ตอนที่แล้วตอนที่14 เจ้าเมืองหลงเยวี่ย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่16 ความแกร่งกล้าอันล้นเหลือ

ตอนที่15 แย่งอาณาเขต


ตอนที่15 แย่งอาณาเขต

ที่สุดปลายโถงใหญ่ มีโต๊ะน้ำชาขนาบข้างเก้าอี้อยู่สองตัว ตำแหน่งดังกล่าวเป็นของเจ้าบ้านและแขกผู้ที่มีสถานะศักดิ์สูงสุดเท่านั้นที่สามารถนั่งได้ ในเวลานี้มีคนหนึ่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง และนั้นก็มิใช่ใครอื่นนอกจาก หลงอ้าวเทียน นั่งปั้นสีหน้าเคร่งขรึม ปลายคิ้วเชิดสูงแสดงให้เห็นถึงบารมีอันล้นเหลือ แผดรัศมีกลิ่นอายอำมหิตน่าเกรงขาม ทั้งนี้ยังมีอีกสามคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง พวกเขาคงเป็นสามประมุขของตระกูลลั่ว, เฟยและฉื่อ

“นายน้อยตระกูลเย่คนนี้คงเป็นเย่เจวี๋ยกระมัง?”

หลงอ้าวเทียนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นชาทันทีที่เห็นเย่เจวี๋ยเดินเข้ามา

“ถูกต้องแล้ว ท่านเจ้าเมืองได้มาเยี่ยมเยือนเป็นการส่วนตัวเช่นนี้คงมีหมายเหตุอันใดสักอย่างจริงหรือไม่?”

เย่เจวี๋ยประสานมือคำนับให้ไปทีหนึ่ง จากนั้นคลี่ยิ้มคลายอ่อนและนั่งลงบนเก้าอี้อีกมุมที่ว่างอยู่ของโต๊ะน้ำชา การกระทำของเขาเฉกเช่นนี้ได้สื่อให้เห็นแล้วว่า ศักดิ์ของเขาเทียบเทียมได้กับอีกฝ่าย

“เรื่องนี้หาใช่สิ่งที่ลูกหลานตระกูลเย่จะสามารถตัดสินใจได้ เรียกเย่ชิงฉงประมุขตระกูลเย่ออกมาเถิด”

หลงอ้าวเทียนขมวดคิ้วย่นเล็กน้อย ที่เห็นเย่เจวี๋ยจู่ๆ ก็เดินไปนั่งเก้าอี้ตำแหน่งเทียบเท่าตนด้วยท่าทีผ่อนคลายปานนั้น

“ท่านประมุขตระกูลกำลังเก็บตัวไม่สามารถออกมารับแขกได้ จึงไม่สะดวกออกมาต้อนรับ ท่านเจ้าเมืองหากมีสิ่งใดขอให้กล่าวมาตามตรงเถิด”

เย่เจวี๋ยรินน้ำชาให้ตนเองจอกหนึ่ง ท่าทีไร้ซึ่งความประหม่าหรือเก้อเขินใดๆ พลางกล่าวน้ำเสียงเรียบเป็นคำตอบ

“งั้นไปเรียก...”

“บนผินพิภพแห่งนี้ ผู้ใดแกร่งกล้าล้วนได้รับความเคารพนับถือ หากข้าคนนี้ปราศจากคุณสมบัติเหล่านั้นก็คงนั่งเก้าอี้ตัวนี้ไม่ได้เช่นกัน”

เย่เจวี๋ยซดน้ำชาไปหนึ่งอึกอย่างสบายอารมณ์ พร้อมกล่าวขัดจังหวะหลงอ้าวเทียนโดยไม่รู้สึกรู้สาอันใด จากนั้นพลางเอื้อมมือไปเปิดฝาถ้วยชา กรีดฝากับปากถ้วยชากันหยดเลอะ ไม่ว่าจะดูยังไงเด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่มีอาการประหม่าหรือไว้หน้าเลยแม้สักนิด

เย่เจวี๋ยทราบดีว่าหลงอ้าวเทียนต้องการจะพูดอะไร ช่างเป็นคนที่หยิ่งผยองอะไรเช่นนี้ มันกำลังคิดว่า หากมิใช่บุคคลผู้มีสถานะสูงสุดในสถานที่นั่นๆ ก็ไม่มีคุณสมบัตินั่งเทียบเท่าสนทนากับเขาที่นี่ได้?

เมื่อได้ยินเย่เจวี๋ยกล่าวออกไปเช่นนั้น มุมปากของหลงอ้าวเทียนพลันกระตุกเชิดขึ้นทันที ในที่สุดสุ้มเสียงเย็นยะเยือกก่อนหน้าก็จางหายไป เผยรอยยิ้มบางๆ กล่าวขึ้นว่า

“เรื่องศึกนองเลือดบนลานประลองทำให้ชื่อเสียงของเจ้าแพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งมุมเมือง อาศัยตัวเพียงคนเดียวสามารถล้างบางตระกูลหยางได้ทั้งมวล ทั้งที่ยังเยาว์วัยแต่มากพรสวรรค์เกินตัวโดยแท้ ไม่มีใครในเมืองทำได้แบบเจ้าอีกแล้ว ที่เจ้าว่าไปย่อมถูกต้อง บนผืนพิภพผู้แกร่งกล้าย่อมได้ความเคารพ มีพลังเท่าจึงจะคู่ควรร่วนสนทนา

หลงอ้าวเทียนจงใจเน้นหนักคำว่า ‘ร่วนสนทนา’ เร้นแฝงความหมายสุดลึกซึ้ง

“ถ้าเช่นนั้นแล้ว ข้าไม่ขออ้อมค้อมอันอีก กล่าวตามตรง ที่พวกเรามาในวันนี้เพราะมีจุดประสงค์”

หลงอ้าวเทียนกล่าวจบประโยคหนึ่ง ก็หยิบจอกชาริมจิบไปหนึ่งอึกและกล่าวต่อว่า

“ตระกูลหยางถูกเจ้าทำลายสิ้น สิ่งที่เหลือทิ้งเอาไว้ถือเป็นเนื้อชิ้นโต เช่นนั้นข้าจะแบ่งอาณาเขตให้เจ้าห้าในสิบส่วน”

ทันทีที่หลงอ้าวเทียนกล่าวออกมาเช่นนั้น ในที่สุดเย่เจวี๋ยก็ตระหนักถึงจุดประสงค์ที่อีกฝ่ายมาเยี่ยมเยือนทันที ความหมายในคำกล่าวของหลงอ้าวเทียนค่อนข้างชัดเจนยิ่ง คือต้องการแบ่งสันอาณาเขตของตระกูลหยางให้เท่ากัน

‘โอ้? เจ้าจิ้งจอกนี่มันหัวหมอเสียจริง!’

เย่เจวี๋ยยิ้มเยาะอยู่ภายในใจ ทว่าใต้หล้าแห่งนี้มีหรือสิ่งที่ได้มาโดยไม่เสียแรงหรือหยาดเหงื่อ? การที่หน้าด้านมาของส่วนแบ่งเช่นนี้โดยไม่ทำอะไรเลย คิดจริงหรือว่าเขาจะยอม?

เมื่อหลงอ้าวเทียนกล่าวประโยคนี้ออกมา บรรยากาศภายในโถงใหญ่ยิ่งดูซับซ้อนขึ้นมาอีกชั้น เพราะตอนนี้สิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเย่เจวี๋ยคือ กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของหลงอ้าวเทียน นี่เอามาเพื่อบอกเป็นนัยเท่านั้น หากไม่เห็นด้วยแล้ว พวกเขาเหล่านี้อาจทำสิ่งที่ไม่คาดฝันกับตระกูลเย่ก็เป็นได้ หลงอ้าวเทียนกำลังข่มขู่กันอย่างชัดเจน

เรื่องแค่นี้เย่เจวี๋ยมองออกตั้งแต่ทีแรกแล้ว แต่อย่างไร ก็ตามที่เขากล่าวไปก่อนหน้า การที่มาขอส่วนแบ่งโดยไม่ได้ทำอะไรเลยแบบนี้ ทำไมเขาจะต้องยอมตอบตกลงให้?

“ฮ่าฮ่า...ท่านเจ้าเมืองต้องล้อเล่นเป็นแน่ ต้องล้อเล่นเป็นแน่”

เย่เจวี๋ยระเบิดหัวเราะเยาะเสียงดังลั่น ก่อนปั้นหน้าจริงจังกล่าวต่อว่า

“ท่านเจ้าเมือง หากต้องการอาณาเขตครึ่งหนึ่งของตระกูลหยางจริง เช่นนั้นพวกเรามาต่อรองราคากันได้ ตราบเท่าที่สมเหตุสมผลมากเพียงพอ พวกเราตระกูลเย่ย่อมแบ่งให้ไม่มีตระหนี่”

“หึ!”

หลงอ้าวเทียนเค้นเสียงหึพ่นดังออกจากจมูก ทันใดนั้นเขาลุกขึ้นพรวด หันมาจ้องตาเย่เจวี๋ยเขม็ง กรนเสียงเย็นยะเยือกคำโตกล่าวขึ้นว่า

“เจ้าหนูตระกูลเย่! คิดจะล้อเล่นกับข้าหรืออย่างไร!?”

สีหน้าของเย่เจวี๋ยแปรเปลี่ยนในทันที ดูมืดทมิฬลงหลายส่วน ปั้นสีหน้าดูไม่อยากจะเชื่อกับความหน้าด้านนี้ กล่าวตอบไปว่า

“จะให้ท่านเจ้าเมืองโดยเปล่าได้อย่างไร? นี่ท่านใช้สมองคิดจริงๆ ใช่ไหม?”

“หึ! โดยเปล่างั้นรึ!? เจ้าหนูตระกูลเย่ จงตบปากตัวเองเสียเดี๋ยวนี้! ท่านเจ้าเมืองของเราอุทิศกายใจทำงานให้แก่เมืองหลงเยวี่ยแห่งนี้ ทั้งกลางวันและกลางคืนตรากตรำเพื่อความเป็นอยู่ของทุกคนในเมือง แต่พวกเจ้าในตอนนี้ที่ทำลายตระกูลหยางได้ แทนที่จะถวายอาณาเขตเป็นเครื่องชั้นบรรณาการแด่ท่านเจ้าเมือง แต่กลับเห็นแก่ตัว เก็บไว้แค่ฝ่ายเดียว ช่างไร้ยางอายสิ้นดี!”

ในเวลานี้เอง ประมุขตระกูลลั่ว นามว่าลั่วเฟยชี้หน้าด่าเย่เจวี๋ยด้วยความเกรี้ยวโกรธ

เมื่อลั่วเฟยกล่าวจบ ก็เป็นตาของหลินยี่และฉื่อหยาน สองประมุขตระกูลหลินและตระกูลฉื่อ

“ถูกต้องแล้ว! ไฉนเจ้าถึงเห็นแก่ตัวปานนี้กัน? การมอบอาณาเขตครึ่งหนึ่งของตระกูลหยางให้แก่ท่านเจ้าเมือง นับว่าเป็นเกียรติสูงสุดของตระกูลเย่แล้ว!”

“พี่หลินกล่าวถูกต้อง! นอกจากนี้พื้นที่ของตระกูลหยางใหญ่กว่าพวกเราไม่รู้ตั้งกี่เท่า คิดจะเก็บไว้ฝ่ายเดียวไม่โลภเกินไปหน่อยรึ? ไม่คิดแบ่งปันให้ท่านเจ้าเมืองที่ลำลากเพื่อพวกเราหน่อยเหรอ?”

“พวกเจ้า! ตระกูลหยางกว่าข้าจะฆ่าล้างโคตรพวกมันมาได้รู้หรือไม่ว่าช่างยากลำบากเพียงใด! แล้วไยข้าต้องมอบสิ่งเหล่านี้ให้โดยที่เอาแต่กินนอนอย่างสุขสบายกัน!”

เย่เจวี๋ยทุบโต๊ะน้ำชาแหลกเป็นผุยผง ลุกชึ้นชี้หน้าพวกเขาทั้งหมดด้วยความเกรี้ยวโกรธ ทว่าภายในใจของเขากลับต้องข้ามกับอากัปกิริยาที่แสดงออกมาสสโดยสิ้นเชิง เย่เจวี๋ยเป็นใคร? ไฉนถึงต้องใส่ใจพวกมดปลวกพวกนี้ด้วย? และอีกหนึ่งสิ่งที่เขาถนัดคือการแสดงละครตบตาผู้คน

ตอนนี้ภายในใจของเย่เจวี๋ยมีแต่วาจาเย้ยหยั่นหน้าโง่พวกนี้อย่างไม่มีสิ้นสุด เจ้าเด็กน้อยที่แสนอ่อนปวกเปียกเหล่านี้ ไยถึงไร้ยางอายไร้ขอบเขตเหลือเกิน? เขาไม่เคยเห็นผู้คนที่ไร่ยางอายขนาดนี้มาก่อน แต่เย่เจวี๋ยเองก็ไม่รังเกียจเช่นกันที่จะเป็นเพื่อนเล่นของพวกเขา

“ใครก็ได้มานี่! ส่งแขก! พวกเราตระกูลเย่ไม่ต้องรับหลงอ้าวเทียน!”

เย่เจวี๋ยแหกปากตะโกนดังลั่น

บรรดาองค์รักษ์ตระกูลเย่กลุ่มหนึ่งรีบเดินเข้ามาทันที แต่กองกำลังที่ยืนตั้งแถวอยู่ภายในโถงกลับหันคับมองกลุ่มคนเหล่านี้ด้วยแววตาไม่เป็นมิตรเสียเลย สีหน้าของพวกองค์รักษ์หลายคนเริ่มดูหวาดกลัว แต่เย่เจวี๋ยออกคำสั่งไปแล้ว ย่อมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้าวย่างต่อไป และเดินไปหยุดตรงหน้าเย่เจวี๋ยและหลงอ้าวเทียน

เหตุผลข้อสำคัญที่พวกเขายังเลือกที่จะเชื่อฟังเย่เจวี๋ยก็ง่ายมาก เย่เจวี๋ยคนนี้สามารถฆ่าล้างตระกูลหยางได้ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นพวกเขายังต้องกลัวอะไรอีกเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา

ภายในใจคิดกันไปว่า

‘นายน้อยของเราแข็งแกร่งมาก เขาย่อมปกป้องพวกเราแน่นอน’

อะไรทำนองนั้น

ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากกล่าวกับหลงอ้าวเทียน และกุมตัวอีกฝ่ายตามคำสั่งของเย่เจวี๋ย ทันใดนั้นหลงอ้าวเทียนพลันกวาดสายตาคู่เย็นเฉียบมองพวกเขาเหล่านั้น พร้อมแผดจิตสังหารสุดข้นคลักออกมา

เพียงปราดตาเดียวเท่านั้น องครักษ์กลุ่มนั้นตื่นตระหนกหนักถึงขั้นรนถอยออกมา รีบยกมือขึ้นมาปิดปากด้วยความหวาดกลัว เสี้ยวอึดใจขณะ พวกเขารู้สึกดั่งว่า ความตายอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือเท่านั้น

“คิดจะส่งข้าออกไป? งั้นมาลองดูสิ”

หลงอ้าวเทียนเหลือบหางตามองเย่เจวี๋ย หรี่แคบลงเล็กน้อสาดสะท้อนแววพิฆาต

“หลงอ้าวเทียน เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?”

เย่เจวี๋ยขมวดคิ้วเข้ม เอ่ยกล่าวขึ้นลั่นไม่มีไว้หน้าด้วยความไม่พอใจ

“หึ! ก็บอกไปแล้วไง! อาณาเขตครึ่งหนึ่งของตระกูลหยาง! ส่วนอีกครึ่งเป็นของพวกเจ้าตระกูลเย่!”

หลงอ้าวเทียนปลดปล่อยแรงกดดันเข้าบีบเย่เจวี๋ย ม่านตาดำหดแคบดูน่าสยดสยอง กลิ่นอายแห่งอาณาจักรนภาม่วงระเบิดคลั่งออกมา ปกคลุมทั่วทุกซอกมุมของทั้งโถงใหญ่ในชั่วพริบตา

บรรดาผู้คนที่อยู่ในโถงใจเต้นแรงสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ ประหนึ่งว่าถูกกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นของหลงอ้าวเทียนเข้ากดดันจนร่นถอย จนท้ายที่สุดผู้อาวุโสตระกูลเย่คนหนึ่งต้องกล่าวขึ้นว่า

“นี่เจ้าหมายความอย่างไร? วันนี้หากตระกูลเย่ของเราไม่เห็นด้วย เจ้าถึงขั้นต้องลงมือแย่งชิงกันเลยรึไงกัน!”

“หึ! เป็นเพราะตระกูลเย่ของพวกเจ้าไม่รู้จักกาลเทศะ จึงทำให้ท่านเจ้าเมืองโกรธเกรี้ยวแล้ว!”

สุ้มเสียงของประมุขตระกูลลั่วสอนตอบกลับไปทันที

“ไม่รู้จักกาลเทศะ? ถูกขอให้แบ่งสรรอาณาเขตตระกูลหยางครึ่งหนึ่งโดยไม่ออกแรงอันใด นี่หรือที่เรียกว่าถูกกาลเทศะ?”

ตอนนั้นเองหลงอ้าวเทียนก็กลัวขึ้นว่า

“เจ้าหนูตระกูลเย่ ข้าขอเตือนสักคำ ผู้รู้กาลเทศะคือผู้มีปัญญา”

“พวกเจ้า...”

เย่เจวี๋ยชี้นิ้วขึ้นหาพวกเขา ตอนนี้โกรธจัดจนฟันที่ขบกันสั่นเทาไม่หยุด เอ่ยวาจาเป็นประโยคต่อไปไม่ได้

“แค่ประโยคเดียวเท่านั้น จะตกลงหรือไม่ตกลง!”

หลงอ้าวเทียนกล่าวน้ำเสียงเย็นยะเยือก อุณหภูมิทั่วทุกทิศลดฮวบลงอย่างเห็นได้ชัด กลิ่นอานที่แผ่สะพัดออกจากร่างกายทำให้ผู้คนโดยรอบอกสั่นขวัญเสีย

หลงอ้าวเทียนย่างเท้าตรงเข้ามาใกล้เย่เจวี๋ยละก้าว แววแสงเยียบเย็นสาดสะท้อนจากดวงตารุงแรงขึ้น ราวกับคมมีดกรีดทะลวงร่างเย่เจวี๋ย เร้นแฝงเจตนาคุกคาม

“เรื่องนี้ข้า...ข้าตัดสินใจไม่ได้หรอก ต้องรอ...รอให้ท่านประมุขออกมาบอกเองเถิด”

เนื่องด้วยแรงกดดันขุมใหญ่ เย่เจวี๋ยถูกบีบให้ร่นถอยทีละก้าวอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ปราศจากหนทางหนีแล้ว แต่เขายังคงแสร้งทำเป็นสงบไม่กลัว

“ฮ่าฮ่า...ไฉนกลับคำพูด? เจ้าบอกเองมิใช่รึว่า เจ้าแข็งแกร่งพอที่จะร่วนสนทนากับข้า? ไยตอนนี้ถึงกลัวเสียแล้ว?”

หลงอ้าวเทียนกล่าววาจาเย้ยเยาะเสียดสี จากนั้นก็ยื่นมือออกไปหาเย่เจวี๋ย กำลังจะคว้าคอขึ้นมาทรมานเล่น

‘ชวิ้ง!’

แต่ทันใดนั้นเองเสียงเสียดคมพลันดังขึ้น มือของหลงอ้าวเทียนที่ยื่นออกมากลับขาดออกและร่วงล่นลงกับพื้น แต่ไม่ใช่เพียงเท่านั้น ร่างส่วนบนของเขาเองราวกับปรากฏเส้นผ่าบางๆ ช่างดูเรียบเนียน ก่อนจะร่างขาดเป็นสองท่อน เลือดพุ่งทะลักออกมาไม่หยุดหย่อนราวกับน้ำพุ!

เลือดสาดกระเซ็นไปโถงใหญ่ ในมือของเย่เจวี๋ยถือดาบสะบั้นมังกรที่ชักออกจากฝัก ทั่วทั้งใบดาบชโลมเป็นสีแดงสดเช่นกัน หยาดเลือดรินไหลนองลงมา หยดตามพื้นดังติ๊ง

ตื่นตะลึง! เหลือเชื่อ! เป็นไปไม่ได้!

ในตอนนี้ทุกคนในโถงใหญ่ต่างมีปฏิกิริยาเฉกเช่นเดียวกันหมด นี่เกิดอะไรขึ้น? หลงอ้าวเทียนเป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงมิใช่เหรอ? แต่เพียงดาบเดียว... เพียงแค่ดาบเดียว....ก็กลายเป็นศพกองกับพื้นในพริบตา…

“คิดจะลงมือกับข้า ช่างโง่เขลา”

เย่เจวี๋ยกล่าวพร้อมน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธ เขาในตอนนี้กำลังโมโหแล้วจริงๆ ไอ้คนโง่งมพวกนี้ยุแหย่เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทีแรกกะจะเล่นด้วยดีๆ แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวแล้ว

“ยังมีใครอยากแบ่งอาณาเขตตระกูลหยางกับข้าอีกไหม? ออกมา!”

ดาบสะบั้นมังกรของเย่เจวี๋ยชี้ตรงไปหาทุกคน คมดาบสะท้อนแววความตาย ย้อมด้วยเลือดสีแดงชโลมสด

ชั่วขณะนั้นเอง สามประมุขตระกูลใหญ่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ สามารถปลิดชีพยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงได้ในชั่วพริบตา ตอนนี้ความหวาดกลัวในใจของพวกเขาพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ถ้าไม่เกรงใจคงวิ่งหางจุกตูดหนีไปแล้ว

“เอ่อ...นะ-นายน้อยเย่ นึกขึ้นได้ว่าพวกเรามีธุระที่ต้องสะสาง เช่นนั้น...ขอ...ขอตัวก่อน...”

กำลังทัพที่ยืนตระหง่านกลางโถงก่อนหน้าพร้อมกับสีหน้าแสนไม่เป็นมิตร ยามนี้ถึงกับหน้าเสียซีดเผือก รีบก้มหน้าก้มตาหันหลังเดินออกประตูไปโดยไว

“หยุดเดี๋ยวนี้! อย่าให้เห็นออกไปแม้แต่คนเดียว!”

เสียงตะโกนกึกก้องราวกับอัสนีบาตรกู่ร้องดังขึ้น ทำเอาทุกฝีเท้าพร้อมใจกันหยุดโดยพร้อมเพรียง เป็นเพราะผ่านแก่นกลางของเสียงตะโกนนี้ มันแฝงไว้ซึ่งกลิ่นอายพลังขุมใหญ่ที่สุดแสนจะน่ากลัว

เย่หยวนฉานและเย่ชิงฉงเดินเผ่านประตูโถงใหญ่เข้ามา ซึ่งเพียงแค่เดินเข้ามาแบบนี้ ทั้งหมดพลันรู้สึกได้ถึงแรงดันอันมหาศาลประดุจคลื่นยักษ์

“กลิ่นอาย...กลิ่นอายของยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วง!”

“สวรรค์! เหตุใดตระกูลเย่ถึงมียอดฝีมือมากมายปานนี้! พวกเรายังกล้ามาสร้างปัญหาให้ที่นี่ได้อย่างไร พวกเรามันโง่สิ้นดี!”

“ตาย! ตายแน่! พวกเขาไม่มีทางปล่อยพวกเราไว้แน่...”

เสี้ยวพริบตาต่อมา บางคนถึงกันร้องอุทานด้วยความสิ้นหวัง ตัดใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว

“ห้ามก้าวออกไปแม้แต่คนเดียว”

สุ้มเสียงพิโรธของเย่ชิงฉงดังขึ้น พอลืมตาขึ้นมาก็เผยปรากฏเป็นเนตรจักรพรรดิสายฟ้าสว่างจ้า สิ่งนี้ทำให้เขามองเห็นแสงสว่างอีกครั้ง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด