ตอนที่19 ยอมรับ
ตอนที่19 ยอมรับ
ผ่านไปสักครู่ใหญ่ สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานก็นอนมอบแน่นิ่งไปกับพื้นไม่สามารถลุกขึ้นยืนหยัดได้อีกต่อไป
“พวกเจ้าแพ้แล้ว”
เย่เจวี๋ยยืนตระหง่านต่อหน้าทั้งสามพร้อมสองมือไขว้หลังอย่างสง่าผ่าเผย
“นายน้อยเย่ช่างน่าเกรงขามยิ่งแล้ว”
ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับหาใช่คำตอบของสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซาน แต่เป็นสุ้มเสียงตะโกนของเหล่าสมาชิกตระกูลเย่ หลังจากเกิดความตื่นตระหนกยิ่งต่อจิตใจแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือความคลั่งไคล้อย่างหาที่เปรียบ สักวันพวกเขาจะต้องกลายมาเป็นอัจฉริยะเฉกเช่นนายน้อยเย่คนนี้ให้จงได้ และจะนำความรุ่งเรืองมาสู่ตระกูลเย่!
นี่ไม่ใช่อัจฉริยะหรืออย่างไร? จะเรียกว่าสัตว์ประหลาดคงไม่เกินจริงไปถูกหรือไม่? ยังมีใครกล้าตั้งคำถามอีกหรือไม่ว่า เขาผู้นี้ถือว่าประสบความสำเร็จหรือยังในชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย? ต้องกล่าวอธิบายแบบนี้ก่อนถึงจะดีกว่า ประการแรก เขาตัวคนเดียวสามารถล้างบางตระกูลหยางได้จนไม่เหลือซาก ประการที่สอง ยังสามารถสังหารยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงได้ภายในคมดาบเดียว และประการสุดท้าย อาศัยพลังอาณาจักรก่อกายาระดับห้า บดขยี้สามยอดฝีมืออาณาจักรก่อกายาระดับสิบได้ในคราเดียว ฟังมาถึงตรงนี้คงไม่ต้องคิดแล้วว่า เย่เจวี๋ยคนนี้นับว่าประสบความสำเร็จแค่ไหนแล้ว
สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานช่วยกันพยุงร่างกันและกันขึ้นมา สีหน้าของพวกเขาแต่ละคนถูกขีดเขียนคำว่า ไม่น่าเชื่ออยู่ทั่ว พวกเขาสงสัยเหลือเกินกว่า เย่เจวี๋ยเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรก่อกายาระดับห้าจริงๆ หรือไม่? ไฉนถึงสามารถทำลายช่องว่างระหว่างพลังได้อย่างสมบูรณ์
หากใช่ขึ้นมาจริงๆ เย่เจวี๋ยผู้นี้คงเป็นสัตว์ประหลาดแห่งยุคสมัยปัจจุบัน เขามีศักยภาพมากพอที่จะกลายมาเป็นผู้ไร้เทียมทานในอนาคต!
“พวกเรา...พวกเราแพ้แล้ว...”
สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานก้มศีรษะจรดพื้นด้วยความเศร้าโศกใจ และกล่าวต่อว่า
“พวกเรายินดีพาลูกน้องกลุ่มโจรทั้งหมดลงจากภูเขา และเข้ามอบตัวที่ตำหนักเจ้าเมือง”
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เย่เจวี๋ยแข็งแกร่งผิดมนุษย์มนาเกินไป พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า เด็กน้อยที่มีพลังอยู่แค่อาณาจักรก่อกายาระดับห้า ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านความเร็วและความแข็งแกร่ง ล้วนเหนือกว่าพวกเขาทั้งสามที่เป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรก่อกายาระดับสิบขั้นสุดรวมกันเสียอีก
“พวกเจ้ารีบกลับไปซะ”
พอเย่เจวี๋ยกล่าวจบก็หันหลังเดินทางไปทันที สีหน้าการแสดงออกยังดูเฉยเมยไม่แปรเปลี่ยน ราวกับสิ่งที่กล่าวไปก่อนหน้าหาได้ใส่ใจแม้สักนิด ทว่าขณะที่กำลังเดินกลับอยู่นั่นเอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังคำโตดังออกมาจากด้านหลัง
“เดี๋ยวก่อนท่าน!”
“นายน้อยเย่ พวกเราสามพี่น้องรู้สึกชื่นชมความแกร่งกล้าของท่านจากใจจริง พวกเราตัดสินใจแล้ว...เราสามพี่น้องขอติดตามรับใช้ท่านตลอดไป!”
หยินต้าซงเอ่ยเสียงหนึ่งพร้อมคุกเข่าเสมือนว่าบ่าวกำลังแสดงความเคารพเจ้านาย หยินเอ๋อร์ซงและหยินซานซงรีบคุกเข่าตามพี่ใหญ่ทันที สีหน้าที่ชโลมชุ่มไปด้วยเลือดสดช่างเปี่ยมล้นไปด้วยความจริงใจ
ที่ทำเช่นนี้หาใช่เพราะอื่นใด บนพิภพที่ความแกร่งกล้าล่วนเป็นที่เคารพนับถือ เย่เจวี๋ยนับเป็นยอดอัจฉริยะผู้หาตัวจับยากคนหนึ่งใต้แผ่นฟ้า หากพวกเขาได้ติดตามรับใช้เย่เจวี๋ย อนาคตของพวกเขาย่อมต้องสดใสแน่นอน
เย่เจวี๋ยที่ได้ยินดังนั้นก็เหลียวหลังกลับมามองเล็กน้อย แสยะยิ้มฉีกขึ้นบนมุมปากและกล่าวว่า
“ได้สิ ไยจะไม่ได้”
“ลุกขึ้นเถอะ”
“สำหรับผู้ใดที่ต้องการติดตามรับใช้ข้าด้วยใจจริง เย่เจวี๋ยผู้นี้ย่อมปฏิบัติด้วยอย่างเป็นธรรม”
เย่เจวี๋ยเดินตรงมาหยุดตรงหน้าสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซาน ในเวลาเดียวกันเขาก็ยกนิ้วชี้สัมผัสไปที่กลางหน้าผากของพวกเขา พร้อมถ่ายทอดสามเคล็ดวิชาฝึกปรือที่แตกต่างกันออกไปให้แก่พวกเขา
สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานรีบทำการตรวจสอบธารข้อมูลบางอย่างที่แล่นผ่านเข้าห้วงความคิดทันที ทันใดนั้นก็พลันเห็นเคล็ดวิชาแขนงหนึ่งผุดขึ้นมา เห็นเช่นนั้นพวกเขาก็ดูมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง เคล็ดวิชาบ่มเพาะพลังเหล่านี้ล้วนมีระดับชั้นที่สูงกว่าเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่พวกเขาใช้อยู่ไม่กี่ทวีเท่า อาศัยเคล็ดวิชาบ่มเพาะอันมีค่าเหล่านี้ พวกเขาสามารถทะลวงขึ้นเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงได้ไม่ยากเลย
“นายน้อยเย่ โปรดรับการคาราวะนี้ด้วยเถิด!”
สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานที่เพิ่งลุกขึ้นตะกี้ก็รีบคุกเข่าโขกศีรษะให้เย่เจวี๋ยอีกครั้งทันที ทั่วทั้งใบหน้าของพวกเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความซาบซึ้งและปีติยินดี
“พอได้แล้ว ลุกขึ้น”
เย่เจวี๋ยโบกมือปัดและหมุนตัวเดินกลับเข้าเรือนพักของตัวเองไป สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานรีบติดตามเขาไปทันที แต่กลับถูกเย่เจวี๋ยใช้สายสายเพียงแล่นโฉบบีบบังคับให้ล่าถอย ซึ่งสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานเองก็ตระหนักทราบชัดเจนดี ใช่แล้ว ตามสัญญาที่เดิมพันกันไว้ ถึงยังไงซะ พวกเขาก็ต้องเข้ามอบตัวที่ตำหนักเจ้าเมืองก่อนอยู่ดี
ดังเช่นนั้นสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานจึงบอกลากับเย่เจวี๋ย และเดินทางกลับไปยังหุบเขานอกเมือง
คนของตระกูลเย่เองก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เช่นกัน เพราะไม่เพียงเย่เจวี๋ยจะสามารถกำราบกลุ่มโจรชื่อดังได้เท่านั้น แต่ยังเอาอีกฝ่ายเข้ามาเป็นพรรคพวกได้อีกด้วย นี่เท่ากับเป็นการเพิ่มกำลังรบให้แก่ตระกูลเย่โดยตรง
เย่เจวี๋ยกลายเป็นตำนานในทันที นี่เป็นคำพูดที่ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไปเพียงเสี้ยวพริบตา
อาจกล่าวได้ว่า คลื่นลมกระโชกแรงระลอกใหม่ได้กลับมาอีกครั้ง
เย่ชุ่นซินที่กลายมาเป็นคนพิการได้รับการปรนนิบัติดูแลโดยคนรับใช้ตระกูลเย่คนหนึ่ง ในวันนี้เมื่อคนรับใช้กำลังเดินออกไปเพื่อเทน้ำร้อนให้เย่ชุ่นซินริมจิบ ก็พลันเดินชนเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่งเข้า ซึ่งอีกฝ่ายแข็งแกร่งราวกับวิ่งชนกำแพง
“เดินระวังหน่อย ดูทางบ้างสิ”
ชายหนุ่มผู้นั้นตวาดสั่งสอนไปคำหนึ่ง ก่อนจะพยุงคนรับใช้ขึ้นมา เพียงแค่มือเดียวก็สามารถกระชากร่างของอีกฝ่ายขึ้นมาได้ในพริบตา นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า กำลังวังชาของชายหนุ่มคนนี้เหนือชั้นเพียงใด
เมื่อคนรับใช้เงยหน้ามองชายหนุ่มคนดังกล่าวก็ถึงกับตกตะลึง เย่ซวน? เขากลับมาจากการฝึกปรือแล้ว? คนรับใช้คนนั้นรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันแกร่งกล้าที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของเย่ซวนชัดเจน นี่เป็นรัศมีกลิ่นอายของยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วง! เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายคนนี้ ลมหายใจของคนรับใช้ถึงกับติดขัดไม่สะดวก หรือว่า...เย่ซวนคนนี้จะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงได้แล้วจริงๆ?
“ข้าเอง ข้ากลับมาแล้ว”
ยามเห็นปฏิกิริยาของคนรับใช้ดูแปลกไป เย่ซวนก็คลี่ยิ้มบางกล่าวขึ้นว่า
“เอาล่ะ รีบไปรายงานท่านพ่อเถิดว่าข้ากลับมาแล้ว หากท่านได้เห็นว่า ลูกชายคนนี้สำเร็จอาณาจักรนภาม่วงแล้ว ท่านพ่อจะต้องดีใจเป็นอย่างมากแน่นอน”
คนรับใช้ถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปครู่ใหญ่ เอ่ยขึ้นตะกุกตะกักว่า
“นายน้อยเย่ซวน...คือท่านพ่อ...ท่านพ่อของท่าน...”
“เกิดอะไรขึ้นกับพ่อข้า?”
เมื่อได้เห็นท่าทางการแสดงออกของคนรับใช้ เย่ซวนพลันขมวดคิ้วเป็นปมแน่นทันใด และคว้ากระชากคอของคนใช้ขึ้นมาทันที
‘นี่ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่! เขาไม่ต้องการเผชิญพบกับความเศร้าโศกอีกแล้วหลังจากที่ท่านแม่เสียชีวิต ตอนนี้เหลือเพียงท่านพ่อคนเดียวที่เข้าใจข้า!’
เย่ซวนนึกคิดกับตัวเองภายในใจด้วยความวิตกกังวล
“รีบพาข้าไป!”
เย่ซวนตะโกนเสียงดังลั่น ขัดกับท่าทีของคนรับใช้ที่ยังดูอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่กล้าเคลื่อนไหว ทว่าจำต้องปะทะเข้ากับจิตสังหารขุมใหญ่ของเย่ซวนที่ถาโถมเข้าใส่ คนรับใช้จึงต้องจำใจพยักหน้าตอบ
คนรับใช้รีบพาเย่ซวนเข้าไปในเรือนพักแห่งหนึ่ง พอเข้าไปก็เห็นเย่ซุ่นซินที่นั่งซึมดูหดหู่ยิ่งอยู่บนเตียง
“ท่านพ่อ!”
เย่ซวนรีบพุ่งเข้าไปหาเขาทันที
“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน? ไฉน...ไฉนถึงเป็นแบบนี้...ลมปราณของท่าน....”
“ซวนเอ๋อ เจ้ากลับมาแล้ว...”
เย่ชุ่นซินส่ายหน้าพลางเยาะเย้ยตัวเองขึ้นว่า
“พ่อของเจ้าคนนี้กลายเป็นคนพิการ ไร้ซึ่งลมปราณไปแล้ว…”
แต่ในขณะที่กล่าวขึ้นมาเอง ทันใดนั้นแววตาของเขาพลันเปล่งประกายขึ้นมาทันที แม้ว่าตอนนี้เขาจะไร้ซึ่งลมปราณในร่างกาย แต่เขาก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึง กลิ่นอายของยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงที่ใครสัมผัสแล้วจำต้องหนาวเหน็บยันขั้วกระดูก
“ซวนเอ๋อ นี่เจ้า...นี่เจ้าอยู่ในอาณาจักรนภาม่วงแล้ว?!”
ภายในใจของเย่ชุ่นซิ่วเผยให้เห็นถึงความปีตืดีใจอย่างสุดซึ้ง ลูกชายของเขาเดินทางออกไปฝึกปรือไม่เสียเปล่า เขาในฐานะผู้เป็นพ่อช่างมีความสุขยิ่งยวด
“ใคร!? ใครกันที่ทำให้ท่านต้องเป็นแบบนี้!!”
เย่ซวนหาได้สนใจคำกล่าวของพ่อไม่ ตะโกนสวนเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวดสุดหัวใจ
พอได้ยินแบบนั้น ดวงตาคู่นั้นของเย่ชุ่นซินก็ทอประกายอาฆาตทันที เขาเค้นเสียงเย็นกล่าวขึ้นด้วยความเกลียดชังว่า
“ทั้งหมดเป็นเพราะเย่เจวี๋ยและตระกูลเย่! หากข้ามีพลังล่ะก็ ข้าจักบดขยี้พวกมันให้เป็นหมื่นแสนชิ้น!”
จากนั้นเขาก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เย่ซวนฟัง แน่นอนว่าที่ผ่านมาหลังจากพิการ ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากแสนสาหัสยิ่งนัก
“ท่านพ่อ ข้าจะไปล้างแค้นให้ท่านเดี๋ยวนี้! ข้าจะทวงคืนความยุติธรรมมาให้ท่าน!”
คล้อยหลังได้ฟังเรื่องราวเพียงแค่ครึ่งเดียว เย่ซวนก็กำหมัดแน่นด้วยความโกรธจัด จนธารเลือดสดไหลซิบออกมาผ่านซอกนิ้วของเขา
..........
เย่ซวนเดดินตรงเข้าไปในโถงประชุมประจำตระกูลเย่ทันที เมื่อเขามาถึงก็เห็นสี่ผู้อาวุโสกำลังนั่งประชุมอยู่ ทว่าอย่างไรพวกเขาดูไม่ตื่นตระหนักเลยแม้สักนิด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะดูดซับฤทธิ์โอสถแปรโหลิตจนสมบูรณ์ และทะลวงขึ้นกลายเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงกันหมดแล้ว
“เย่ซวน เจ้ากลับมาแล้ว นี่...กลิ่นอายเช่นนี้มัน...! เจ้าทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงได้แล้ว!?”
เย่หยวนซานพลันหรี่ตาตีบแคบทันที พวกเขาเองก็อยู่ในอาณาจักรนภาม่วงเช่นกัน หากทราบแบบนี้แก่ทีแรก พวกเขาคงห้ามไม่ให้เย่ชิงฉงทำลายจุดตันเถียนของพ่อเขาแน่นอน
“หยุดพล่ามไร้สาระได้แล้ว! ข้ามาที่นี่ก็เพื่อคิดบัญชีแค้นที่พวกเจ้าทำกับพ่อของจ้า!”
สีหน้าของเย่ซวนเปี่ยมล้นความอาฆาตเดือดดาลยิ่งเสมือนภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุขึ้นแล้ว รัศมีกลิ่นอายแห่งอาณาจักรนภาม่วงระเบิดคลั่งล้นทะลักถึงขีดสุด จนปกคลุมไปทั่วทั้งโถงประชุมแห่งนี้
“สามหาว! พ่อของเจ้าล้วนทำตัวเองทั้งนั้น! เย่ซวน พวกเรากำลังนั่งประชุมเรื่องสำคัญอยู่ ออกไปเสียเดี๋ยวนี้! มิฉะนั้นก็อย่าหาว่าพวกเราชายชราไม่สุภาพ!”
เย่หยวนซานคำรามแผดเสียงดังสนั่น
เย่ซวนในขณะนี้ถูกความโกรธแค้นกลืนกินจิตใจไปที่เรียบร้อย มีหรือจะสนใจฟังคำพูดของเย่หยวนซาน? ลมปราณขุมใหญ่ไหลทะลักล้นออกมาจากทั่วอณูร่างกายของเขา พลังลมปราณเหล่านั้นเข้าผสานกับเลือดลมก่อเกิดเป็นเกาะลมปราณดูพิสดารห่อหุ้มคละคลุ้งทั่วร่างกาย ก่อนจะระเบิดพลังพุ่งเข้าใส่เย่หยวนซวนพร้อมเสียงดังแสบแก้วหู!
เมื่อเย่หยวนซวนรู้ว่า เย่ซวนคนนี้ขึ้นกลายเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงเทียบเท่าตนแล้ว ยามนี้จึงไม่กล้าออมมือแม้แต่น้อย แหกขาตั้งท่ายืนให้มั่นและซัดกำปั้นชกปะทะกับเย่ซวน
สองกำปั้นเข้าปะทะกันโดยพร้อมเพรียง ก่อเกิดเป็นเสียงอัสนีบาตกรีดร้องสนั่น คลื่นอากาศถูกผลักออกไปกลายเป็นวง สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คลื่นพลังมวลใหญ่กวาดล้างสิ่งของทั่วโถงประชุมกระเด็นกระดอน ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นทันที
ในเวลาเดียวกัน ผู้อาวุโสอีกสามคนที่เหลือรีบตรงเข้าปิดล้อมเย่ซวนไว้ ผสานสามเพลงหมัด ผสมขุมพลังแห่งอาณาจักรนภาม่วงพุ่งจู่โจมใส่เย่ซวนจากสามทิศทางที่แตกต่างกัน
สุดขั้วพลังทำลายล้างระดับชั้นอาณาจักรนภาม่วงของทั้งห้าเข้าปะทะกันโดยตรง
ในเวลานั้นเอง เย่ซวนรีบเร่งเร้าลมปราณไปยังกำปั้นขวาที่ปะทะอยู่กับเย่หยวนซานจนกระเด็นออกไป ตัวเขากลับลำหันมาปะทะกำปั้นซ้ายขวาต่อกรสองผู้อาวุโส อย่างไรเสียยังมีการโจมตีของผู้อาวุโสอีกหนึ่งคนที่อยู่ด้านหลัง เย่ซวนไม่เหลือมือไม้ให้รับมือได้อีกต่อไป จึงถูกเพลงหมัดอัดปะทะโจมตีจากด้านหลังอย่างแรง กายาของแกร่งกล้าของเขาถึงกับสั่นสะท้าน เสียงร้องครวญครางดังก้องออกจากลำคอ
ทว่าเย่ซวนหาได้ถึงกะบสิ้นฤทธิ์ เข้าเผชิญหน้ากับสองผู้อาวุโส ผลักสวนกลับไปจนทั้งคู่ต้องร่นถอยออกมา จากนั้นก็หันกลับไปซัดกำปั้นใส่ผู้อาวุโสอีกคนที่อยู่ด้านหลังจนปลิวถอยออกไปหลายก้าว
เพื่อฝ่าวงล้อมหนีออกไป เย่ซวนจึงเร่งระดมซัดกำปั้นกระหน่ำออกไปอีกหลายหมัดหวังเปิดจังหวะล่าถอย
มุมปากของเย่ซวนในขณะนี้เริ่มมีธารเลือดสดไหลซิบออกมา เป็นดั่งที่คาดไว้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสี่ยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่ฝืนเกินไปจริงๆ หากไม่ใช่เพราะว่า ความแกร่งกล้าของเขาเหนือชั้นกว่ายอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงทั่วไป ปานนี้ชีวิตของเขาคงตกอยู่ในกำมือของสี่คนนี้แล้ว
‘น่าแปลกประหลาดยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ไม่นาน พวกเขาทั้งสี่เพิ่งอยู่แค่อาณาจักรก่อกายาระดับเก้าเองมิใช่รึ? ไฉนความเร็วในการบ่มเพาะพลังของทั้งสี่ถึงพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด? เขาเองก็มั่นใจว่าตนออกไปฝึกไม่นานขนาดนั้น แต่คนพวกนี้กลับทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงแล้วจริงๆ?’
เย่ซวนถึงกับสบถออกมาในใจ
“เย่ซวน แม้เจ้าจะอยู่ในอาณาจักรนภาม่วงแล้ว แต่ถึงแบบนั้นเจ้าก็ไม่สามารถรับมือพวกเราสี่คนได้อยู่ดี ยอมแพ้ซะ”
เย่หยวนซานกล่าวขึ้น
“หึ! จะจับข้ารึไง? พวกเจ้าทำให้ท่านพ่อของข้ากลายเป็นคนพิกาศ ทำลายจุดตันเถียนของเขา อย่าคิดว่าขจ้าไม่รู้! ท่านพ่อได้บอกข้ามาหมดแล้ว! ดังนั้นข้าจะต้องทวงคืนความยุติธรรมคืนให้ท่านพ่อ!”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาคงไม่จำเป็นต้องพูดอันใดอีกต่อไป”
เมื่อสี่ผู้อาวุโสเห็นพ้องต้องกันเช่นนี้ พวกเขาก็กระจายเข้าไปปิดล้อมเย่ซวนอีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไร เย่ซวนก็ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาทั้งสี่คนได้
ทว่าขณะที่เย่ซวนกำลังครุ่นคิดแผนการรับมือทั้งสี่ด้วยความตึงเครียดอยู่นั้น ทันทีทันใดเสียงผิวปากที่ดูสุดแสนจะผ่อนคลายก็ดังขึ้นมาจากนอกประตู