80Y-ตอนที่ 11 องค์จักรพรรดิสวรรคต
ตราประทับราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่เขาได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้สถานที่ ทำให้ หลินจิ่วเฟิง มีทักษะป้องกันตัวที่ทรงพลังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง ด้วยทักษะนี้ความสามารถในการต่อสู้ของเขาจะต้องเพิ่มขึ้นมากอย่างแน่นอน
เพราะก่อนหน้านี้เขามีเพียงทักษะกระบี่เพียงไม่กี่แบบเท่านั้น
แต่ตอนนี้เขากลับได้รับทักษะอื่นมาไว้ใต้แขนเสื้อแล้ว ในที่สุด เขาก็มีบางอย่างที่พิจารณาได้ว่ามันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในไพ่ตายของเขา
หลังจากลงชื่อเข้าใช้ หลินจิ่วเฟิง ก็ก้าวเข้าสู่ตำหนักเย็น
เมื่อประตูปิดลง ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยออกจากสถานที่แห่งนี้มาก่อน
สำหรับความโกลาหลจากโลกภายนอก ทั้งหมดไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ หลินจิ่วเฟิง
7 วันได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
เฉกเช่นเคย หลินจิ่วเฟิง ได้ฝึกฝนอย่างเงียบ ๆ และพยายามปรับปรุงความแข็งแกร่งของเขา รวมถึงจดจ่ออยู่กับขั้นตอนลงชื่อเข้าใช้สถานที่ เพื่อรับเอา โอสถปรับแต่งแกนกลาง ในทุกวัน เพื่อใช้มันในการทะลวงผ่านขั้นแกนทองคำ ไปยัง ขั้นปรมาจารย์
เขาเคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปรมาจารย์มาก่อน และ ถือว่าตัวตนระดับนี้คือยอดฝีมือของประเทศ แต่เนื่องจากการปรากฏตัวของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปราชญ์การต่อสู้ ทำให้ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปรมาจารย์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาอีกต่อไป
ในวันนี้ ต้าชุน ก็ได้มาหาเขา
อีกฝ่ายมาพร้อมกับอาหารอร่อยและไวน์ชั้นดี ตามปกติ หลังจากได้มอบอาหารให้ อีกฝ่ายก็ได้แบ่งปันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเมืองหลวงของราชวงศ์ให้กับ หลินจิ่วเฟิง รู้
“องค์ชาย คนจากนิกายปีศาจเหล่านั้น ได้ล่าถอยกลับไปแล้ว สาวกของนิกายเต๋าและนิกายพุทธ ก็ค่อย ๆ จากไปเช่นเดียวกัน ประชาชนในเมืองหลวงค่อย ๆ กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขอีกครั้ง”ต้าชุน ได้พูดขึ้น
“ถือเป็นเรื่องดี”หลินจิ่วเฟิง ได้ยกแก้วไวน์และดื่มมัน ก่อนที่จะแสดงความเห็นออกมา
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่า เหล่่าข้าราชบริพาร 2-3 คนก่อนหน้านี้พวกเขาต้องการที่จะโค่นล้มราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา จากความโกลาหล ที่เกิดขึ้นจากการโจมตีของบรรพบุรุษอาวุโสจากนิกายชุนฮวา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะนิ่งเงียบไปแล้ว และ แสดงความภักดีต่อราชวงศ์ต่อไป”ต้าชุน ได้ตอบกลับ
“หากปราศจากความสามารถของ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปราชญ์การต่อสู้ พวกเขาจะกล้าก่อกบฏได้อย่างไร?”หลินจิ่วเฟิง ไม่ได้สนใจคนเหล่านี้
ข้าราชบริพารเหล่านี้มักจะมาจากอาสาสมัครที่มอบความภักดีให้กับราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาในช่วงก่อตั้งครั้งแรก เพื่อเป็นการตอบแทนในความภักดีของพวกเขา ต่อมาพวกเขาได้รับส่วนหนึ่งของที่ดินในการจัดการ แต่ลูกหลานของพวกเขาหาได้ภักดีเหมือนกับคนรุ่นก่อน
ดังนั้นข้าราชบริพารในปัจจุบัน ก็ไม่ต่างจากโรคร้ายที่กำลังกัดกินราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
ย้อนกลับไปตอนที่เขายังเป็นองค์รัชทายาท คนเหล่านี้ ก็รู้สึกเป็นห่วงเป็นใย หลินจิ่วเฟิง อย่างมาก
แต่ทว่าเขาหาได้สนใจเรื่องในอดีตอีกแล้ว เพราะปัญหาทุกอย่างได้ตกเป็นขององค์ชายหกและองค์จักรพรรดิในปัจจุบัน
ทุกวันนี้เขามีความสุขกับการลงชื่อเข้าใช้สถานที่แห่งนี้
หลังจากที่เขากินอิ่มแล้ว ต้าชุน ก็จากไป
ชีวิตของ หลินจิ่วเฟิง ได้กลับมาสงบอีกครั้ง เขาได้เริ่มฝึกฝนอย่างเงียบ ๆ
ส่วนไร้นาม…
แม้ว่าอีกฝ่ายจะฟื้นคืนชีพกลับมาด้วยทักษะควบคุมศพจากความตาย และ จิตวิญญาณได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ จนก่อให้เกิด ตัวตน ไร้นาม ในปัจจุบัน
แต่โดยหลักการแล้วอีกฝ่ายก็ยังไม่ใช่ ‘มนุษย์’
พูดให้ถูกคือ อีกฝ่ายเป็นเพียงหุ่นเชิดที่รับคำสั่งจาก หลินจิ่วเฟิง
เขามีพลังขั้นปราชญ์การต่อสู้ก็จริง แต่ก็ไม่สามารถก้าวหน้าได้ตลอดไป
ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่ได้รับคำสั่งจากหลินจิ่วเฟิง ในระหว่างวันปกติ เขาก็จะนอนอยู่ในโลงทองแดงอันนั้น
หลินจิ่วเฟิง ได้ลงชื่อเข้าใช้สถานที่และรับเอาโอสถปรับแต่งแกนกลางในแต่ละวัน
บางครั้งเขาก็เดินเตร่ไปรอบ ๆ ตำหนักเย็นทั้งหมด
ในวันนี้ เขาได้มาถึง พระราชวังร้าง
ห้องพระราชวังเฉียนหยวน!
ที่นี่คือสถานที่ที่เคยคุมขังสองพี่น้องที่เคยต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์กับองค์จักรพรรดิในปัจจุบัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อีกฝ่ายก็คือ เสด็จลุงของหลินจิ่วเฟิง
หลังจากที่พวกเขาเสียชีวิตด้วยความโศกเศร้า สถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่รกร้างในเวลาต่อมา ที่นี่ไม่มีใครมาจัดระเบียบมัน ทำให้ เต็มไปด้วยวัชพืชที่ปกคลุมและใยแมงมุมที่หนาทึบ พระราชวังดูทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งกำแพงก็ดูเหมือนจะพังทลายลงมาได้อย่างง่ายดาย
หลินจิ่วเฟิง ได้มองไปยังสถานที่ที่ทรุดโทรม เขาได้ใช้ปราณกระบี่ในการกำจัดวัชพืชเหล่านั้น
[คุณต้องการลงชื่อเข้าใช้พระราชวังเฉียนหยวนหรือไม่?]
ข้อความได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา
“ยืนยันการเข้าใช้”หลินจิ่วเฟิง ได้ตอบกลับอย่างไม่ลังเล
เขาต้องการเห็นสิ่งที่จะได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้สถานที่ดังกล่าว
[ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับเตียงหยกน้ำแข็งพันปี!]
หลินจิ่วเฟิง มองไปที่ประโยคนี้ด้วยความประหลาดใจ
เขารีบกลับไปยังลานที่พักของเขาในทันที
ตามที่คาดไว้ เตียงหยกน้ำแข็งที่เขาได้รับได้ปลดปล่อยบรรยากาศอันเยือกเย็นออกมาอย่างต่อเนื่อง มันเป็นเตียงเดี่ยวที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก
นี่คือเตียงหยกน้ำแข็งพันปี มันเป็นสิ่งของไว้ช่วยในด้านการฝึกฝนการบ่มเพาะพลัง
การฝึกฝนบนเตียงหยกน้ำแข็งสามารถช่วยให้ร่างกายมนุษย์ดูดซับพลังงานทางธรรมชาติได้ดีกว่าเดิมถึง 2 เท่า จากความพยายามเพียงครึ่งเดียว
“ด้วยเตียงหยกน้ำแข็ง เส้นทางบ่มเพาะพลังสู่ขั้นปรมาจารย์คงจะอยู่ไม่ไกล”หลินจิ่วเฟิง ได้พึมพัมออกมาด้วยความยินดี
เขาได้ย้ายเตียงหยกน้ำแข็งเข้าไปยังห้องของเขาและเริ่มทำการฝึกฝน
แน่นอนว่าการฝึกฝน 1 วันบนเตียงหยกน้ำแข็งเทียบเท่ากับการฝึกฝนแบบปกติถึง 3 วัน
มันถือว่าเร็วขึ้นอย่างมาก
ยกเว้นกิจวัตรประจำวันในการลงชื่อเข้าใช้สถานที่ หลินจิ่วเฟิง ได้ใช้เวลาที่เหลือไปกับการบ่มเพาะพลังบนเตียงหยกน้ำแข็งทุกวัน
เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครึ่งปีผ่านไป
ภายในเวลาครึ่งปี หลินจิ่วเฟิง ได้ยกระดับการบ่มเพาะพลังของเขาไปสู่ขั้นปรมาจารย์
เขาบ่มเพาะพลังถึงระดับ 3 ขั้นปรมาจารย์แล้ว
ขั้นปรมาจารย์ แบ่งออกเป็น 9 ระดับ
ทุกคนเรียกระดับเหล่านี้ว่า ‘9ระดับเบิกนภา’
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถก้าวข้าม 9 ระดับเบิกนภา ได้ตลอดทั้งชีวิต แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับ ลหินจิ่วเฟิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่เขาได้รับเตียงหยกน้ำแข็ง ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาดีขึ้นอย่างมาก
ในช่วงเวลา 6 เดือนมานี้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษภายในเมืองหลวงของราชวงศ์
ทุกครั้งที่ ต้าชุนมาหาเขา อีกฝ่ายก็ได้บอกเล่าเกี่ยวกับเรื่อง เล็ก ๆ น้อย ๆ
อย่างไรก็ตาม ต้าชุนที่มาครั้งนี้ ได้กล่าวพูดอย่างจริงจังกับ หลินจิ่วเฟิง“องค์ชาย ดูเหมือนว่าฝ่าบาทใกล้จะสวรรคตแล้ว เหล่าเจ้าหน้าที่ในราชสำนักและสามัญชนต่างก็เริ่มพูดถึงเรื่องนี้”
หลินจิ่วเฟิง กล่าวถามด้วยความสงสัย“เขาเพิ่งจะอายุ 50 ปี ด้วยฐานการบ่มเพาะพลังของเขา การจะมีชีวิตอยู่ได้นานถึง 300 ปีไม่น่าจะใช่ปัญหาอะไร เช่นนั้นเขาจะตายได้อย่างไร?”
“ว่ากันว่า ฝ่าบาทได้ทรงฝึกฝนทักษะลับของราชวงศ์ทำให้รากฐานได้รับความเสียหายจนไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้…”
“ในช่วง 6 เดือนมานี้ อาการประชวรของเขารุนแรงมากขึ้น กระทั่งการว่าราชกิจ และ สิ่งต่าง ๆ ล้วนถูกส่งต่อไปให้องค์รัชทายาท ทั้งหมด ฝ่าบาททรงไม่ได้เสร็จขึ้นไปบนห้องโถงหลักมากนักในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา”ต้าชุน ได้อธิบาย
หลินจิ่วเฟิง รู้สึกตกตะลึง
องค์จักรพรรดิผู้นี้กำลังจะสวรรคตจริง ๆ งั้นหรือไม่?
เช่นนั้นน้องชายของเขาก็จะขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิคนต่อไปของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
ข่าวที่ต้าชุน นำมาครั้งนี้ สร้างความผันผวนให้กับอารมณ์ของ หลินจิ่วเฟิง มาก
ไม่ว่าจะกรณีใด อีกฝ่ายก็ยังเป็นบิดาของร่างกายนี้
ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกเฉยเมย
…
พระราชวังต้องห้าม ห้องโถงหลัก
องค์จักรพรรดิในปัจจุบัน ร่างกายของเขาเริ่มแนบติดกระดูกแล้ว
ครึ่งปีที่แล้วเขายังคงเป็นองค์จักรพรรดิผู้สง่างาม แต่ครึ่งปีต่อมาเขากลับกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงที่ใกล้ตาย
ด้านนอกห้องโถงหลัก เหล่าเจ้าหน้าที่ในราชสำนัก ต่างคุกเข่าลงเป็นแถว ใบหน้าล้วนเศร้าสลด
ภายในห้องโถงหลัก มีเพียงองค์จักรพรรดิในปัจจุบันและองค์รัชทายาท
องค์จักรพรรดิในปัจจุบัน อยู่ในอาการอัมพาตเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ตอนนี้เขาฟื้นคืนสติชั่วคราวก่อนที่เขาจะเสียชีวิต
เขาลืมตาขึ้นและกล่าวถาม“เด็กน้อย เจ้าพบผู้อาวุโสปราชญ์การต่อสู้แล้วหรือยัง?”
องค์ชายหกได้สั่นศีรษะและตอบกลับ“ไม่เลย พวกเราไม่พบข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับเขาเลย”
“ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสคนนี้ไม่ต้องการจะถูกรบกวน”
“ไม่ว่าอย่างไร เจ้าจะต้องค้นหาต่อไป และ อย่าได้ท้อถอยในการฝึกฝนของเจ้า”
“การที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปราชญ์การต่อสู้ปรากฏตัว นั่นแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตอนนี้พลังปราณของโลกในปัจจุบันกำลังเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ ฝึกฝนได้ง่ายกว่าเดิม”
“ในอนาคตจะมีปราชญ์การต่อสู้ปรากฏตัวขึ้นจำนวนมาก…”
“ดังนั้นราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาของเราจำเป็นจะต้องแข็งแกร่งมากขึ้น”
องค์จักรพรรดิได้กุมมือองค์ชายหกไว้แน่นและถ่ายทอดเรื่องที่ซ่อนอยู่เอาไว้ด้วยความยากลำบาก
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ทำให้พลังปราณของโลก…
การบ่มเพาะพลังเป็นเรื่องง่าย…
มีเพียงไม่กี่คนจากกองกำลังหลักบางกลุ่มเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
“ในอนาคต ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จะมาเยือนโลกในที่สุด ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา จะต้องเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น และ เกี่ยวกับอิทธิลพลของข้าราชบริพารเหล่านั้น หลังจากเจ้าขึ้นครองบัลลังก์ เจ้าจะต้องหาทางจัดการเรื่องนี้ให้ดี”
“ลูกเข้าใจแล้ว”องค์ชายหกได้พยักหน้า
องค์จักรพรรดิได้ถอนหายใจออกมา“เกี่ยวกับพี่ชายของเจ้า ในตอนนั้น ข้ารู้สึกโกรธมากจึงได้ทำลายฐานการบ่มเพาะพลังของเขา เนื่องเพราะเขาได้ปล่อยสตรีศักดิ์สิทธิ์ และทำให้เจ้าหน้าที่ในราชสำนักและประชาชนต่างไม่พอใจ…”
“เจ้าสามารถปรับปรุงชีวิตของเขาได้ เพียงแต่อย่าเพิ่งปล่อยให้เขาออกมาในตอนนี้ สำหรับภายหลัง…”
ก่อนที่คำพูดของเขาจะจบลง มืดของเขาก็เริ่มคลายออก
องค์ชายหก ได้ตะโกนขึ้นอย่างกังวล“เสด็จพ่อ!”
เจ้าหน้าที่ราชสำนักทุกระดับนอกห้องโถงก็เริ่มคร่ำครวญออกมา
…
ในคืนนี้ หลินจิ่วเฟิง ได้มองดูพระจันทร์จากในตำหนักเย็น
เขาได้แต่งกายด้วยชุดขาวทั้งชุดและใบหน้าสงบเงี่ยม
ทันใดนั้น เสียงระฆังก็ได้ดังขึ้น 9 ครั้งจากภายในพระราชวังต้องห้าม
สัญญาณ 9 ครั้ง นี่คือสัญญาณของการจากไปขององค์จักรพรรดิในปัจจุบัน
เสียงระฆัง เป็นตัวแทนของความตาย
องค์จักรพรรดิในปัจจุบัน พระบิดาของ หลินจิ่วเฟิง ได้ล่วงลับจากไปแล้ว
ในขณะนั้นได้มีเสียงร้องไห้ดังมาจากทุกหนแห่งในเมืองหลวง
หลินจิ่วเฟิง ได้ถอนหายใจออกมาเขาได้หันหน้าไปทางพระราชวังต้องห้ามและโค้งคำนับเพื่อน้อมส่งกับการจากไปในครั้งนี้