าถึงขั้นปรมาจารย์ในชีวิตนี้มันก็ค่อนข้างสิ้นหวัง
เพราะท้ายที่สุดเขาก็ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องเล็กน้อยทางโลกมากมาย
“พี่ใหญ่!”แม้จะไม่ได้พบกันตลอด 10 ปีแต่จักรพรรดิหยวน ก็ยังแสดงความจริงใจเมื่อเห็น หลินจิ่วเฟิง
แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติก็ตาม…
ทำไมตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมานี้พี่ใหญ่ของเขากลับไม่เปลี่ยนไปเลย?
ผู้ฝึกยุทธ์สามารถป้องกันไม่ให้อายุขัยของพวกเขาปรากฏบนรูปลักษณ์ได้ แต่อารมณ์ของพวกเขาจะเปลี่ยนไปโดยไม่ตั้งใจ อย่างไรก็ตาม ในกรณีของ หลินจิ่วเฟิง 10 ปีสำหรับเขาดูเหมือนจะผ่านไปแค่วันเดียว
รอยยิ้มของเขายังคงร่าเริงเฉกเช่นตอนยังหนุ่ม รอยยิ้มของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับว่ามีสายลมพัดผ่าน มันเป็นรอยยิ้มที่สดชื่นและสงบ กระทั่งการยืนเคียงข้างเขาก็ทำให้ทุกคนรู้สึกสงบโดยไม่รู้ตัว
“ท่านพ่อ”หลินเทียนหยวน ได้กล่าวทักทายด้วยความเคารพ
ชื่อของเขาไม่ได้รับการจัดลำดับเข้าไปในวงศ์ตระกูล ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถทักทายจักรพรรดิหยวน ในฐานะ’เสด็จพ่อจักรพรรดิ’ ได้
จักรพรรดิหยวนได้ยิ้มอย่างอ่อนโยน
เมื่อเทียบกับ ‘เสด็จพ่อจักรพรรดิ’ เขาชอบคำเรียกว่า ‘พ่อ’ มากกว่า
“เป็นอย่างไรบ้าง?”จักรพรรดิหยวนกล่าวถามด้วยความเป็นห่วง
“ท่านพ่อ ท่านอาจารย์สอนข้าในการบ่มเพาะพลัง ความรู้ของเขาช่างกว้างใหญ่ไพศาล แต่ทว่าข้ากลับโง่งมไม่สามารถกระทั่งตระหนักรู้ถึงสิ่งที่อาจารย์ส่วนแม้จะสัก 1 ส่วน”หลินเทียนหยวน กล่าวออกมาด้วยความเขินอาย
“อืม อาจารย์ของเจ้ามีความรู้มาก แต่เจ้าเองก็ไม่เลวเหมือนกัน เจ้าสามารถพัฒนาจนมาถึงขั้นแกนทองคำได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เจ้ามีอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า”
จักรพรรดิหยวน ไม่ถือคำพูดของ หลินเทียนหยวน ที่เป็นการชมเชยพี่ชายของเขาเท่านั้น
จักรพรรดิหยวน เชื่อว่าความรู้ความเข้าใจในด้านวรรณกรรมของพี่ชายเขานั้นกว้างใหญ่และลึกซึ้ง
แต่สำหรับเส้นทางการบ่มเพาะพลัง?
ฐานการบ่มเพาะพลังของ หลินจิ่วเฟิง ได้ถูกทำลายไปในอดีต
นี่คือสิ่งที่ทุกคนรู้
แม้ว่าอีกฝ่ายจะเริ่มต้นเส้นทางการบ่มเพาะพลังอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่สามารถบ่มเพาะพลังไปยังขอบเขตที่สูงมากได้ โดยเฉพาะการต้องเริ่มต้นจากช่วงอายุที่มากขึ้น
“ทำไมวันนี้เจ้าถึงมีเวลามาเยี่ยมเยียน”หลินจิ่วเฟิง กล่าวถามด้วยความสงสัย หลังจากเห็นจักรพรรดิหยวนมาอีกครั้งหลังจากผ่านไป 10 ปี
เกี่ยวกับการปฏิรูปของจักรพรรดิหยวน หลินจิ่วเฟิง ได้ฟังจากต้าชุนทุก ๆ 7 วัน
การปฏิรูปของเขาดำเนินการบนกองซากศพจำนวนมาก
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จักรพรรดิหยวนไม่เคยได้พักเลยแม้แต่วันเดียว
หลินจิ่วเฟิง บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของต้าชุน
เขารู้สึกว่าจักรพรรดิหยวนเหมาะสมที่จะเป็นจักรพรรดิจริง ๆ
“ข้าไม่ได้เจอท่านมาตลอด 10 ปีวันนี้เลยตัดสินใจมาหา”
จักรพรรดิหยวน ได้นั่งลงข้าง หลินจิ่วเฟิง
อารมณ์ของเขารู้สึกผ่อนคลายลงเนื่องจากอิทธิพลใต้สำนึกของฐานการบ่มเพาะพลังของหลินจิ่วเฟิง
เขาได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ราวกับว่าความกดดันที่หัวใจของเขากดทับเอาไว้เป็นเวลานานได้หายไป
จากนั้นเขาก็หลับตาลงอย่างสบายใจ
หลินจิ่วเฟิง ได้เหลือบมองเขาและไม่ได้ทำอะไร
ทุกการเคลื่อนไหวของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปราชญ์การต่อสู้ ล้วนมีอิทธิพลต่อคนรอบข้างโดยที่เขาไม่รู้ตัว
นั่นก็เพราะปราชญ์การต่อสู้มีอิทธิพลพิเศษรอบตัวของพวกเขา
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมขั้นพลังนี้จึงมีชื่อ ‘ปราชญ์’ อยู่ในนั้น
“พี่ใหญ่ ข้าตัดสินใจมาเยี่ยมท่านและจะพา เทียนหยวน ออกไป ตอนนี้เขาอายุได้ 15 ปีแล้ว ถึงเวลาที่เขาจะต้องออกไปเห็นโลกภายนอก อีกทั้งเขายังได้บ่มเพาะพลังมาจนถึงขั้นแกนทองคำอีก”
จักรพรรดิหยวน ได้ตอบกลับ
“อืม พาเขาไปเถอะ”หลินจิ่วเฟิง ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
เขาไม่ได้วางแผนที่จะสั่งสอน หลินเทียนหยวน ไปตลอด
หลินเทียนหยวน ใช่ว่าจะลงชื่อเข้าใช้สถานที่ได้เหมือนเขา ดังนั้นการอยู่ในตำหนักเย็นตลอดเวลาจะมีประโยชน์อะไร?
“ท่านพ่อ ข้าอยากจะเรียนต่อกับท่านอาจารย์”หลินเทียนหยวน ได้ยืนกราน
หลินเทียนหยวน ได้เห็นฉากแปลก ๆ ในการพัฒนาพลังของ หลินจิ่วเฟิง สู่ขั้นปราชญ์การต่อสู้ เขาเชื่อมั่นว่า หลินจิ่วเฟิง คือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมาก การเรียนรู้จากอีกฝ่ายย่อมเป็นข้อได้เปรียบสำหรับเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่เต็มใจที่จะจากไป
“ข้ากำลังจะทำการใหญ่ ดังนั้นจึงต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า ในตอนนี้ไม่มีใครที่ข้าสามารถไว้วางใจได้ดังนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยแบ่งเบาภาระข้าได้”จักรพรรดิหยวน ได้ตอบกลับในทันที
“เทียนหยวน ไปกับพ่อเจ้าเถอะ ตำหนักเย็นไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าควรจะอยู่ หากเจ้าเผชิญหน้ากับปัญหาในอนาคต เจ้าสามารถกลับมาหาข้าได้”หลินจิ่วเฟิง ได้ให้สัญญากับ หลินเทียนหยวน
พวกเขาอยู่ด้วยกันมา 10 ปีกว่าแล้ว
หลินเทียนหยวน ต้องการจะพูดอะไร แต่จักรพรรดิหยวน ยุ่งมากกับการจัดการสิ่งต่าง ๆ ดังนั้นเขาจึงพาอีกฝ่ายจากไปโดยตรง
…
ภายในพระราชวังต้องห้ามกลางดึก ห้องโถงกลางได้สว่างไสว
ห้องโถงกลางนี้เป็นสถานที่ที่จักรพรรดิทั้งในอดีตและอนาคตจะทำหน้าที่พบปะกับเจ้าหน้าที่ในราชสำนักคนสำคัญ
จักรพรรดิหยวนได้นั่งบนบัลลังก์มาแล้วกว่า 11 ปี ตอนนี้เขาประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร
ข้างใต้เขามีชายชราคนหนึ่งที่สวมใส่เครื่องแบบของขุนนาง
เขาเป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรีและเป็นรัฐมนตรีคนแรกที่สนับสนุนการปฏิรูปของจักรพรรดิหยวน
อีกทั้งเขายังเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือที่สุดของจักรพรรดิหยวน
จักรพรรดิหยวนได้ศึกษาวรรณกรรมกับเขาในวัยเด็ก ทำให้จักรพรรดิหยวนเรียกเขาเป็นอาจารย์เสมอ
“อาจารย์ ผ่านไป 10 ปีแล้ว…”
“ข้าได้ปฏิรูปราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาตลอด 10 ปีเต็ม”
“นอกจากดินแดนที่ข้าราชบริพารทั้ง 9 และ นิกายชั้นนำยึดครอง การปฏิรูปของข้าได้ดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้สถานที่อื่น ๆ ที่มีผู้คนทำงานได้อยู่อาศัยกันอย่างสงบสุข…”
“ผลของการปฏิรูปของข้าได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเจตจำนงค์ของข้า ดังนั้นข้าจึงคิดที่จะนำมันไปใช้กับดินแดนที่ถูกครอบครองโดยข้าราชบริพารทั้ง 9 และ นิกายชั้นนำ”จักรพรรดิหยวน ได้กล่าวออกมา
“ฝ่าบาท ปัญหาข้าราชบริพารและนิกายชั้นนำเหล่านั้น รวมถึงตระกูลขุนนางชั้นสูง ไม่ควรรีบเร่งเกินไป พวกเรายังไม่สามารถประเมินกองกำลังของพวกเขาได้”หัวหน้าคณะรัฐมนตรีได้กล่าวแนะนำ
“ข้ารู้ แต่ว่าข้าไม่ได้รีบเร่ง…”
“นี่มันก็ผ่านไป 10 ปีแล้ว!”
“ผ่านไป 10 ปีแล้ว แต่ข้ากลับยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ถ้าข้ายังคงรอต่อไปเกรงว่ามันจะยากสำหรับข้าที่จะจัดการปัญหาเหล่านี้ในอนาคต เพราะพวกเขาจะมีเวลาที่จะรวบรวมความแข็งแกร่งเพิ่มเติม”
“ดังนั้น ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะลงมือกำจัดข้าราชบริพารเหล่านั้นก่อน!”จักรพรรดิหยวน ได้ตอบกลับอย่างเย็นชา
“ฝ่าบาท พระองค์ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้!”
“กองกำลังของข้าราชบริพารทั้ง 9 ที่รวมกันก็เพียงพอแล้วที่จะต่อสู้กับอำนาจของจักรพรรดิ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า มีนิกายปีศาจที่สนับสนุนพวกเขาอีก การกำจัดเหล่าข้าราชบริพารให้หลุดพ้นจากอำนาจก็ไม่ต่างจากการบังคับให้พวกเขารวมตัวกันเพื่อจัดการกับเรา”
“มันจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ…”
การแสดงออกของหัวหน้าคณะรัฐมนตรีได้เปลี่ยนไป เขาได้คุกเข่าลงเพื่อต่อต้านมัน
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้าตัดสินใจแล้ว!”
จักรพรรดิหยวน ยังคงแน่วแน่ในคำพูดของเขา ดวงตาของเขาได้กลายเป็นเย็นชา
เขารู้ว่าการจัดการข้าราชบริพารเหล่านั้นยากเย็นเพียงใด แต่ตอนนี้ มีศัตรูที่ทรงพลังทั้งภายในและภายนอก
แม้ว่าเขาจะไม่ได้วางแผนที่จะจัดการเหล่าข้าราชบริพาร แต่อีกฝ่ายจะต้องวางแผนกันก่อกบฏอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะชิงโจมตีอีกฝ่ายก่อนที่จะนำไปสู่การจลาจล!