80Y-ตอนที่ 5 องค์ชายในตำหนักเย็น
หลินจิ่วเฟิง ไม่ได้ทำร้ายพระสนมเจียหลังจากที่ตรวจดูความทรงจำของนางแล้ว เลือกที่จะช่วยฟื้นคืนสติของนางแทน เพื่อที่นางจะได้ไม่ต้องติดแหง็กอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังด้วยลบเช่นนี้อีกต่อไป
เมื่อเนตรแห่งการพิพากษาได้ปลุกความทรงจำของพระสนมเจียกลับมา ความขุ่นเคืองของนางก็ค่อย ๆ จางหายไป
นางมองไปที่ตำหนักเย็นด้านหน้าด้วยท่าทางซับซ้อน
“ท่านคือองค์รัชทายาท...ท่านเองก็ถูกเนรเทศมาที่ตำหนักเย็นด้วยงั้นหรือ?”
พระสนมเจีย จำ หลินจิ่วเฟิง ได้ นางอุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจ
หลินจิ่วเฟิง พยักหน้าอย่างสงบ
“ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ราชวงศ์ไม่มีความเมตตาต่อผู้ใด ไม่ว่าพวกเขาจะมีสถานะสำคัญเพียงใด ก็ไม่สำคัญเท่ากับบัลลังก์”พระสนมเจีย ได้กล่าวเย้ยหยันออกมา
นางมองไปที่ หลินจิ่วเฟิง ด้วยความเห็นอกเห็นใจอีกทั้งยังเป็นการเย้ยหยันอีกทาง
“เดิมข้าคิดว่าตำแหน่งของท่านค่อนข้างมั่นคงและมีโอกาสที่ท่านจะกลายเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะเดินตามรอยเท้าของข้าและจบด้วยการถูกเนรเทศมายังตำหนักเย็นแห่งนี้”
สำหรับสาเหตุนางไม่ทราบก็จริง แต่พระสนมเจียราวกับดูมีความสุข
เพราะนางมองเห็น หลินจิ่วเฟิง องค์ชายผู้โดดเดี่ยว ที่เดิมมีอนาคตไร้ขีดจำกัด ต้องมาจบสภาพลงเหมือนกับนาง ดังนั้นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
อย่างไรก็ตาม หลินจิ่วเฟิง ได้ตอบกลับอย่างสงบ“ข้าคิดว่าที่นี่เองก็ไม่เลว ไม่มีการรบกวนจากโลกภายนอก อย่างไรก็ตามถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องจากไปเสียที”
“ให้ข้าอยู่ต่อเถอะ ข้าสามารถบ่มเพาะทักษะวิญญาณ…”
“ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่สามารถตระหนักได้ถึงเส้นทางการบ่มเพาะพลัง แต่ตอนนี้ ข้าสามารถบ่มเพาะร่างกายวิญญาณและอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้าได้ ถ้าข้าจากไปเกรงว่าเจ้าจะต้องอยู่ที่นี่อย่างเปล่าเปลี่ยว”
พระสนมเจีย ยังไม่ต้องการจะจากไป
นางเริ่มเกลี่ยกล่อม หลินจิ่วเฟิง
“ข้ามีทักษะมากมาย…”พระสนมเจีย เริ่มพูดขึ้น
ฟวั่บ!
แต่ หลินจิ่วเฟิง ได้ดึงกระบี่สังหารปีศาจออกมาและตวัดออกไปในทันที
กระบี่อันแวววาวได้ขับไล่พลังงานด้านลบของพระสนมเจียทิ้งไปในคราวเดียว
ขับไล่วิญญาณ!
“เดิมข้าต้องการใช้เนตรแห่งการพิพากษาเพื่อขับไล่ท่านดูเหมือนว่ามันจะไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว”
หลินจิ่วเฟิง ได้สั่นศีรษะ
พระสนมเจีย มองไปที่ หลินจิ่วเฟิง ด้วยท่าทีประหลาดใจ นางได้กล่าวถามออกมา“ท่านไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในตำหนักเย็นอันหนาวเหน็บนี้เลยเหรอ?”
หลินจิ่วเฟิง ได้มองไปที่ ร่างของนางที่กำลังจางหายไปก่อนที่จะสั่นศีรษะและตอบกลับ“ข้าไม่เคยรู้สึกเหงา ข้าได้ค้นพบความสุขของตัวเองในทุกวัน แต่ยังไงก็ตามท่านก็ไม่มีวันเข้าใจอยู่ดี”
ที่นี่แม้จะเป็นสถานที่ที่มีพลังงานด้านลบจำนวนมาก และ อาจมีบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่ใต้ดิน แต่ที่นี่เป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับเขาในการลงชื่อเข้าใช้สถานที่อย่างต่อเนื่อง แล้วเขาจะรู้สึกเหงาได้อย่างไร
เพียงแต่พระสนมเจียจะไม่มีวันเข้าใจคำพูดของหลินจิ่วเฟิง
นางค่อย ๆ จางหายไปต่อหน้าต่อตาของเขา
หลังจากนั้น บ่อน้ำ ก็ถูก หลินจิ่วเฟิง ปิดตายอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็มองไปที่กำแพงที่ถูกทำลายด้วยกระบี่ของเขา ก่อนที่เขาจะยกกระบี่ขึ้นมาและพึมพัมกับตัวเอง“ครั้งต่อไปที่ข้าโจมตี เกรงว่าคงต้องเบามือกกว่านี้ มิฉะนั้นหากเผลอทำลายที่นี่ไปเกรงว่ายากที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปได้”
เขายังไม่มีแผนจะไปจากที่นี่ในตอนนี้
…
เมื่อทุกอย่างจบลง ดวงอาทิตย์ก็ปรากฏขึ้นเช่นเดียวกัน กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่นำโดยวิญญาณก่อนหน้านี้ได้หายไปภายใต้แสงแดดอันอบอุ่น
นี่คือเช้าวันใหม่
หลินจิ่วเฟิง ได้เปลี่ยนชุดที่ปราศจากฝุ่น
นี่คือสิ่งที่เขาได้รับเมื่อทำการลงชื่อเข้าใช้
มันป้องกันฝุ่นไรไม่ให้สัมผัสกับร่างกายของเขา และ เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายของเขาจะสะอาดและบริสุทธิ์
นอกจากนี้มันยังดูดีสำหรับเขามาก
หลินจิ่วเฟิง ได้สวมชุดไร้ฝุ่นนี้มา 3 ปีแล้ว และ เขาก็ไม่เคยอาบน้ำอีกเลยตั้งแต่นนั้นมา
ชุดไร้ฝุ่นชุดใหม่ล้วนเป็นสีขาวนวล
ผนวกกับใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาทำให้ หลินจิ่วเฟิง ดูเหมือนกับ คุณชายที่ดูร่าเริง
เมื่อเขาแต่งตัวแบบนี้ หลินจิ่วเฟิง ก็ดูคล้ายจะไม่ค่อยกับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของเขาเท่าไหร่
เพราะเขาราวกับเทพเซียนที่ถูกเนรเทศลงมาจากสวรรค์ ส่วนรอบตัวของเขามีแต่สิ่งสกปรก
เมื่อระดับการบ่มเพาะพลังของเขาแข็งแกร่งขึ้น สัมผัสการรับรู้ของเขาก็ชัดเจนมากเช่นเดียวกัน
หากเปลี่ยนเป็นอดีตเจ้าของร่างเกรงว่าคิดจะมาถึงระดับนี้ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกกี่สิบปี
วันนี้ หลินจิ่วเฟิง วางแผนที่จะกลับไปยังส่วนในอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเดินออกจากลานเล็ก ๆ เขาก็มองเห็นประตูหลักของตำหนักเย็นที่ไม่ได้ขยับมาเป็นเวลานานได้เปิดออกอย่างช้า ๆ
หลินจิ่วเฟิง ยืนนิ่งและมองไปข้างหน้า
ประตูหลักของตำหนักเย็นจะไม่ถูกเปิดออกเว้นแต่จะมีคนถูกเนรเทศมายังสถานที่แห่งนี้
ดังนั้นผู้ที่เข้ามาแล้วตามประวัติศาสตร์จะไม่สามารถออกไปได้
“ใครกันที่ถูกเนรเทศมาที่นี่?”หลินจิ่วเฟิง รู้สึกสับสน
โดยไม่คาดคิดคนที่เข้ามายังตำหนักเย็นไม่ใช่คนที่ถูกตัดสินให้เนรเทศ
มันเป็นองค์ชายหกที่เพิ่งสืบทอดตำแหน่งองค์รัชทายาท
เขาเป็นน้องชายของ หลินจิ่วเฟิง ในชีวิตนนี้
เมื่อเขาอายุได้ 5 ปี เขาก็ถูกพาตัวไปฝึกฝนและทั้งสองก็แยกจากกัน
จนในที่สุด พวกเขาก็กลับมาพบกันอีกครั้ง
หลินจิ่วเฟิง ได้นึกถึงตัวตนขององค์ชายหกจากความทรงจำก่อนหน้านี้ของเขาและนำมาเทียบกับปัจจุบัน
ในปัจจุบันอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ย้อนกลับไปในตอนนั้นองค์ชายหกเป็นเพียงเด็กน้อยขี้โวยวาย แต่ตอนนี้พอเขาโตขึ้น เขาก็มีส่วนสูงเท่ากับ หลินจิ่วเฟิง และ เต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง และ ความมั่นใจ
“พี่ใหญ่!”
องค์รัชทายาทคนปัจจุบันได้ยืนอยู่ใกล้ประตูหลักของตำหนักเย็นและตะโกนขึ้นอย่างจริงใจ
แม้ว่าตอนที่เขาพบกับองค์ชายคนอื่น ๆ ที่แก่กว่าเขา เขาก็เรียกเพียงแค่ ‘พี่ชาย’ เท่านั้น
แต่กลับ หลินจิ่วเฟิง เขามักจะเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พี่ใหญ่’
เพราะท้ายที่สุดพวกเขาก็เกิดมาจากครรภ์มารดาเดียวกัน
แม้จะผ่านไปเป็นระยะเวลา 10 ปี แต่เลือดก็ย่อมข้นกว่าน้ำ
หลินจิ่วเฟิง ได้ยิ้มออกมา ความรู้สึกผูกพันธ์ได้ปรากฏขึ้นในใจของเขาโดยธรรมชาติ
บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่มาจากการที่พวกเขามีสายเลือดเดียวกันก็เป็นได้
แต่ หลินจิ่วเฟิง รู้สึกแปลกใจกับการมาถึงอย่างกระทันหัน
เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกไป“เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
“ข้ามาเยี่ยมท่านพี่ใหญ่”องค์ชายหก ได้เดินเข้ามาและมองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจ“ข้าได้ยินว่าตำหนักเย็นเต็มไปด้วยวัชพืชและรกมาก แต่ที่นี่กลับดูสะอาด พี่ใหญ่ ท่านทำความสะอาดพวกมันงั้นเหรอ?”
หลินจิ่วเฟิง ได้พยักหน้าและตอบกลับ“อืม”
หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝนทักษะกระบี่ เขาเพียงแค่ขยับนิ้วของเขาก็สามารถสร้างปรากระบี่ในการกำจัดวัชพืชเหล่านี้ทั้งหมดได้แล้ว
“พี่ใหญ่ท่านคงลำบากมากทีเดียว”องค์ชายหกได้ถอนหายใจออกมา
หลินจิ่วเฟิง รู้ว่าน้องชายของเขากำลังเข้าใจผิด
แต่เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายสถานการณ์นี้อย่างไร เขาจึงได้เปลี่ยนเรื่อง
“ตำหนักเย็นไม่อนุญาติให้ใครก็ตามเข้ามาเยี่ยม เจ้ามาที่นี่ไม่กลัวถูกลงโทษหรืออย่างไร?”
หลินจิ่วเฟิง รู้สึกเป็นกังวล
“พี่ใหญ่ ข้าขอร้องเสด็จพ่อเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากท่านแม่ประชวรหนักและจากพวกเราไป คนที่ใกล้ชิดที่สุดกับข้าบนโลกนี้ก็คือพี่ใหญ่ ดังนั้นเสด็จพ่อจึงอนุญาติให้ข้ามาเยี่ยมท่าน”องค์ชายหกได้ตอบกลับ
หลินจิ่วเฟิง ได้ยิ้มออกมา“ข้าสบายดี เจ้าไม่ต้องกังวลจนเกินไป”
“พี่ใหญ่ข้ารู้ว่าท่านไม่ต้องการให้ใครมาสงสาร แม้ว่าตำหนักเย็นแห่งนี้จะน่าสะพรึงกลัว แต่พี่ใหญ่ก็สามารถอดทนกับมันได้”องค์ชายหกรู้สึกชื่นชมหลินจิ่วเฟิงอย่างแท้จริง
หลังจากอยู่ที่ตำหนักเย็นเป็นระยะเวลา 3 ปี ไม่เพียงแต่อีกฝ่ายไม่ได้เสียสติจนเป็นบ้า ทว่าอีกฝ่ายกลับมีชีวิตความเป็นอยู่ที่นี่ดีมาก นี่เป็นความสำเร็จที่น่าเหลือเชื่อ
“ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับเจ้าเลย ตอนนี้เจ้ากลายเป็นองค์รัชทายาทไปแล้ว และ ต่อไปเจ้าก็จะกลายเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่แห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา”
หลินจิ่วเฟิง ได้ยิ้มออกมา และยินดีกับน้องชายของเขา
“พี่ใหญ่ ท่านไม่โกรธข้างั้นเหรอ?”องค์ชายหกมองไปที่หลินจิ่วเฟิงอย่างกังวล
“ทำไมข้าจะต้องโกรธเจ้าด้วย?เหตุผลที่ข้าถูกปลดออกจากตำแหน่งรัชทายาทเป็นเพราะความประมาทและความผิดพลาดจากตัวข้าเอง ในเมื่อน้องชายของข้าได้ก้าวขึ้นไปยังตำแหน่งนั้นได้ด้วยความสามารถของตัวเอง คนเป็นพี่ชายย่อมต้องรู้สึกยินดีด้วยถึงจะถูก”หลินจิ่วเฟิง ได้ยิ้มอย่างจริงจัง
“พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องกังวลไป ท่านเพียงแค่อดทนรอ เมื่อข้าได้ครองราชบัลลังก์ ข้าจะเขียนราชโองการอภัยโทษให้ท่าน”องค์ชายหกได้ตอบกลับ
หลินจิ่วเฟิง ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
หากเขาต้องการออกจากตำหนักเย็นตอนนี้ เขาก็สามารถทำได้โดยง่าย
แต่ที่สำคัญคือเขาต้องการได้รับสิ่งต่าง ๆ จำนวนมากขณะที่ลงชื่อเข้าใช้ตำหนักเย็น
ดังนั้นเขาจึงยังไม่อยากออกไปไหนก่อนที่เขาจะมีพลังที่แข็งแกร่งพอที่จะสยบทุกคน
แต่ทว่าเขาไม่อาจบอกเรื่องนี้กับองค์รัชทายาทคนนี้ได้
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่แน่วแน่ของเขา หลินจิ่วเฟิง ก็เปลี่ยนเรื่อง“เอาล่ะ มาคุยเรื่องอนาคตกัน เสด็จพ่อตอนนี้ยังคงแข็งแรงดี เจ้าควรเริ่มเรียนรู้จากเขา อย่าได้ทำผิดพลาดเหมือนพี่ใหญ่คนนี้”
หลินจิ่วเฟิง ปฏิบัติต่อองค์รัชทายาทในฐานะพี่ชายของเขา ดังนั้นเขาจึงให้คำแนะนำ
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้ารู้สึกโล่งใจที่เห็นพี่ใหญ่ไม่เป็นอะไร…”
“ยังมีเรื่องที่ข้าต้องจัดการอีกมาก ดังนั้นข้าจะหาเวลามาเยี่ยมท่าน แต่ตอนนี้ข้าต้องกลับไปกราบทูลเสด็จพ่อก่อน เช่นนั้นข้าขอตัวลา”องค์ชายหกได้ตอบกลับ
“ไปเถอะ”หลินจิ่วเฟิง ได้พยักหน้า
“พี่ใหญ่ ได้โปรดรอ สักวันข้าจะช่วยท่านออกมาให้ได้”องค์ชายหก เดินไปไม่กี่ก้าวก่อนที่จะหันกลับมากอดร่างของ หลินจิ่วเฟิง และพูดขึ้น
จากนั้น เขาก็เดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
หลินจิ่วเฟิง ไม่ได้มีโอกาสอธิบายเลยแม้แต่น้อย
“ข้ายังไม่อยากออกไปตอนนี้”หลินจิ่วเฟิง ได้พึมพัมออกมาอย่างช่วยไม่ได้