366 - นัยยะสำคัญของเรื่องราว
366 - นัยยะสำคัญของเรื่องราว
ขณะที่นั่งอยู่ในรถม้าเอี้ยนลี่เฉียง สัมผัสได้ถึงสิ่งที่หลิวกงกงคิด หลังจากนั้น เอี้ยนลี่เฉียงได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดของการเผชิญหน้าสามครั้งของเขากับซูหลาง
การเผชิญหน้าครั้งแรกของพวกเขาอยู่ในห้องของผู้ติดตามในตอนที่ไปวังหลวงครั้งแรก
ซูหลางและคนอื่นๆเป็นคนที่เริ่มสร้างปัญหา สุดท้ายก็จบลงด้วยเหลียงอี้เจี๋ยท้าประลองเขาในสนามประลองเป็นตาย
การเผชิญหน้าครั้งที่สองของพวกเขาคือวันที่ซูหลางต่อสู้กับเหลียงอี้เจี๋ย
การเผชิญหน้าครั้งที่สามของพวกเขาคือช่วงเวลาที่เขาได้พบกับซูหลางและคนอื่นๆเมื่อเขาออกมาจากร้านอาหารของช่วงสายเมื่อวานนี้
เอี้ยนลี่เฉียงยังกล่าวถึงความขัดแย้งที่เขามีกับพวกซูหลาง สำหรับเรื่องการฆ่ามันเป็นสิ่งที่เอี้ยนลี่เฉียงจะไม่มีวันยอมรับอย่างแน่นอน
เป็นเพราะเขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครมองเห็นตอนที่เขาลงมือฆ่าทุกคน ต่อให้มีพยานลงเหลือจริงๆก็จะเห็นเพียงใบหน้าของงูจงอางเท่านั้น
สำหรับพยานและโจทก์ที่หัวหน้ามือปราบเฉินกล่าวถึง มันเป็นเพียงข้ออ้างที่จะทำให้คนอื่นตกใจ อย่างมากที่สุดคนคนนั้นก็จะบอกได้แค่ว่าเอี้ยนลี่เฉียงอยู่ในเมืองหลวงเมื่อคืนนี้
เป็นไปได้มากที่สุดก็แค่บอกว่าเห็นเหตุการณ์ที่เขามีความขัดแย้งบางอย่างกับซูหลางและคนอื่นๆนอกร้านอาหาร สิ่งเหล่านี้หากเป็นชาวบ้านธรรมดาอาจจะถูกจัดการก็ได้
แต่เอี้ยนลี่เฉียงเป็นถึงผู้บัญชาการหยิงหยางดังนั้นมหาอำนาจที่หนุนหลังเขาอยู่จะไม่มีทางยอมให้เขาล้มลงอย่างแน่นอน
ในรถม้าเอี้ยนลี่เฉียงยังได้แบ่งปันเหตุผลที่เขาได้พบกับจาง โหย่วหรงจากหอพันวิศวกรรมแห่งนิกายภูเขาวิญญาณกับหลิวกงกง
“สิ่งประดิษฐ์เล็กๆ” ของเอี้ยนลี่เฉียงบางส่วนในตอนที่เขาอยู่ในแคว้นกาน ทำให้นักประดิษฐ์หมายเลขหนึ่งของโลกสนใจในตัวเขาบ้าง
ดังนั้นจางโหย่วหรงจึงไปหาลู่เปียนในศาลาชุมนุมแคว้นกานซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของเอี้ยนลี่เฉียง
จางโหย่วหรงเชิญเอี้ยนลี่เฉียงไปทานอาหารที่ร้านอาหารท้องฟ้าไร้สิ้นสุด เอี้ยนลี่เฉียงยังเล่าถึงวิธีที่เขาทำงานร่วมกับฟางเป่ยโต้วเพื่อตีพิมพ์หนังสือพิมพ์
หลังจากฟังการสนทนาของเอี้ยนลี่เฉียง หลิวกงกงก็มองเอี้ยนลี่เฉียงด้วยความประหลาดใจอยู่พักหนึ่ง ราวกับว่าเขาเพิ่งรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเอี้ยนลี่เฉียง
เขารู้สึกทั้งพอใจและประหลาดใจ “ช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรฮั่น' ที่เจ้าพูดถึงคืออะไร?”
เอี้ยนลี่เฉียงก็ให้คำอธิบายอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามหลังจากที่หลิวกงกงได้ยินทุกอย่าง เขาก็แสดงความคิดเห็นว่า
“ความคิดนี้น่าสนใจ เป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าที่จะสามารถคิดเกี่ยวกับสิ่งที่สามารถให้ความบันเทิงแก่ผู้คนได้”
เมื่อเห็นว่าหลิวกงกงไม่ได้ให้ความสำคัญกับหนังสือพิมพ์ฉบับนี้มากนัก แต่เห็นว่าเป็นเครื่องมือที่น่าสนใจ เอี้ยนลี่เฉียงก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
“ข้ายังคิดว่ามันน่าสนใจที่จะคิดเรื่องนี้ขึ้นมา มันจะไม่ละเมิดข้อห้ามใดๆและข้าอาจจะสามารถหารายได้พิเศษได้ ดังนั้นข้าจึงเดินหน้ากับเรื่องนี้อย่างเต็มที่ น่าเสียดายที่ยอดขายของมันไม่ดีเท่าไหร่”
หลิวกงกงส่ายหัว
“สิ่งนี้เปรียบได้กับคนอื่นๆชื่นชมดอกไม้หรือเลี้ยงนกพิเศษบางตัว แค่ถือว่ามันเป็นงานอดิเรก หากเจ้าต้องการสร้างรายได้ต่อให้เป็นล้านตำลึงข้าก็สามารถช่วยเหลือเจ้าได้อย่างง่ายดาย!”
“กงกงพูดถูก!”
เอี้ยนลี่เฉียงไม่ได้โต้แย้ง เขาเพียงพยักหน้าแทน
“หลังจากนี้ข้าจะไม่ใส่ใจเรื่องนี้มากเกินไป!”
หลิวกงกงพยักหน้าหลังจากฟังเอี้ยนลี่เฉียง
“ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนที่มีความสามารถมากถึงขนาดนี้ แม้แต่จางโหย่วหรงก็ยังให้ความสำคัญกับเจ้า ไม่ต้องกังวลคราวนี้กรมอาญาไม่มีทางแต่ต้องเจ้าได้…”
เมื่อพูดเช่นนี้เสียงของหลิวกงกงก็เย็นลงเล็กน้อย
“เจ้าเป็นผู้บัญชาการกองทหารม้าแห่งจักรวรรดิ นั่นหมายความว่าเจ้าทำงานรับใช้ฝ่าบาท พิจารณาจากสิ่งที่เจ้าพูดแสดงว่าคนเหล่านี้หมายมั่นปั้นมือที่จะใช้เจ้าจัดการกับท่านซุนและฝ่าบาท…”
"โอ้ใช่! ในตอนที่ซุนหลางและคนอื่นๆเมื่อวานนี้ ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนที่เป็นหัวหน้าของพวกเขา คนคนนั้นถูกเรียกว่านายน้อยหลิน..”
หลิวกงกงขมวดคิ้ว “นายน้อยหลิน? คนนั้นมีลักษณะอย่างไร”
“เขาไม่มีลักษณะพิเศษใดๆแต่มีไฝสีดำอยู่ข้างปากของเขา และเขาแสดงท่าทางหยิ่งผยองมีท่าทางน่ารังเกียจ เมื่อซูหลางคุยกับคนผู้นี้ดูเหมือนจะเกรงกลัวเป็นอย่างมาก!”
“ที่แท้ก็มันนั่นเอง!” ดวงตาของหลิวกงกงเป็นประกายเย็นวาบ
“ตอนแรกข้าก็สงสัยว่าด้วยหลักฐานเพียงแค่นี้เหตุไฉนกรมอาญาจึงต้องเล่นงานเจ้าเอาเป็นเอาตาย ที่แท้ก็มีใครบางคนอยู่เบื้องหลังนี่เอง…”
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงมองเห็นมือปราบที่มาจับกุมตัวเขาเขาก็พอจะคาดเดาเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังต้องแสร้งทำเป็นตกใจแล้วถามว่า
“กงกง นายน้อยหลินคนนั้นเป็นใครกันแน่?”
“นายน้อยหลินคนนั้นเรียกว่าหลินเจ๋อ เขาเป็นหลานชายของอัครเสนาบดีหลินชิงเทียน เนื่องจากหลินชิงเทียนไม่มีบุตรชาย ดังนั้นเขาจึงรับหลินเจ๋อเป็นบุตรบุญธรรม…”
“แล้วหัวหน้ามือปราบเฉินคนนั้นคือใคร?”
“เขาจะเป็นใครได้อีก? ก็แค่สุนัขรับใช้ของหลินชิงเทียน…” หลิวกงกงพูดอย่างดูถูก
…
กรมอาญาตั้งอยู่ทางเหนือของเมืองหลวงและอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังมากนัก ผนังของมันเป็นสีแดงเข้ม เมื่อมองจากภายนอกดูเหมือนเป็นสถานที่ที่มีป้อมปราการแข็งแกร่งและเย็นยะเยือก
ก่อนที่พวกเขาจะเข้าใกล้เอี้ยนลี่เฉียงสังเกตว่าจำนวนคนที่เดินไปตามถนนรอบๆกรมอาญาดูเหมือนจะน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ในฐานะที่เป็นมหาอำนาจของอาณาจักรฮั่น โครงสร้างของกรมอาญานั้นใหญ่มากแตกต่างจากสถานที่ราชการอื่นของเมืองหลวง
องค์กรภายใต้กรมอาญาประกอบด้วยหน่วยบังคับใช้กฎหมาย ตุลาการ หน่วยบรรเทาทุกข์ หน่วยสืบสวน เรือนจำ คลัง หน่วยงานพิจารณาคดี สำนักกฎหมายอาญา และอื่นๆ
นอกจากเสนาบดีกรมอาญาและรองเสนาบดีแล้ว ยังมีผู้ช่วยเจ้ากรมในระดับต่างๆ หัวหน้ามือปราบเฉินก็คือหัวหน้ามือปราบของเมืองหลวง ซึ่งสังกัดกรมอาญาด้วย
หลังจากที่เอี้ยนลี่เฉียงมาถึงแล้วเขาก็ถูกนำตัวไปดำเนินตามขั้นตอนของกรมอาญา โจทก์ที่เป็นผู้ฟ้องเขาในคดีนี้ก็ถูกจับกุมไว้ในห้องขังตามขั้นตอนเช่นกัน
ผู้คนจากกรมอาญาดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากจะซักถามเขาอย่างจริงจัง กลับกันพวกเขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะจับกุมเอี้ยนลี่เฉียงขังไว้ในคุก
ตามธรรมดาแล้วนี่เป็นขั้นตอนตามปกติของกรมอาญาที่จะทำงานแบบลวกๆ แต่คราวนี้เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับหลิวกงกงข้อบกพร่องทุกอย่างของพวกเขาก็ถูกชี้ออกมาเพียงคำเดียว
หลิวกงกงถือได้ว่าเป็นบุคคลลำดับสามที่มีอำนาจที่สุดในฝั่งของจักรพรรดิ ที่อยู่สูงกว่าเขามีเพียงเสวี่ยกงกงและองค์จักรพรรดิของจักรวรรดิฮั่นเท่านั้น
เมื่อเห็นข้อผิดพลาดของกรมอาญาที่ทำงานอย่างหละหลวม เขาก็ตะโกนด่าออกมาด้วยความโกรธและฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายในกรมอาญา
หลังจากทำทุกอย่างตามแผนการแล้วเขาก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกนอกประตูกรมอาญาโดยพาเอี้ยนลี่เฉียงไปด้วย
จากนั้นพวกเขาก็ตรงไปที่วังหลวงเพื่อถวายฎีกาฟ้องร้องกรมอาญาที่ทำงานไร้ประสิทธิภาพ
…