80Y-ตอนที่ 12 ปล่อยวางความในใจ
การสวรรคตขององค์จักรพรรดิเป็นเหตุการณ์สำคัญของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
องค์ชายหกได้เสด็จขึ้นครองราชย์โดยชอบธรรมและทรงเปลี่ยนชื่อรัชกาลของพระองค์เป็นหยวน
ในรัชการหยวน เขาได้รับการขนานนามว่าจักรพรรดิหยวน!
พิธีถวายพระเพลิงศพ ได้กินเวลาตลอด 3 เดือนนี้ เหล่าข้าราชบริพารทุกคนต่างส่งลูก ๆ ของพวกเขามาทักทายองค์จักรพรรดิคนใหม่
จักรพรรดิหยวน ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นแก่ลูกหลานของข้าราชบริพารเหล่านี้โดยปราศจากความไม่พอใจ
โดยส่วนตัวแล้ว สีหน้าของเขาเย็นชามา
เป็นธรรมดาที่เขาเก็บซ่อนงำความโกรธไว้ในใจ
ตั้งแต่ที่องค์จักรพรรดิคนก่อนสวรรคตไป เหล่าข้าราชบริพารเหล่านี้ก็ไม่ได้มาถวายพระเพลิงศพเลย
ความทะเยอทะยานของพวกเขาชัดเจนมาก
อย่างไรก็ตาม ตัวเขาเพิ่งจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ เขายังไม่สามารถแตะต้องข้าราชบริพารเหล่านี้ได้
นั่นคือเหตุผลที่เขาต้อนรับคนเหล่านี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและทำให้ลูกหลานของข้าราชบริพารเหล่านี้พึงพอใจ
สามเดือนต่อมา ลูกหลานของข้าราชบริพารเหล่านี้ได้ออกจากเมืองหลวง
จักรพรรดิหยวน ได้เริ่มงานราชกิจของประเทศและฝึกฝนการบ่มเพาะพลังอย่างต่อเนื่อง
ในตำหนักเย็น การบ่มเพาะพลังของ หลินจิ่วเฟิง ได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด
เขารู้สึกว่าผลลัพธ์ที่เตียงหยกน้ำแข็งมอบให้กับเขาดูเหมือนจะดีขึ้นกว่าเดิมมาก
ในอดีต เมื่อตอนเขาฝึกฝนบนเตียงหยกน้ำแข็ง ผลลัพธ์ใน 1 วันเทียบเท่ากับ 3 วันธรรมดา
แต่ตอนนี้ ผลลัพธ์ใน 1 วันกลับเทียบเท่ากับ 5 วันของการฝึกฝนแบบธรรมดา
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป ความเร็วในการฝึกฝนของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”หลินจิ่วเฟิง รู้สึกอยากรู้อยากเห็น
นี่เป็นสัญญาณเริ่มต้นของสิ่งที่เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อพลังปราณของโลกโดยที่เขาไม่รู้ตัว หลินจิ่วเฟิง ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับมัน เพราะสำหรับเขา นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
1 ปีได้ผ่านพ้นไป
หลินจิ่วเฟิง ได้ใช้เวลาอยู่ที่ตำหนักเย็นมาแล้วถึง 5 ปีเต็ม
และ นี่เป็นปีแรกหลังจากที่จักรพรรดิหยวนเสด็จขึ้นครองราชย์
ในปีนี้ จักรพรรดิหยวน ได้เข้าควบคุมราชสำนักและปฏิรูปอะไรหลายอย่าง แต่เขาก็ถูกต่อต้านอย่างรุนแรง จนยุ่งมากและไม่มีเวลามาพบ หลินจิ่วเฟิง
หลินจิ่วเฟิง ก็ยุ่งมากเช่นเดียวกัน-เขายุ่งอยู่กับการฝึกฝนของเขา
เมื่อสิ้นปีนี้ เขาได้ก้าวผ่าน 9 ระดับของขั้นปรมาจารย์
มี 9 ระดับในขั้นปรมาจารย์ แต่ หลินจิ่วเฟิง ได้ผ่านไปทั้งหมดภายในระยะเวลาหนึ่งปี เขาสามารถทะลวงขอบเขตเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ได้
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ คือตัวตนที่มีการดำรงอยู่อันดับต้น ๆ ของยุคปัจจุบัน ที่มีระดับขั้นต่ำกว่าปราชญ์การต่อสู้ จากที่ไม่เคยมีปราชญ์การต่อสู้ปรากฏตัวก่อนหน้านี้
ในวันปกติเขาก็ลงชื่อเข้าใช้สถานที่ตามกิจวัตรประจำวัน
คล้ายกับ ‘9ระดับเบิกนภา’ ของขั้นปรมาจารย์ ในขั้นปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ก็มี ‘9ระดับเบิกสวรรค์’ หลินจิ่วเฟิง ได้พยายามอย่างหนักในการก้าวผ่านแต่ละขั้นในทุกวัน
ในวันนี้ หลินจิ่วเฟิง ได้ผละออกจากการฝึกฝนบนเตียงหยกน้ำแข็ง
เขาได้เดินออกไปที่ลานกว้าง
เมื่อเขาเห็นจักรพรรดิหยวนที่เหนื่อยล้าเดินเข้ามา เขาก็กล่าวด้วยความเคารพทันที“ถวายบังคมฝ่าบาท!”
“พี่ใหญ่ ระหว่างเราพี่น้อง ไม่จำเป็นจะต้องมีมารยาทเช่นนี้”องค์ชายหกคนก่อนและจักรพรรดิหยวนคนปัจจุบัน ได้มองไปที่ หลินจิ่วเฟิง ด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว
เขารู้สึกกดดันอย่างมาก
ทุกวันนี้เขารู้สึกเหนื่อย
การจัดการงานส่วนขององค์จักรพรรดิค่อนข้างยากลำบากอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนลุกขึ้นมาต่อต้านในการปฏิรูปของเขา ความเหนื่อยล้าของเขามันก็ได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
หลังจากจักรพรรดิหยวนทรงงานหนักเป็นเวลาตลอด 1 ปี เขาก็ตระหนักได้ว่าความก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ ได้ช้าลงอย่างไม่น่าเชื่อ เขารู้สึกหดหู่และต้องการหาใครสักคนมาคุยด้วย แต่แล้วก็ไม่มีใครสักคนมาคลายความกังวลใจของเขาได้เลย กระทั่ง ภรรยาของเขาที่ร่วมหลับนอนเตียงเดียวกับเขา นางก็ไม่สนใจสิ่งใดนอกจากอำนาจ
นางปราถนาที่จะให้บุตรชายของนางเป็นองค์รัชทายาทในทันที
ซึ่งจักรพรรดิหยวน รู้สึกเอื่อมระอากับเรื่องนี้
ดังนั้นเขาจึงคิดถึงพี่ชายของเขาและมาที่นี่เพื่อมองหา หลินจิ่วเฟิง เพื่อพูดคุย
หลินจิ่วเฟิง ได้เชิญจักรพรรดิหยวนให้นั่งลงที่ลานที่พัก
เขาชงชาหนึ่งถ้วยและถวายต่อจักรพรรดิหยวน
โดยพื้นฐานแล้วชาเหล่านี้ถูกส่งมาโดยต้าชุน
“หลังจากที่ได้ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิปกครองผู้คนนับล้าน ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากเลยสินะ?”
หลินจิ่วเฟิง ได้มอบชาที่ชงให้กับจักรพรรดิหยวน
เขามองดูน้องชายที่ซึ่งเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ด้วยความห่วงใย
ถ้าเจ้าของร่างเดิมไม่ปล่อยสตรีศักดิ์สิทธิ์ไปในตอนนั้น คนที่รู้สึกรำคาญในตอนนี้อาจจะเป็นตัวเขาเอง
“พี่ใหญ่ ในราชสำนักเต็มไปด้วยผู้คนที่มองหาแต่ผลประโยชน์ และ ด้านนอกราชสำนักก็เต็มไปด้วยพวกโลภและทะเยอทะยานจำนวนมาก ข้าพยายามจะปฏิรูปประเทศ แต่เพราะเจตจำนงค์และพลังของข้านั้นอ่อนแอเกินไป จึงไม่สามารถทำได้”จักรพรรดิหยวน ได้ถอนหายใจออกมา
หลินจิ่วเฟิง ได้มองไปที่เขาและกล่าวถาม“ใครกันที่ต่อต้าน?”
“ตระกูลขุนนาง...นิกาย!”การแสดงออกของจักรพรรดิหยวนได้กลายเป็นเย็นชา“ตระกูลขุนนางเหล่านั้นเริ่มขยับขยายดินแดนและข่มเหงพวกชาวบ้าน…”
“ประชาชนทั่วไปเริ่มสูญเสียที่ดินและกลายเป็นผู้ลี้ภัย แต่พวกเขาหาได้จบลงแค่นั้นไม่ พวกเขาต้องการให้ราชสำนักจัดตั้งกองทุนบรรเทาทุกข์ กระทั่งบางคนยังสมรู้ร่วมคิดกับขุนนางฉ้อฉลในการรวบกลืนเงินบรรเทาทุกข์เหล่านั้น ข้าล่ะอยากจะบ้าตาย!”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ จักรพรรดิหยวน พลันโกรธจัด“ยังมีกองกำลังจากนิกายเหล่านั้น ลัทธิเต๋า ที่มีสาวกมากมายและครอบครองภูเขาที่มีชื่อเสียงและผืนน้ำขนาดใหญ่ พวกเขาได้จัดการส่วนพื้นที่เหล่านั้นและปฏิเสธที่จะให้หน่วยงานท้องถิ่นเข้าไปแทรกแซง…”
“ส่วนนิกายพุทธ!”
“พวกเขากำลังดำเนินการก่อสร้างไปทั่วเจียงหนาน! สร้างอารามทั้งซ้ายขวา แม้ว่าจะเป็นคนชั่วช้าหรือชั่วร้ายอย่างยิ่ง ตราบใดที่ใจยังยึดมั่นในศาสนา พวกเขาก็เต็มใจต้อนรับและพร้อมจะพลิกโลกใบใหม่ไปพร้อมกัน นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี!”
“ในช่วงเวลาสั้น ๆ พวกเขาได้ก่อสร้างอารามเผยแพร่ศาสนาขึ้นมากมาย…”
หลินจิ่วเฟิง ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงสังเกตุจักรพรรดิหยวนอย่างเงียบ ๆ เบื้องหน้าเขา
ก่อนหน้านี้ ในใจของ หลินจิ่วเฟิง เห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่น้องชาย
แต่ตอนนี้ อีกฝ่ายคล้ายกับจักรพรรดิอย่างแท้จริง
จักรพรรดิผู้ที่ซึ่งพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะนำการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดมาสู่โลก แต่ท้ายที่สุดก็ถูกจำกัดเพราะอำนาจในมือไม่เพียงพอ เขาไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงอะไรได้
“พี่ใหญ่ท่านรู้อะไรไหม…”
จักรพรรดิหยวนได้มองไปที่ หลินจิ่วเฟิง และพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เหล่าข้าราชบริพารทั้ง 9 ต่างสมรู้ร่วมคิดกับนิกายปีศาจ ในตอนนั้น ถ้าบรรพบุรุษอาวุโสของนิกายชุนฮวาประสบความสำเร็จ เกรงว่า ข้าราชบริพารทั้ง 9 คงจะลุกขึ้นมาต่อต้านแล้ว”
“โชคดีที่ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปราชญ์การต่อสู้ลึกลับคนนั้นปรากฏตัวขึ้นและแก้ไขสถานการณ์ในตอนนั้น เพียงแต่พอผ่านไปนาน พวกเขาก็เริ่มกลับมามีความคิดแบบนั้นอีกครั้ง”จักรพรรดิหยวน ได้ถอนหายใจออกมา
“ไม่ใช่แค่พวกเขา ยังมี ภูเขาชู,หลิงหนาน,โม่เป่ย ร่วมอีกด้วย”
“กลุ่มอิทธิพลใหญ่นอกพรมแดน และ ประเทศอื่น…”
“พวกเขาทั้งหมดกำลังเพ่งเล็งมาที่ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาของข้า และ คิดจะรวบกลืนราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาแห่งนี้”
จักรพรรดิหยวน ได้ระบายหลายสิ่งหลายอย่างที่อัดแน่นอยู่ภายในใจออกมา เขาต้องการบอกเล่าให้ หลินจิ่วเฟิง รับรู้
สำหรับคนอื่น ๆ เขาไม่สามารถทำได้ เพราะคนเหล่านั้นมักจะหวาดกลัวสถานะตัวตนของเขาและพยายามไม่เข้าใกล้
มีเพียงพี่ใหญ่ของเขาเท่านั้น ที่เขาสามารถปล่อยวางปัญหาในใจและระบายให้เขาฟังได้อย่างแท้จริง
“การปกครองประเทศก็เหมือนกับการให้อาหารปลาตัวเล็ก ๆ เจ้าไม่สามารถเร่งให้มันเติบโตได้”
หลินจิ่วเฟิง ได้ถอนหายใจออกมา
“พี่ใหญ่ ตอนนี้ข้ามีอำนาจเพียงหยิบมือ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอำนาจของข้าคงจะถูกลดทอนลงจนกระทั่งข้าไม่สามารถออกจากเมืองหลวงได้…”
“มันเป็นไปไม่ได้เลยงั้นหรือที่จะพลิกสถานการณ์และลุกขึ้นมาต่อต้านพวกเขา?”จักรพรรดิหยวนกล่าวถามด้วยความกังวล
“ไม่ต้องกังวลไป ทุกอย่างล้วนมีหนทางแก้ไขเสมอ เจ้าเพียงต้องจัดการกับมันอย่างช้า ๆ ไม่ต้องรีบร้อน”หลินจิ่วเฟิง ได้ตอบกลับ
“ข้าก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น”จักรพรรดิหยวนได้หัวเราะเยาะตัวเอง“ถ้าเกิดมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปราชญ์การต่อสู้ปรากฏตัวขึ้นและสนับสนุนหน้าต่อหน้าสาธารณะชน ข้าอาจจะพอกู้คืนอำนาจกลับมาและใช้มันเปลี่ยนแปลงทิศทางของโลกภายใต้เงื้อมมือของข้าด้วย”
“ข้าเชื่อว่าสักวันต้องมี”รอยยิ้มที่สงบของ หลินจิ่วเฟิง ได้เผยออกมา
“พี่ใหญ่ ไม่ต้องปลอบข้าหรอก”
“หลังจากที่ข้าได้ระบายความในใจเช่นนี้ออกมา ข้าก็รู้สึกดีขึ้นมาก…”
“ท่านพูดถูก การปกครองประเทศก็เหมือนกับการให้อาหารปลาตัวเล็ก ข้าคงจะรีบร้อนเกินไป”จักรพรรดิหยวนได้สั่นศีรษะและหัวเราะออกมา
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อในคำพูดของ หลินจิ่วเฟิง
เพียงแต่เขาคิดว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงคำพูดปลอบใจเท่านั้น
เขาไม่สามารถรหา ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปราชญ์การต่อสู้ได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เช่นนั้นอีกฝ่ายจะปรากฏตัวขึ้นในเร็ว ๆ นี้ได้อย่างไร?
“พี่ใหญ่ท่านอยากออกไปหรือไม่?”จักรพรรดิหยวนกล่าวถามทันที
หลินจิ่วเฟิง ได้สั่นศีรษะ“โลกภายนอกนั้นยุ่งเหยิง เหตุใดข้าจะต้องออกไป?”
“ท่าน…”จักรพรรดิหยวนต้องการจะพูดอะไรเพียงแต่เขาก็ได้หยุดลง
“ข้าชินกับความสงบที่นี่แล้ว ถ้าเจ้ามีอะไรกวนใจในอนาคต ก็สามารถมาระบายให้ข้าฟังได้ ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
หลินจิ่วเฟิง ได้ปฏิเสธความตั้งใจที่ดีของจักรพรรดิหยวน
“พี่ใหญ่ เช่นนั้นให้ข้าหาคนรับใช้มาปรนนิบัติท่านเถอะ ข้าไม่อยากจะทิ้งเขา อย่างน้อยก็ให้เขาอยู่เคียงข้างท่านคอยช่วยปรนนิบัติท่าน มันจะดีมากหากท่านให้คำแนะนำแก่เขา และ ทำให้เขากลายเป็นคนที่มีอาชีพได้ในอนาคต”จักรพรรดิหยวน ได้พูดขึ้น
“ใครกัน?”หลินจิ่วเฟิง ได้กล่าวถามด้วยความสงสัย
“ลูกนอกสมรสของข้า!”จักรพรรดิหยวนได้ถอนหายใจออกมา
“ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าไปให้คำมั่นว่าจะแต่งงานกับหญิงสาวผู้นึงโดยไม่ได้รับอนุญาติจากท่านพ่อและท่านแม่ จากนั้น นางก็ตั้งท้อง”
“ต่อมาข้าต้องการจะพานางกลับมาด้วย แต่หลังจากที่ได้เป็นองค์รัชทายาท ด้วยกรอบมายาทต่าง ๆ ข้าก็ไม่สามารถทำได้”
“ไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นจุดอ่อนที่คนอื่นจะใช้ประโยชน์จากจุดนี้ในการโจมตีข้าด้วยดังนั้น…”
“หลังจากขึ้นครองราชย์ ข้าก็รับแรงกดดันจากทางราชสำนักและประชาชนธรรมดาจนไม่มีเวลาไปดูแลเขา จนอตนนี้เขาค่อย ๆ เติบโตขึ้น ดังนั้นข้าหวังว่าพี่ใหญ่จะช่วยชี้ทางสว่างให้แก่เขา”จักรพรรดิหยวน ได้เปิดเผยความลับทั้งหมด
เขาคือจักรพรรดิ ทุกคำพูดของเขาล้วนมีน้ำหนักของมัน
เขาในตอนนี้ไม่สามารถยอมรับลูกนอกสมรสของตัวเองคนนี้ได้
เพราะนี่คือสถานการณ์ปัจจุบันของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา