80Y-ตอนที่ 7 ข่าวใหม่จากต้าชุน
ปราณกระบี่ของหลินจิ่วเฟิง ฟาดฟันออกไปไกลหลายเมตร
เฉกเช่นกับแสงแรกที่ตัดผ่านความมืดมิดยามรุ่งสาง มันทำให้ทั่วตำหนักเย็นสว่างไสว
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นแกนทองคำทั้งสองคนที่มาจากนิกายซากศพพวกเขามีระดับการบ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อเทียบกับ หลินจิ่วเฟิง เล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่ที่พุ่งเข้ามา
กระบี่ 22 เล่ม ไม่ใช่ทักษะกระบี่มนุษย์ แต่มันเกี่ยวข้องกับ เต๋าสวรรค์อันยิ่งใหญ่และปฐพี
โดยเฉพาะกระบวนท่าสุดท้ายที่ชื่อ กระบี่ 22 เล่ม…
มันมีพลังมากพอที่จะสังหารผู้คนที่อยู่ห่างออกไปหลายพันเมตรโดยไม่มีใครเห็น
ทั้งสองได้ถูกตัดศีรษะในทันที
โลหิตจำนวนมากได้สาดกระเซ็นไปทั่วพื้น
พวกเขาได้เสียชีวิตโดยที่ไม่รู้ตัวว่าใครเป็นคนโจมตีพวกเขา
หลินจิ่วเฟิง ได้มาถึงที่นี่ เขาได้มองไปที่ ร่างทั้งสอง และ ให้ความสนใจเกี่ยวกับสถานที่พิเศษบางแห่งที่ถูกทำเครื่องหมายเอาไว้
บรรพบุรุษของนิกายซากศพถูกฝังอยู่ใต้ดินที่นี่งั้นหรือไม่?
“ตามที่พวกเขากล่าว ประมุขนิกายซากศพ จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งภายใน 10 ปีหลังจากทะลวงระดับขั้น นั่นหมายความว่า แม้ว่าข้าจะขุดศพบรรพบุรุษของนิกายซากศพออกมา ตอนนี้ก็คงไม่มีผลกระทบอะไร?”หลินจิ่วเฟิง มีความคิดที่อยากรู้อยากเห็นอย่างกระทันหัน
[คุณต้องการลงชื่อเข้าใช้สุสานใต้ดินพันปีหรือไม่?]
ทันใดนั้น ก็มีข้อความปรากฏขึ้นตรงหน้าของ หลินจิ่วเฟิง เขารู้สึกตกตะลึง
“มีศพอายุพันปีถูกฝังอยู่ใต้ดินนี้งั้นหรือ?”หัวใจของ หลินจิ่วเฟิง รู้สึกเต้นแรง
แต่ปากของเขาไม่ได้อยู่เฉย
“ยันยืนการเข้าใช้!”หลินจิ่วเฟิง ได้ตอบกลับ
[ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับทักษะควบคุมศพจากความตาย!]
จากนั้นข้อมูลจำนวนมากก็หลั่ไกลเข้ามาในจิตใจของเขา
เขาเข้าใจทุกความลับของทักษะนี้ทันที
ด้วยทักษะนี้ เขาจะสามารถควบคุมซากศพและหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณใหม่ในศพได้
จากนั้นมันก็จะตื่นขึ้นและปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ใช้ทักษะควบคุมศพ
นี่เป็นทักษะที่ทรงพลังมาก เมื่อพิจารณาว่ามันสามารถหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณใหม่ภายในร่างของศพและรับเอาทุกสิ่งจากศพได้
หลังจากที่ หลินจิ่วเฟิง เข้าใจทักษะนี้แล้ว เขาก็ดำเนินการอย่างเด็ดขาดและเริ่มขุดโดยทันที ด้วยพื้นฐานการบ่มเพาะพลังขั้นแกนทองคำ เขาสามารถขุดลึกลงไปได้หลาย 10 เมตรได้อย่างง่ายดาย ในไม่ช้า เขาก็เห็นโลงศพ
มันเป็นโลงศพทองแดงที่ปกคลุมไปด้วยภาพขัดเกลาต่าง ๆ จุดประสงค์ก็เพื่อขัดเกลาศพอายุพันปีนี้
แต่ศพอายุพันปีในตำหนักเย็น ไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงโลหิตจากสิ่งมีชีวิต
นิกายซากศพ ไม่กล้าเข้าใกล้บริเวณนี้หลังจากที่ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาได้สร้างเมืองหลวงขึ้นที่นี่ เนื่องจากพวกเขากลัวว่าทางราชวงศ์จะค้นพบการมีอยู่ของพวกเขา
ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา ศพในโลงศพทองแดงจึงอยู่ในสภาพหลบสนิท
มันไม่เคยออกไปจาากที่นี่ขณะที่หลับใหล อย่างไรก็ตามมันก็ค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
หลินจิ่วเฟิง ได้นำโลงศพทองแดงออกมาและปิดหลุมที่เขาขุด ก่อนที่จะกลับไปยังลานที่พักของเขา
ในลานที่พัก โลงศพทองแดงได้ตั้งวางอย่างเงียบ ๆ
แสงจันทร์ได้สาดส่องบนพื้นผิวของมันทำให้มันเรืองแสงมันวาวของโลหะออกมา
เขาได้เปิดโลงศพทองแดงและเห็นชายวัยกลางคนนอนอยู่ในนั้น
ใบหน้าของเขาซีดเผือก และ ไม่มีเลือดใต้ผิวหนัง
เขาได้นอนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ
หลินจิ่วเฟิง ได้ใช้ทักษะควบคุมศพจากความตายและเริ่มใส่พลังเข้าไปในร่างกาย
“ค่อย ๆ บ่มเพาะสร้างวิญญาณใหม่ในศพนี้ จากนั้นก็ควบคุมมัน ด้วยวิธีนี้ การทำงานหนักของข้าคงจะไม่สูญเปล่า”หลินจิ่วเฟิง ได้กล่าวขณะที่มองดูศพในโลงทองแดง เขายุ่งอยู่กับงานนี้ทั้งคืน โชคดีที่เขามีชุดไร้ฝุ่นติดตัวมาด้วย
มิฉะนั้นเขาคงถูกปกคลุมไปด้วยสิ่งสกปรกทั่วร่างกายของเขา
หลินจิ่วเฟิง ได้ปิดโลงทองแดงและวางไว้ที่มุมห้อง
เขาสังเกตุมันอย่างช้า ๆ และอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับการเกิดใหม่ของจิตวิญญาณภายใน
จากนั้นเขาก็ลงชื่อเข้าใช้และฝึกฝนทุกวันโดยไม่สนใจเรื่องราวภายนอก
…
ชั่วพริบตา 3 เดือนก็ได้ผ่านพ้นไป
ในช่วง 3 เดือนมานี้ น้องชายของเขา องค์ชายหก ไม่เคยกลับมาเยี่ยมอีกเลย ดูเหมือนเขาจะงานยุ่งมาก
หลินจิ่วเฟิง ได้ยินเรื่องนี้ จาก ต้าชุน
ต้าชุน ยังคงมาส่งอาหารทุก 7 วันและพูดคุยกับ หลินจิ่วเฟิง
ส่วนใหญ่เป็นต้าชุน ที่เล่าให้ หลินจิ่วเฟิง ฟัง
ต้าชุน บอก หลินจิ่วเฟิง เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง
และ หลินจิ่วเฟิง ก็รับฟังสิ่งที่ต้าชุนพูด
บางครั้งเขาก็ให้คำตอบง่าย ๆ ขณะรับประทานอาหาร
หลังจากนั้นเขาก็กลับไปฝึกฝนการบ่มเพาะพลังของเขาต่อ
หลังจาก 3 เดือน ระดับการบ่มเพาะพลังของเขาก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
จากขอบเขตแกนภายในของขั้นแกนทองคำ เขาก็ได้ เลื่อนขอบเขตเป็นแกนแท้จริง
เขาอยู่ห่างจากระดับถัดไปอย่าง แกนแท้จริง เพียงหนึ่งก้าว
ในที่สุด หลินจิ่วเฟิง ก็มองเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับ ศพบรรพบุรุษของนิกายซากศพ เขาได้ฟื้นคืนชีพกลับมาาโดยใช้ทักษะควบคุมศพจากความตายในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
ใบหน้าของเขาไม่ซีดเหมือนกับคนตายอีกต่อไป
มีสัญญาณของโลหิตที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายและผิวของเขาได้เปลี่ยนเป็นสีกุหลาบ
ข้อต่อที่แข็งทื่อได้กลับมาอ่อนนุ่มมากขึ้น และ ที่สำคัญไปกว่านั้น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวจากมัน
เห็นได้ชัดว่า ทักษะควบคุมศพจากความตาย ของเขานั้นได้ผล
หลินจิ่วเฟิง ได้มาดูแลอีกฝ่ายทุก ๆ 2-3 วัน หลังจากนั้นเขาก็ใช้เวลาที่เหลือทำงานหนักเพื่อฝึกฝน
ผ่านไปอีก หนึ่งสัปดาห์ ต้าชุน ก็กลับมาอีกครั้ง
อีกฝ่าย ได้มาส่ง ไวน์องุนและอาหารเฉกเช่นเคย และ พวกมันก็ยังคงรสชาติดีเหมือนเดิม
แน่นอนว่าเขาได้พูดคุยกับ หลินจิ่วเฟิง
ในอีกด้านหนึ่งของประตูหลักของตำหนักเย็น ต้าชุน ได้พิงกำแพงและพูดคุย
ตรงข้ามของกำแพง หลินจิ่วเฟิง ได้หยิบไวน์องุ่นขึ้นมาและจิบมันก่อนที่จะทานอาหารมื้อเหล่านี้และเพลิดเพลินไป
จากนั้นเขาก็ฟังที่ ต้าชุน พูดถึงเรื่องราวต่าง ๆ
มีกระทั่ง เรื่องสำคัญ เรื่องเล็ก เรื่องไร้สาระ และ เรื่องส่วนตัว
ต้าชุน ชอบที่จะสนทนากับเขามาก และ หลินจิ่วเฟิง ก็ยินดีรับฟัง ตอนนี้ทั้งคู่ได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและค่อนข้างสนิทกันมากขึ้น
“องค์ชาย ช่วงนี้ข้าอาจจะยุ่งนิดหน่อย ถ้าครั้งหน้าข้าไม่ได้มาข้าจะวานให้สหายคนอื่นมาส่งอาหารให้ แต่ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะส่งไวน์และอาหารที่ดีมาให้ท่านอย่างแน่นอน”ต้าชุน ได้พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ
หลินจิ่วเฟิง รู้สึกตกตะลึงและกล่าวถาม“เจ้าไม่ใช่แค่นายทหารตัวเล็กในกองทัพทหารส่วนพระองค์หรอกเหรอ เหตุใด เจ้าถึงดูยุ่งมาก?”
นี่คือเมืองหลวงของราชวงศ์ ทหารรักษาส่วนพระองค์ไม่ควรจะยุ่งจนเกินไป
“เมื่อเร็ว ๆ นี้ มี ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งจำนวนมากเข้ามายังเมืองหลวงของราชวงศ์ พวกเขามีกระทั่ง สาวกลัทธิเต๋า,ผู้บ่มเพาะพลังปีศาจ,ผู้บ่มเพาะพลังชาวพุทธ กระทั่ง ผู้บ่มเพาะพลังจากต่างประเทศ…”
“องค์ชายหก ได้เข้าบัญชาการทัพทหารส่วนพระองค์ และ ระดมพวกเรา เพิ่มมาตราการป้องกันเมืองหลวงให้มากขึ้น”
“ดังนั้นเราจะต้องรักษาความสงบเรียบร้อยภายในเมืองหลวง และ จัดการพวกคนชั่วที่ไม่เกรงกลัวกฏหมายเหล่านั้น”ต้าชุน ได้อธิบาย
หลินจิ่วเฟิง ขมวดคิ้วแน่นขึ้น
เขาจำได้ทันทีว่า สองคนที่เขาสังหารไปได้พูดอะไรเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว
ผู้อาวุโสจากนิกายปีศาจ ได้ลอบเข้ามาสังหารจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน - หรือก็คือ พ่อของ หลินจิ่วเฟิง
แม้ว่า หลินจิ่วเฟิง จะรู้เรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ
ตั้งแต่นั้นมาก็ผ่านไป 3 เดือน ทุกอย่างสำหรับเขาค่อนข้างสงบสุข
หลินจิ่วเฟิง ยังไม่เคยได้ยินข่าวเรื่องการลอบสังหารองค์จักรพรรดิเลย
เท่าที่เขาคิด หลินจิ่วเฟิง เชื่อว่าข่าวที่เขาได้รับมานั้นเป็นเพียงเรื่องเท็จ
แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ ต้าชุน พูด เขาก็จำคำพูดของสองคนนั้นได้ในทันที
“ต้าชุย ตอนนี้อยู่ข้างก็ระวังตัวด้วย อย่าได้ฝืนตัวเองมากเกิน ระดับการบ่มเพาะพลังของเจ้าไม่ได้สูง อย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งของผู้ที่อยู่ในโลกแห่งการฝึกตน”หลินจิ่วเฟิง ได้ตอบกลับ
ต้าชุน ได้นำอาหารมาให้เขาอย่างต่อเนื่องตลอด 3 ปี และพวกเขาได้พูดคุยกันอย่างสนิทสนม หลินจิ่วเฟิง ไม่ต้องการให้ สิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับอีกฝ่าย
ตามข้อมูลของ ต้าชุน ไม่ใช่เพียงแค่คนจากนิกายปีศาจเท่านั้นที่เข้ามายังที่นี่
พวกที่ยกย่องตัวเองเป็นคนจากลัทธิเต๋า และ นิกายชาวพุทธ ก็อยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมี ผู้ฝึกยุทธ์จากต่างประเทศเข้ามาอีก
การปรากฏตัวของคนเหล่านี้ ทำให้หลายสิ่งซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
มันจะเป็นการดีที่สุดที่ ต้าชุน จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
“ขอบคุณองค์ชายสำหรับความห่วงใยของท่าน อย่างไรก็ตาม ข้ามีหน้าที่เพียงแค่ปกป้องพระราชวังเท่านั้น ไม่น่าจะมีปัญหาอย่างแน่นอน เพราะสถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในเมืองหลวงของราชวงศ์”
“ข้าเพียงแค่กลัวว่าจะมาส่งอาหารได้ไม่ตรงเวลา เพราะต้องอยู่เวร ดังนั้น ข้าจึงได้บอกท่านล่วงหน้า”ต้าชุน ได้ยิ้มออกมา
หลินจิ่วเฟิง ได้ครุ่นคิดอยู่ครู่นึง จากนั้นเขาก็สะบัดนิ้ว เศษเสี้ยวของพลังกระบี่ก็พุ่งผ่านกำแพงทะลุเข้าไปยังร่างกายของต้าชุน
ต้าชุน ไม่ได้สังเกตุเห็น
และพลังกระบี่นี้ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเกิดอันตรายใด ๆ เพียงทำให้ หลินจิ่วเฟิง สัมผัสได้ หาก ต้าชุน ตกอยู่ในอันตราย
‘เรารู้จักกันมา 3 ปีกว่า ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าตกอยู่ในอันตราย ข้าจะเป็นคนปกป้องเจ้าเอง’
หลินจิ่วเฟิง ชอบทัศนคติที่ซื่อสัตย์และจริงจังของ ต้าชุน
ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเพียงคำสั่งง่าย ๆ จาก รองผู้บัญชาการทัพทหารส่วนพระองค์
อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายก็ส่งอาหารดี ๆ ให้กับ หลินจิ่วเฟิง ที่ถูกเนรเทศมายังตำหนักเย็นอย่างต่อเนื่องไม่เคยขาดตกบกพร่อง กระทั่งไม่เคยเรียกร้องใด ๆ จากเรื่องนี้
ในความเห็นของทุกคน องค์ชายที่ถูกเนรเทศมายังตำหนักเย็นจะไปคาดหวังอะไรได้?
อย่างไรก็ตาม หลินจิ่วเฟิง ตั้งใจแล้วว่าเขาจะปกป้องเพียงคนสองคนในราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
ซึ่งก็คือ ต้าชุน และ องค์ชายหก