362 - อาคันตุกะของนิกายภูเขาวิญญาณ
362 - อาคันตุกะของนิกายภูเขาวิญญาณ
อาหารค่ำมื้อนี้ดำเนินไปยาวนานถึงสองชั่วยาม ในท้ายที่สุดเอี้ยนลี่เฉียงก็ไม่ได้แบ่งปันความคิดเรื่องเครื่องจักรไอน้ำ
ในความเป็นจริงเอี้ยนลี่เฉียงเป็นคนที่อยู่มาถึงสองชีวิตไม่ใช่ชายหนุ่มอายุ 15 ปีที่โง่เขลาที่พอได้ยินคำยกยอของคนอื่นๆก็จะรีบแสดงภูมิความรู้ของตัวเองออกมาทันที
เอี้ยนลี่เฉียงตระหนักดีถึงผลกระทบที่เครื่องจักรไอน้ำจะนำมา
นี่เป็นไพ่ใบสำคัญที่เขาเก็บแขนเสื้อไว้ ความสัมพันธ์ในปัจจุบันของเขากับนิกายภูเขาวิญญาณยังไม่สนิทสนมกันถึงขนาดนั้น
ในช่วงเวลานี้เอี้ยนลี่เฉียงและจางโหย่วหรงได้หารือเกี่ยวกับกลไกการม้วนของโลหะ จากนั้นจึงย้ายไปที่การหักเหของแสงและการสะท้อน ความหนาแน่นของวัสดุทางกายภาพ
ต่อด้วยวิธีการที่วัตถุสร้างเสียง จากนั้นการเปลี่ยนแปลงของน้ำระหว่างสถานะของเหลว ของแข็ง และก๊าซก่อนที่พวกเขาจะตบท้ายด้วยมาตราการวัดที่ค่อนข้างมีปัญหาของอาณาจักรฮั่น
“วันนี้ก็เกือบเที่ยงคืนแล้วพวกเราคงต้องอำลากันเพียงเท่านี้ดีกว่า!”
จางโหย่วหรงมองไปที่เอี้ยนลี่เฉียง ดูเหมือนว่าเขายังมีความคิดมากมายที่ไม่ได้พูดออกไป แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ยังยืนขึ้น
“ฮ่าฮ่า ข้าต่างหากที่เป็นคนได้รับผลประโยชน์จากการได้พูดคุยกับปรมาจารย์จาง…”
“น้องลี่เฉียงพวกเราเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน หากเจ้าไม่ถือว่าข้าแก่กว่าสองสามปีนับแต่นี้เจ้าก็เรียกข้าว่าพี่หรงเถอะ!”
“ตกลง ลี่เฉียงคำนับพี่หรง!” เอี้ยนลี่เฉียงลุกขึ้นแสดงความเคารพโดยเรียกเขาว่าพี่หรงทันที
จางโหย่วหรงตอบรับด้วยเสียงหนักแน่นจากนั้นจึงล้วงเข้าไปในอกเสื้อและหยิบเอาแผ่นป้ายสีทองเหลืองอร่ามยัดใส่มือเอี้ยนลี่เฉียง
“นี่คือป้ายประจำตัวของอาคันตุกะกิตติมศักดิ์ของหอพันวิศวกรรมแห่งนิกายภูเขาวิญญาณของเรา ด้วยความรู้ของน้องลี่เฉียงเจ้าสามารถมาเยี่ยมชมภูเขาของเราได้โดยไม่มีข้อจำกัด
แผ่นป้ายนี้ยังมีประโยชน์อยู่อีกประการหนึ่งคือ หากเจ้าได้พบปัญหาอะไรก็ตามเจ้าสามารถขอความช่วยเหลือจากนิกายภูเขาวิญญาณของเราได้!”
เมื่อเห็นท่าทางของสือปิงปิงที่แสดงออกว่าไม่พอใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เอี้ยนลี่เฉียงจึงรู้ว่าคุณค่าของแผ่นป้ายนี้ต้องมีมากมายมหาศาล
“ขอบคุณพี่หรง!”
…
จางโหย่วหรงบอกว่าเขาจะยังอาศัยอยู่ในเมืองหลวงระยะหนึ่ง หากเอี้ยนลี่เฉียงต้องการพบเขาก็สามารถไปเยือนสาขาของนิกายภูเขาวิญญาณได้ตลอดเวลา
หลังจากที่พวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว เอี้ยนลี่เฉียงก็มองไปที่แผ่นป้ายสีทองด้วยความตกตะลึง
“ลี่เฉียง เจ้ารู้หรือไม่ว่าของชิ้นนี้มีความล้ำค่ามากแค่ไหน!” ลูเปียนที่นั่งอยู่ในรถม้าเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าอิจฉาอย่างไม่ปิดบัง
“พี่หกรู้เรื่องนี้หรือไม่?!”
“ของสิ่งนี้จะทำให้สถานะของเจ้าในนิกายภูเขาวิญญาณไม่แตกต่างจากศิษย์หลักเลย มิหนำซ้ำมันยังมีข้อดีอีกข้อหนึ่ง”
"มันคืออะไร?"
“ในอนาคตถ้าเจ้ามีลูกเจ้าสามารถมอบแผ่นป้ายนี้ให้เขานำมาฝากตัวเป็นศิษย์ภายในของนิกายภูเขาวิญญาณได้โดยตรง…”
“ของสิ่งนี้ยังไม่มีประโยชน์กับข้า ข้ารู้ว่าลูกชายของพี่หกกำลังเติบโต หากท่านต้องการให้เขาเป็นศิษย์หลักของนิกายภูเขาวิญญาณข้าสามารถมอบสิ่งนี้เพื่อซื้ออนาคตให้เขาได้!” เอี้ยนลี่เฉียงส่งแผ่นป้ายสีทองให้กับลู่เปียน
ลู่เปียนรู้สึกขบขันแล้วกล่าวว่า
“ของสิ่งนี้จะมอบให้กันได้อย่างไร ท่านปรมาจารย์นักประดิษฐ์มอบให้เจ้าเป็นการส่วนตัว หลังจากที่เขากลับไปนิกายภูเขาวิญญาณจะต้องทำเรื่องบันทึกไว้ด้วย หากคนอื่นได้แผ่นป้ายนี้เอาไปใช้แอบอ้างก็นับเป็นการรนหาที่ตายอย่างแท้จริง…”
เอี้ยนลี่เฉียงก็หัวเราะออกมาเบาๆเช่นกัน
“พี่หกส่งข้าที่หน้าประตูเมืองก็พอ!”
“ประตูเมืองน่าจะปิดแล้ว?”
“ประตูเมืองจะปิดเที่ยงคืน หากท่านออกไปส่งข้าด้านนอกท่านจะไม่สามารถกลับเข้าเมืองทัน !”
“ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากด้วยเจ้าไปพักกับข้าอยู่ที่ศาลาชุมนุมประจำแคว้นก็ได้ !”
“เมื่อสักครู่เราอยู่ในห้องเป็นเวลานานมันทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ดังนั้นข้าจึงต้องการเดินเพื่อให้อาหารย่อยสักหน่อย!”
เมื่อได้ยินเอี้ยนลี่เฉียงพูดเช่นนี้ ลู่เปียนก็ไม่ได้ยืนยันเพิ่มเติม เขาปล่อยให้รถม้าหยุดที่ทางแยกด้านหน้า หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกทางกัน
หลังจากลงจากรถม้าเอี้ยนลี่เฉียงก็สูดอากาศเข้าไปลึกๆ ในเวลานี้ยังมีใครบางคนวิ่งตามหลังรถม้าเพื่อจับตาดูเขาอยู่
คนผู้นี้เฝ้าจับตาดูเขาตลอดทั้งคืน เขาทุ่มเทให้กับงานของเขาจริงๆ...
เอี้ยนลี่เฉียงหัวเราะอย่างเย็นชาและเดินไปข้างหน้า เงาที่ตามหลังเขาก็ตามมาอย่างเงียบๆ…
หลังจากนั้นไม่ถึงสิบนาทีเอี้ยนลี่เฉียงก็หายตัวไปจากสายตาของบุคคลนั้นหลังจากเลี้ยวที่หัวมุมไม่กี่ครั้ง คนชุดเขียวที่วิ่งตามหลังมารีบมองหาเอี้ยนลี่เฉียงไปทุกที่
“เด็กคนนั้นเจ้าเล่ห์จริงๆ…” ชายชุดเขียวคนนั้นบ่นออกมาเบาๆแล้วถ่มน้ำลายลงกับพื้น
“เจ้ากำลังตามหาข้าอยู่เหรอ?”
จู่ๆก็มีเสียงปรากฏขึ้นข้างหลังชายชุดเขียวทำให้เขาหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เมื่อเขาหันศรีษะกลับไปคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาจะเป็นใครได้นอกจากเอี้ยนลี่เฉียง
ในความมืดดวงตาของเอี้ยนลี่เฉียงเป็นประกาย รัศมีพลังของเขานั้นเย็นเยียบสามารถแช่แข็งหัวใจของใครบางคนให้สั่นสะท้านได้
คนคนนั้นต้องการกรีดร้องให้ทหารที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเมืองออกมาช่วยเหลือ
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ส่งเสียงอะไรมือที่เย็นยะเยือกแข็งแกร่งคล้ายกับคีมเหล็กก็บีบคอของเขาไว้โดยตรง
เอี้ยนลี่เฉียงผิวปากอย่างแผ่วเบาก่อนจะลากชายชุดเขียวเข้าไปในตรอกมืด
ในชั่วพริบตา เสียงอู้อี้และเสียงร้องอันเจ็บปวดที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินก็ดังออกมาจากตรอกมืด อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบ
ไม่กี่นาทีต่อมางูจงอางที่สวมชุดสีดำก็เดินออกจากตรอกนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา
……….
คฤหาสน์ฉงเป่ยเป็นที่ที่ซูหลางและคนของเขาพักอยู่
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงมาถึงก็เป็นช่วงดึกแล้วและแทบจะไม่มีใครเดินอยู่บนถนน เมืองหลวงเงียบสงบไปทั้งหมดไม่มีแสงไฟใดๆเล็ดลอดออกมา
อย่างไรก็ตาม สำหรับเอี้ยนลี่เฉียงต่อให้ไม่มีแสงสว่างการเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ได้ชักช้าลงแม้แต่น้อย
เอี้ยนลี่เฉียงได้รับประโยชน์จากการฝึกการมองเห็นที่เขาทำมาเป็นเวลานานมาก เช่นเดียวกับผลกระทบอันทรงพลังของการฝึกฝนคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น
ครึ่งเดือนที่ผ่านมา เอี้ยนลี่เฉียงค้นพบว่าเขามีวิสัยทัศน์ในตอนกลางคืนที่ไม่มีความแตกต่างจากตอนกลางวันแม้แต่น้อย
เอี้ยนลี่เฉียงอาศัยความสามารถนี้ในการเดินทางไปยังที่พักของซูหลางโดยหลีกเลี่ยงกลุ่มทหารสองสามกลุ่มที่ลาดตระเวนอยู่ได้อย่างง่ายดาย
ที่ด้านหน้าของคฤหาสน์ฉงเป่ยเป็นประตูของร้านรองเท้าชื่อเมฆพันชั้น มีต้นท้อสองสามต้นอยู่หน้าประตูและอยู่ห่างจากทางเข้าประมาณสามสิบวา
เอี้ยนลี่เฉียงตรวจสอบว่าสถานที่นั้นถูกต้อง จากนั้นจึงมองหาศาลาที่ซูหลางและคนของเขากำลังรอคอยข่าวอยู่
ชายชุดเขียวคนนั้นคือลูกน้องของซูหลางและเมื่อซูหลางรู้ว่าเอี้ยนลี่เฉียงจะเข้าร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ ชายชุดเขียวคนนั้นจึงรับหน้าที่มาติดตามความเคลื่อนไหวของเขา
ซูหลางยังคงรอข่าวจากคนชุดเขียว
น่าเสียดายที่คนชุดเขียวไม่มีวันได้กลับมาอีกแล้ว คนที่มาแทนเขาคือเอี้ยนลี่เฉียง