ตอนที่16 ความแกร่งกล้าอันล้นเหลือ
ตอนที่16 ความแกร่งกล้าอันล้นเหลือ
“ยกโทษให้พวกเราด้วยเถิด”
แทบจะในทันใด ทุกคนต่างคุกเข่าลงโดยพร้อมเพรียง เสียงหัวเข่าตกกระแทกพื้นดังสนั่น รีบโค้งศีรษะจรดพื้นขอความเมตตาปราณีโดยปริยาย
“หาใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะไว้ชีวิต นับแต่นี้เป็นต้นไปพวกเจ้าจักต้องยอมจำนนแก่ตระกูลเย่ของเราชายชรา และรับใช้นับแต่จากนี้และตลอดไป”
เย่ชิงฉงเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นชา
ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งสามประมุขตระกูลใหญ่หันมาสบตากัน ก่อนจะโขกศีรษะจรดพื้นอีกครา
“พวกเราสามตระกูลขอรับใช้ตระกูลเย่จากนี้ต่อไปในอนาคต!”
ทั้งสามกล่าวปฏิญาณขึ้นผสานเสียงพร้อมกัน
“ตอนนี้ตระกูลเย่แข็งแกร่งโดยแท้จริง พวกเราขอยอมจำนนแต่โดยดี”
ใครบางคนที่พอมีไหวพริบ รีบกลับลำหันมาเคารพต่อแทบเท้าเย่ชิงฉงโดยไว
ด้วยเหตุนี้เอง ตระกูลเย่จึงขึ้นมาปกครองเมืองหลงเยวี่ยโดยบสมบูรณ์ ไม่เพียงแค่สามตระกูลใหญ่เท่านั้น แม้แต่ทุกคนในโถงใหญ่ยังต้องยอมจำนนต่อแทบเท้าตระกูลเย่!
ไฉนตระกูลเย่ถึงสามารถทำได้ขนาดนี้กัน? ทั้งหมดเป็นเพราะความแข็งแกร่ง! ตอนนี้หนึ่งในสี่ผู้อาวุโสอย่างเย่หยวนซานแห่งตระกูลเย่ได้ทะลวงขึ้นเป็นยอดมืออาณาจักรนภาม่วงเป็นที่เรียบร้อย ส่วนอีกสามคนที่เหลือก็ทยอยกันเลื่อนระดับชั้นอย่างต่อเนื่อง รวมกับประมุขตระกูลเย่ก็เท่ากับว่า ณ ปัจจุบัน ตระกูลเย่มียอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงทั้งหมดห้าคน
ยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงสุดแกร่งกล้าตั้งห้าคน! ช่างเป็นขุมพลังความแกร่งกล้าที่น่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนี้ มากด้วยภูมิหลังสุดมั่นคงเข้มแข็ง จึงสามารถกลายมาเป็นตระกูลใหญ่อันเรืองอำนาจแห่งเมืองหลงเยวี่ยได้ไม่ยาก
คลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดกระหน่ำเข้ามาไม่หยุดยั้ง แต่สำหรับตระกูลเย่แล้ว ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดกลับกลายเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งยวด คล้อยหลังพายุลูกใหญ่พ้นผ่าน ตระกูลเย่ก็กลับคืนสู่ความสงบลงอีกครั้ง
คล้อยหลังผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มากมายหลายครั้งต่อหลายครั้ง แค่การที่เย่เจวี๋ยล่าสังหารตระกูลหยางจนสิ้นสูญด้วยตัวคนเดียวว่าตื่นตะลึงใจยิ่งแล้ว แต่ตอนนี้เขายังสามารถสังหารยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลงเยวี่ยอย่าง หลงอ้าวเทียนได้อีก นี่จึงทำให้เขากลายมาเป็น ยออฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเมืองหลงเยวี่ยคนปัจจุบัน ชื่อเสียงกระฉ่อนลือลั่น ผู้คนทั่วทั้งมุมเมืองต่างยกเรื่องนี้ขึ้นเป็นประเด็นร้อนแรง พูดคุยกันสะพัด ทุกคนล้วนพรรณนาบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความตื่นเต้นสุดขีด ราวกับว่าผู้แกร่งกล้าไร้เทียมหาใช่เย่เจวี๋ย แต่เป็นตัวพวกเขาเอง
“นี่ เจ้าได้ยินรึยัง? ท่านเจ้าเมืองหลงอ้าวเทียนเดินทางมาขอแบ่งปันอาณาเขตของตระกูลหยาง จนเย่เจวี๋ยโกรธจัดฟังท่านเจ้าเมืองตัวขาดครึ่งท่อนในดาบเดียว! อีกฝ่ายเป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงเชียว! แต่เพียงชักดาบฟันหนึ่งกระบวนถึงกับตายไม่รู้ตัว!”
“ดาบเล่มนั้นคงเป็นสมบัติล้ำค่าเป็นแน่แท้ ลือกันว่าดาบดังกล่าวมีชื่อว่า ดาบสะบั้นมังกร ไม่เพียงแค่ทรงพลัง แต่ชื่อก็แสดงให้เห็นถึงแสงยานุภาพเกินจินตนาการแล้ว”
“ข้าคิดว่า ความแข็งแกร่งของเย่เจวี๋ยเองคงไม่แตกต่างจากท่านเจ้าเมืองเท่าไหร่นัก ต่อให้ไม่มีดาบสะบั้นมังกร เย่เจวี๋ยก็สามารถเอาชนะท่านเจ้าเมืองได้ไม่ยาก เหตุการณณ์ในครั้งนี้จะกลายมาเป็นตำนานของตระกูลเย่และอยู่คู่เมืองหลงเยวี่ยไปอีกนับหลายสิบปี!”
“แน่นอน ใครบ้างจะกล้าลืมเลือนกัน? เด็กหนุ่มคนหนึ่งทำเรื่องแสนน่าเหลือเชื่อ ลบเลือนความเชื่อของพวกเราทุกคนไปจนหมดสิ้น นับว่าสวรรค์มีตาโดยแท้จริง ไม่เพียงชายหนุ่มนั่นจะไม่ตายเท่านั้น แถมยังได้รับดวงตาคู่ใหม่ วันนั้นเขาถูกปฏิบัติเยี่ยงสุนัขจร แต่วันนี้เขากลับมาล้างแค้น และล่าสังหารอย่างเหี้มมโหดดั่งสุนัขจรไม่ต่าง!”
“นับจากนี้เมืองหลงเยวี่ยของเราจะเคารพเลื่อมใสเพียงเย่เจวี๋ยผู้เดียวเท่านั้น”
ณ ตระกูลเย่ โถงนั่งเล่น
“เจวี๋ยเอ๋อ ตอนนี้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นผิดหูผิดตาจริงๆ”
บนโต๊ะน้ำชา เย่ชิงฉงรินน้ำชาให้เย่เจวี๋ยหนึ่งจอก ทั่วทั้งใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความปีติยินดี
ในปัจจุบัน ทั้งตระกูลหยาง, ตำหนักเจ้าเมือง, ตระกูลลั่ว, ตระกูลหลิน, ตระกูลฉื่อและตระกูลอีกใหญ่น้อยมากมายล้วนต้องสิโรราบต่อตระกูลเย่ของพวกเขา ในกาลอดีตตระกูลเย่มักถูกพวกกลุ่มอำนาจเหล่านี้รวมหัวกันกลั่นแกล้งรังแก แต่ในตอนนี้พวกมันเหล่านั้นล้วนแต่ต้องเกรงกลัว ตระกูลเย่ได้ขึ้นปกครองเมืองหลงเยวี่ยอย่างสมภาคภูมิแล้ว กล่าวได้ว่า ผู้แกร่งกล้าไร้เทียมทานเท่านั้นจึงสามารถสลักชื่อ ไว้บนยอดหุบเขาเกียรติยศได้
และทั้งหมดทั้งมวลเหล่านั้นก็ต้องขอบคุณเย่เจวี๋ย
“แค่โชคดีเท่านั้น แค่โชคดีเท่านั้นท่านปู่ ฮ่าฮ่า...”
เย่เจวี๋ยร่วนหัวเราะกล่าวปัดเป็นคำตอบ
ช่างน่าขันสิ้นดี เขาผู้นี้เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดแห่งฟ้าดิน แล้วความสำเร็จเพียงเท่านี้จะมีค่าอันใดให้ภาคภูมิ?
“เจวี๋ยเอ๋อ เจ้าสุภาพเกินไปแล้ว พินิจจากกลิ่นอายความแกร่งกล้าของเจ้า ตอนนี้คงอยู่ที่อาณาจักรก่อกายาระดับห้าขั้นสุดแล้วกระมัง? ทว่าในความเป็นจริง ความแข็งแกร่งของเจ้ากลับเหนือกว่าพี่น้องตระกูลเย่กันทุกคนแล้ว”
เย่ชิงฉงเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาด พลันนึกย้อนรำลึกความหลังขึ้นว่า
“ในอดีตข้าจำได้ดี เจ้าติดอยู่ที่อาณาจักรก่อกายาระดับหนึ่ง ควบก่อโลหิตอยู่นานนับสิบปี แต่พัฒนาการกลับหยุดนิ่งมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับคาดไม่ถึง ระดับการบ่มเพาะพลังก้าวหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดด เพียงไม่นานก็ทะลวงขึ้นมาถึงอาณาจักรก่อกายาระดับห้าขั้นสุด ช่างเป็นความเร็วที่น่ากลัวยิ่งแล้ว”
เย่ชิงฉงกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจไม่น้อย
“หุหุ...ความลับสวรรค์ไม่สามารถเปิดเผยที่ใดได้”
เย่เจวี๋ยกล่าวตอบดั่งมีนัยยะซ่อนแฝง
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางบอกท่านปู่แน่นอนเกี่ยวกับเรื่องการตื่นขึ้นของจักรพรรดิเทพสายฟ้า มิฉะนั้นท่านปู่อาจตกตะลึงจนต้องรีบคุกเข่าก้มกราบเขา
“ทั้งหมดคงเป็นเพราะเจ้าได้รับคำชี้แนะจากยอดฝีมือผู้ลึกลับที่เขาว่ากันกระมัง?”
“หุหุ...ท่านปู่ความลับแห่งสรวงสวรรค์ไม่ควรย่ำกราย”
ข่าวความแกร่งกร้าวขอวเย่เจวี๋ยมิได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลงเยวี่ยเท่านั้น ณ ตอนนี้ยังหลุดออกไปยังนอกเมืองอีกด้วย
บริเวณป่านอกเมืองหลงเยวี่ย
ทิวทัศน์สีเขียวชอุ่มมากพฤกษา แสงตะวันไออุ่นสาดส่องทอดผ่านผืนป่าเกิดกลายเป็นเงาต้นไม้ใบหญ้า
ใต้ต้นไม้ใหญ่ทั้งหลายหลากช่างร่มรื่น ถือเป็นฮวงจุ้ยดีที่บรรดาผู้คนมักสัญจรผ่านไปมา พอเริ่มเหนื่อยก็มักจะแวะพักตามใต้ร่มต้นไม้ใหญ่ คลอเคลียสายลมเย็นสบาย พลางชมบรรยากาศป่าเขา นับว่า ปลอดโปร่งอย่างยิ่ง
ในเวลานี้เอง ได้มีพ่อค้าเดินทางมาไกลจวบจนมาถึงที่นี่ ม่อไป๋ปาดเช็ดหยาดเหงื่อนที่รินไหลบริเวณหน้าผาก พอเห็นว่าอีกไม่ไกลก็จวนถึงเมืองหลงเยวี่ยแล้ว เขาจึงตัดสินใจหยุดพักผ่อน ข้างทางเท้าที่ผู้คนสัญจรไปมา เอนกายพิงพักต้นไม้ใหญ่ ถอนหายใจเสียงยาวคลายความทุกข์เหนื่อย เนื่องด้วยเดินทางมาไกลจนเกิดอาการอ่อนเพลียสะสม ม่อไป๋คล่อยหลับตาลงอย่างช้าๆ ไม่นานก็มีเสียงกรนดังขึ้นคงจังหวะต่อเนื่อง
ม่อไป๋เผลอหลับไปท่ามกลางอากาศโชยเย็นสบายดูเป็นใจ แต่ทันใดนั้นเองม่อไป๋พลันได้ยินเสียงตะคุมบริเวณพุ่มไม้เคียงข้างดังขึ้น เขาสะดุ้งตื่นขึ้นในทันที ยามนี้พลันสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา เขาเป็นพ่อค้าเดินทางไกลมาตั้งหลายปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกได้ถึงภัยอันตรายที่น่ากลัวขนาดนี้ เช่นนั้นเขารีบยันตัวเองรีบลุกขึ้นมา กวาดสายตาเฝ้ามองรอบบริเวณอย่างระมัดระวัง
เสียงดังกรอบแกรบใกล้เข้ามาเต็มทน เป็นเสียงกิ้งไม้ใบไม้แห้งกรอบดังเปี๊ยะเปร๊าะ ทำเอาม่อไป๋พลันจินตนาการไปต่างๆนาๆ จนเหงื่อแต่พลั่กทั่วทั้งตัว เหตุการณ์ ณ ขณะนี้มีความเป็นไปได้เพียงสองประการเท่านั้น หากไม่ใช่พวกสัตว์อสูรคงเป็นพวกคนด้วยกัน ถ้าเป็นพวกสัตว์อสูร พวกมันย่อมเปิดฉากโจมตีทำร้ายผู้คน แต่ถ้าเป็นคนก็ต้องมาคอยลุ้นว่าจะเป็นคนดีหรือไม่ดี อย่างไรเสีย ไม่ว่าจะพวกมันจะเป็นอะไรแต่สุ้มเสียงตอนนี้ยิ่งดังเข้าใกล้ราวกับตรงมาทางนี้แล้ว!
ม่อไป๋รีบคว้าห่อผ้าใบหนึ่งไว้และสับฝีเท้าวิ่งหนีตายออกไปอย่างบ้าคลั่ง แต่สุ้มเสียงดังกล่าวพลันต้องทำให้เขาหยุดชะงักลงทันที
“อ่าา...! พวกเราก็เดินทางมาตั้งนานแล้ว หยุดพักสักหน่อยเถอะ ข้าไม่ไหว ไม่ไหว...”
“เจ้านี่มันอ่อนปวกเปียกจริงๆ เดินมาแค่ไม่กี่ลี้ เจ้าหยุดพักไปกี่ครั้งแล้ว? อาหารแห้งที่แม่พวกเราทำมาให้ก็ถูกเจ้ากินหมดไม่เหลือ! รีบไปต่อเถอะ อีกไม่ช้าพวกเราก็ถึงเมืองหลงเยวี่ยแล้ว”
“พี่ใหญ่! ข้าไม่ไหวแล้วจริงๆ ...น้องสาม น้องสาม ช่วยแบกข้าไปต่อที!”
“ไสหัวไปเลย!”
ม่อไป๋ไม่เพียงแต่มีปฏิกิริยาไวต่อเรื่องภัยอันตราย แต่ทันทีที่ได้ยินว่าเป็นเสียงมนุษย์ เขาก็หยุดฝีเท้าลงทันทีและดักฟังจับใจความประโยคสนทนาของพวกเขาอีกด้วย และเท่าที่ฟังจากน้ำเสียงดูท่าคนพวกนี้จะไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร อีกอย่างก็คือ เมื่อกี้พวกเขาบอกว่ากำลังเดินทางไปยังเมืองหลงเยวี่ย นั้นหมายความว่าพวกเขามิใช่สหายร่วมทางหรอกรึ? พวกเขาคงเหมือนตัวม่อไป๋ที่กำลังเดินทางไปเมืองนั้นอยู่เช่นกัน
“ทำไมข้าผู้หล่อเหลาคนนี้ถึงต้องมีลำบากอะไรเช่นนี้ด้วย”
ม่อไป๋ยังไม่ทันหันกลับมา พลันเยินเสียงชายหนึ่งในนั้นกล่าวขึ้น
ม่อไป๋รีบหมุนตัวหันกลับไปมองพวกเขาดูท่าเบิกบานใจ และรีบโผล่หัวออกมากล่าวแนะนำตัวขึ้นว่า
“ผู้น้อยม่อไป๋ เป็นสหายร่วมเดินทางเฉกเช่นพวกท่าน ข้ามีคำถามสักสองสามข้อที่จะ...”
“โห! ให้ตายสิ ให้ตาย! ไฉนน้องเล็กถึงหลงตัวเองถึงเพียงนี้กัน! ข้าหล่อกว่า แอร๊กกก...”
เสียงตวาดท่าทีเกรี้ยวกราดดังลั่น ขัดจังหวะคำกล่าวของม่อไป๋ ยามนี้เห็นเป็นชายหน้าบากร่างกำยำกำลังตบไหล่ชายร่างผอมหน้าบากอีกคนอยู่จนได้ยินเสียงกระดูกลั่นดังเปรี๊ยะๆ
จากนั้นม่อป๋ก็เหลือบไปเห็นชายร่างผอมคนที่สามกำลังถือกระจกทองแดงใบเล็กอยู่ เขาชี้นิ้วไปที่กระจกราวกับกำลังชื่นชมความหล่อเหลาของตัวเองอยู่
‘นี่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยกระมัง?’
ม่อไป๋พลางครุ่นคิดกับตัวเองอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“เอ่อ...พี่ชายคนนั้น...”
ในเวลานั้นเองชายทั้งสามคนนั้นกฌเอ่ยปากหันไปหาม่อไป๋อย่างพร้อมเพรียง
“ช้าม่อไป๋ ขอถามสหายเร่วมทางเสียหน่อยว่า พวกท่านต้องการเดินทางไปที่เมืองหลงเยวี่ยอย่างงั้นรึ?”
ม่อไป๋ประสานมือกล่าวขึ้นมาอีกครา
“โอ้! พี่ใหญ่ มีคนอยู่ตรงนั้นด้วย! มีคนอยู่ตรงนั้นด้วย!”
ชายร่างผอมหน้าบากคนที่สองร้องอุทานออกมา
“อืมม...ข้านี่หล่อจริงๆ”
“เจ้าบ้านี่! ไฉนถึงหลงตัวเองได้ขนาดนี้ห่ะน้องเล็ก ส่วนเจ้าอีกคน เอาแต่แหกปากโวยวายไม่หยุดตลอดทาง เพราะเช่นนี้ไงเจ้าถึงเหนื่อยง่าย!”
ชายหน้าบากร่างกำยำคนแรกปั้นหน้าดูรังเกียจก่อนตะคอกใส่ทั้งคู่อย่างเดือดดาล
“พี่ใหญ่! กล้าดียังไงมาสั่งสอนฉันห๊ะ!”
“อิจฉาล่ะสิที่หล่อสู้ข้าไม่ได้...”
“ไอ้เจ้าพวกบ้า!!”
มุมปากของม่อไป๋พลันกระตุกไปทีหนึ่ง สรุปว่าเขายังมีตัวตนอยู่ในสายตาเจ้าสามคนนี้อยู่หรือไม่? บทจะพูดก็พูดออกมาหน้าตาเฉย หรือไม่ได้ยินที่ตัวเขาพูดเลยรึไงกัน?
“อ่อ ใช่แล้ว พี่ม่อเองก็ด้วยรึ? เจ้าน้องชายสองตัวนี้สมงสมองไม่ค่อยดีน่ะ ไม่จำต้องใส่ใจพวกเขาหรอก”
ม่อไป๋พลันรู้สึกโล่งใจลงทันควัน อย่างน้อยชายหน้าบากร่างกำยำคนแรกก็ยังดูปกติดีอยู่
“ใช่แล้ว”
ม่อไป๋พยักหน้าตอบ ทั้งยังกล่าวต่ออีกว่า
“เดินทางไกลมาแสนนานย่อมรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา เมื่อครู่พอเห็นว่าอีกไม่ไกลก็ถึงเมืองหลงเยวี่ยแล้ว จึงเลยแวะพักผ่อนใต้ร่มไม้ ทว่าพอได้ยินเสียงดังแปลกๆ ขึ้นจึงสะดุ้งตื่นในที่สุด ทีแรกคาดว่าเป็นสัตว์อสูรร้ายตามป่าเขา จึงรีบคิดหนีวิ่งออกไป ทว่าไม่คิดไม่ฝันกลับกลายมาเป็น สหายร่วมเดินทางเฉกเช่นกัน”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ชายทั้งสามคนนั้นพยักหน้ากล่าวตอบอย่างพร้อมเพรียง เข้าใจที่อีกฝ่ายเอ่ยกล่าวออกมา
ทันใดนั้นเองชายหน้าบากร่างกำยำซึ่งเป็นพี่ใหญ่ก็กล่าวแนะนำตัวขึ้นว่า
“ข้ามีชื่อว่าหยินต้าซง ส่วนน้องรองที่พูดไม่หยุดมีชื่อว่า หยินเอ้อร์ซง และสุดท้ายน้องเล็กช่อ หยินซานซง”
“เอ่อ...”
ม่อไป๋ที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของทั้งสามก็ถึงกับกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ทันทีทันใดถึงกับตื่นตะลึง นึกอะไรขึ้นบางอย่างได้ถึงกับหน้าถอดดสี ชี้นิ้วมือไปที่ทั้งสามด้วยสายตาอันสุดแสนจะหวาดกลัว ริมฝีปากสั่นเทาแทบพูดไม่เป็นภาษา
“หะ-หยินต้าซง หยินเอ้อร์ซง และหยินซานซง พวกท่าน...พวกท่านทั้งสาม...เป็นกลุ่มโจรผู้มากชื่อเสียง ก่อกรรมทำชั่วช้ายไว้มากมายในเขตนอกเมืองหลงเยวี่ย สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซาน!”