367 - ฉวยโอกาสสร้างความปั่นป่วน
367 - ฉวยโอกาสสร้างความปั่นป่วน
ปะ…!
เสียงดังฟังชัดปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของหลินเจ๋อ ใบหน้าของหลินเจ๋อบวมเป่งขึ้นทันทีและมีเลือดไหลซึมออกมาจากปากของเขาเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้บุตรบุญธรรมของอัครเสนาบดีไม่กล้าที่จะเช็ดเลือดทำได้เพียงก้มหน้าด้วยความหวาดกลัว
“รู้มั้ยคราวนี้เจ้าพลาดตรงไหน”
หลังจากที่หลินชิงเทียนทำการสั่งสอนหลานชายของตัวเองแล้วเขาก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลินชิงเทียนแม้ว่าอายุจะล่วงเลยเข้าสู่วัย 60 แล้วแต่ด้วยการฝึกฝนอันแข็งแกร่งรวมไปถึงการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายทำให้ไม่มีรอยอยู่บนใบหน้าของเขา
อย่างไรก็ตามในครั้งนี้เขาถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่ก็ทำให้หลินเจ๋อหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ในขณะที่เขากำลังจะตอบคำถามนี้เขาก็เหลือบมองไปเห็นสายตาที่เย็นชาของหลินชิงเทียนทำให้อดที่จะสยิวกายด้วยความหนาวเหน็บไม่ได้
“ท่านลุงข้าเพียงคิดว่าเจ้าเด็กนั่นเป็นคนที่ไม่มีนัยยะสำคัญอะไร ดังนั้นจึงคิดว่าเมื่อเขาตกอยู่ในมือของกรมอาญาเขาจะไม่สามารถเอาตัวรอดได้…”
“บอกข้าทีว่าแผนการของเจ้าคืออะไร?”
“ในตอนแรกข้าคิดจะให้เขาเข้าไปในคุกก่อน หลังจากนั้นไม่ว่าเขาจะทำผิดหรือไม่ข้าก็จะให้คนของฆ่าเขาในคุกซะ… หลังจากนั้นก็จะโยนความผิดทุกอย่างให้กับซูหลาง…
หัวหน้ามือปราบเฉินมีประสบการณ์ในเรื่องนี้และจะสามารถดำเนินการสิ่งต่างๆได้อย่างง่ายดาย ตราบใดที่เอี้ยนลี่เฉียงถูกนำตัวมาก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้…” หลินเจ๋อกลืนน้ำลายและพูดเบาๆ
“ในตอนนี้จางโหย่วหรงเสนอตัวออกมาเป็นพยานให้กับเอี้ยนลี่เฉียงโดยบอกว่าเขาอยู่ทานอาหารที่หอท้องฟ้าไร้สิ้นสุดจนถึงเที่ยงคืน หลังจากนั้นเขาก็ออกจากเมืองหลวงไป
หากเจ้าทำเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆรังแต่จะเป็นการสร้างปัญหาให้กับทหารที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเมืองหลวง เจ้าคิดว่าแม่ทัพใหญ่ประจำเมืองหลวงจะมีความรู้สึกเช่นไรในเรื่องนี้”
“นี่… ข้าไม่ได้นึกไปถึงขนาดนั้น…”
“เอี้ยนลี่เฉียงเป็นเพียงนักรบผู้ยิ่งใหญ่ ในบรรดาคนที่ถูกฆ่าตายเมื่อคืนสี่คน สองคนในนั้นคือปรมาจารย์การนักสู้ ส่วนอีกสองคนคือปรมาจารย์นักสู้ขั้นสูงสุด
และอีกสองคนสุดท้ายคือนักรบขั้นสุดยอด เจ้าคิดว่าเอี้ยนลี่เฉียงสามารถสังหารคนเหล่านี้ได้จริงๆอย่างนั้นหรือ?
หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปผู้คนทั้งเมืองหลวงจะมองเห็นข้าเป็นตัวตลกหรือไม่?”
ภายใต้คำพูดของหลินชิงเทียน สีหน้าของหลินเจ๋อก็ซีดลง
“แม้ว่าซูหลางจะเป็นคนไร้ประโยชน์ แต่เจ้าไม่รู้หรือไงว่าเขาเป็นผู้ติดตามของเสนาบดีชิวซึ่งอยู่ฝั่งเดียวกับข้า การกระทำของเจ้ารังแต่จะทำให้พวกเราแตกแยก นี่หรือคือวิธีการที่เจ้าช่วยเหลือข้า?”
ร่างกายของหลินเจ๋อสั่นเทา
“สิ่งหนึ่งที่เจ้าทำผิดพลาดมากที่สุดก็คือหากเจ้าต้องการจะฆ่าใครเจ้าต้องลงมืออย่างสุดกำลัง ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เจ้าจะเลือกใช้งานคนของทางการเท่านั้น แต่หลักฐานที่เจ้าสร้างมาก็ดูไร้สาระอย่างยิ่ง?”
“ตอนแรกข้าคิดว่าข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ไม่คิดว่า…”
“เจ้าไม่คิดว่าฝ่าบาทจะเรียกตัวเสนาบดีกรมอาญาไปตำหนิอยู่ถึงหนึ่งชั่วยามเต็มทั้งยังถูกริบเงินเดือนตลอดทั้งปี
เจ้าไม่คิดว่าหัวหน้ามือปราบเฉินจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง
เจ้าไม่คิดว่าคณะตุลาการของกรมอาญาจะถูกปลดออกจากตำแหน่งทุกคน แล้วคนจากฝ่ายของฝ่าบาทก็ถูกแต่งตั้งเข้ามาแทนที่ใช่หรือไม่?”
เหตุการณ์ครั้งนี้ร้ายแรงเป็นอย่างมาก ทุกคนที่อยู่ในกลุ่มอาญาไม่มีใครสามารถเอาตัวรอดได้ มีเพียงเสนาบดีกรมอาญาเท่านั้นที่ยังพอรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ ในขณะที่คนอื่นถูกถอดออกจากตำแหน่งทั้งหมด”
หลินเจ๋อรู้สึกว่าแผ่นหลังของเขาเปียกชุ่ม
“ข้า… ข้า…” เขาไม่สามารถพูดอะไรได้…
หลินชิงเทียนถอนหายใจแล้วกล่าวว่า
“ดูเหมือนว่าหลายปีที่ผ่านมาข้าจะปล่อยให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างสบายเกินไปจนลืมไปแล้วว่าเมืองหลวงนี้ แผ่นดินนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสมบัติของจักรพรรดิไม่ใช่ของตระกูลหลินเรา ไปเก็บข้าวของพรุ่งนี้เจ้ากลับแคว้นไห่ได้แล้ว!”
“ท่านลุง…”
หลินเจ๋อเดินโซซัดโซเซออกจากห้องทำงานของหลินชิงเทียน เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเมื่อเรื่องเล็กๆแค่นี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในเวลาอันสั้น
โดยปราศจากการเตือนใดๆ วันนี้กลายเป็นความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา
แคว้นไห่เป็นบ้านเกิดของตระกูลหลิน และการกลับแคว้นไห่หมายถึงการกลับบ้าน เนื่องจากหลินชิงเทียนไม่มีลูกชาย ดังนั้นเมื่อหลินเจ๋ออยู่ในเมืองหลวงสถานะของเขาก็สูงส่งเป็นอย่างมาก
แต่การที่เขาถูกส่งกลับไปที่บ้านเกิดเช่นนี้ก็ย่อมหมายความว่าหลินชิงเทียนได้ปลดเขาออกจากตำแหน่งแล้ว และในไม่ช้าคงให้ลูกพี่ลูกน้องคนใดคนหนึ่งของเขาขึ้นมาแทนที่
“เอี้ยนลี่เฉียง!…”
ตามตรรกะของหลินเจ๋อเขาไม่ได้มองว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาด แต่มองว่าเอี้ยนลี่เฉียงที่ไม่ยอมตกเข้าสู่กับดักของเขานั้นคือคนชั่วช้าที่สุด
ขณะที่หลินเจ๋อเดินออกจากห้องทำงานของหลินชิงเทียน พ่อบ้านชราคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับยื่นหนังสือบางอย่างให้กับหลินชิงเทียน
หลินชิงเทียนไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงโบกมือและพ่อบ้านคนนั้นก็แสดงความเคารพก่อนจะถอยหลังกลับไป
หลังจากนั้น หลินชิงเทียนก็จ้องมองไปที่หนังสือเล่มเล็กๆ และหยิบขึ้นมาอ่านอย่างจริงจัง
เอี้ยนลี่เฉียงเพศชาย อายุสิบห้าปี เป็นคนเมืองผิงซีแคว้นกานโดยกำเนิด พ่อของเขาเป็นช่างตีเหล็กในเมืองหลิวเหอเกิดเมื่อปี ….
…
หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นด้วยตัวอักษรขนาดเล็กมาก แต่ด้วยความหนาของหนังสือที่มีหลายสิบหน้าย่อมแสดงให้เห็นว่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเอี้ยนลี่เฉียงถูกรวบรวมไว้อย่างครบถ้วน
หลังจากอ่านทุกอย่างแล้วหลินชิงเทียนก็โยนหนังสือเล่มเล็กๆลงไปบนโต๊ะ ดวงตาของเขาเป็นประกายและเคาะโต๊ะทำงานเบาๆพร้อมกับบอกว่า
“มิน่าเล่าซุนปิงเฉินถึงเลือกเจ้า…”
…
ในเวลาเดียวกัน ขันทีสองสามคนที่รับใช้จักรพรรดิก็สังเกตเห็นว่าเจ้าเหนือหัวของอาณาจักรฮั่นวันนี้เอาแต่หัวเราะไม่หยุด ในขณะเดียวกันพระองค์ก็เสวยอาหารค่ำได้เป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตามนอกจากซุนปิงเฉินที่ออกจากเมืองหลวงแล้ว คงไม่มีใครทั่วทั้งอาณาจักรฮั่นที่สามารถแบ่งปันความสุขที่เขาได้รับในวันนี้
“ฮ่าฮ่าฮ่า คำทำนายไม่ผิดเพี้ยนจริงๆเจ้าเด็กนั่นจะเป็นดาวนำโชคของข้า”