80Y-ตอนที่ 6 ความลับยิ่งใหญ่ที่ถูกซ่อนเอาไว้
องค์ชายหกหลังจากออกจากตำหนักเย็นเขาก็ไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิในทันที
ในราชสำนัก องค์จักรพรรดิเพิ่งเสร็จสิ้นการว่าราชกิจในวันนี้ เขาได้กล่าวถาม“บุตรผู้ดื้อรั้นคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
องค์ชายหกได้ตอบกลับ“พี่ใหญ่ทรงสบายดี”
เขาไม่กล้าพูดว่า หลินจิ่วเฟิง มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเขา พูดตามตรง อีกฝ่ายดูไม่แยแสกับการถูกเนรเทศไปที่ตำหนักเย็นแม้แต่น้อย
องค์จักรพรรดิทรงเย้ยหยันออกมาและตอบกลับ“เขาสบายดี?”
คนที่ถูกเนรเทศไปยังตำหนักเย็นล้วนแล้วแต่เสียสติและกลายเป็นบ้า
แต่ทว่าองค์ชายคนนี้กลับยังสบายดีอยู่หรือไม่?
ทว่าอีกฝ่ายก็สามารถทนอยู่ที่นั่นมาได้ 3 ปีเต็ม จะต้องรู้ว่าแม้แต่พระสนมเจียก็ยังไม่สามารถทนได้แม้กระทั่ง 3 เดือน ก่อนที่นางจะตรอมใจตายในที่สุด
“เสด็จพ่อ ข้าคิดว่าพี่ใหญ่สำนึกผิดแล้ว”องค์ชายหก ได้ออกมาปกป้องพี่ชายของเขา
“เจ้ารู้ความผิดของเขาหรือไม่?”
ใครจะไปคาดคิดว่า องค์จักรพรรดิจะยังทรงโกรธอยู่?
“เจ้ารู้จักสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่เขาปล่อยไปเมื่อ 3 ปีก่อนหรือเปล่า?”
“นางได้กลับไปยังราชวงศ์หยาน และ กลายเป็น สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการเทิดทูนจากผู้คน….”
“ตอนนี้กระทั่งนางยังได้หน้าที่รับผิดชอบในการดูแลกิจการทั้งหมดภายในราชวงศ์หยาน”
“ข้าได้ยินมาว่า นางสามารถสื่อสารกับองค์เทพได้นั่นเป็นเหตุผลที่นางถูกสักการะโดยผู้คนในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นนางก็ค่อย ๆ ยกระดับราชวงศ์หยานให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม พวกเขาค่อย ๆ สร้างรากฐานอันมั่นคง ทั้งหมดนี้จะต้องขอบคุณพี่ชายตัวดีของเจ้า”องค์จักรพรรดิ ได้ตรัสออกมาด้วยความโกรธ
องค์ชายหกรู้สึกพูดไม่ออก
“บุตรชายผู้ดื้อรั้นคนนี้กลับหลงใหลในราคะ เขาจะต้องอาศัยอยู่ในตำหนักเย็นไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ แม้ว่าเจ้าจะขึ้นครองบัลลังก์ในอนาคต เจ้าก็จะไม่ได้รับอนุญาติให้ปล่อยเขาออกมาเข้าใจหรือไม่?”องค์จักรพรรดิได้ตรัสอย่างเคร่งขรึม
ใบหน้าขององค์ชายหกซีดเผือกเขาพยายามอธิบายอย่างเร่งรีบ
แต่องค์จักรพรรดิกลับไม่เปิดโอกาสให้เขาทำเช่นนั้น เขาได้ตรัสออกมาอย่างเย็นชา“ข้าจะร่างราชโองการขึ้น ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป”
องค์ชายหกมองไปที่พ่อของเขาอย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่จะรู้สึกเสียใจต่อพี่ชายของเขา
“เมื่อเร็ว ๆ นี้ สาวกของนิกายปีศาจเหล่านั้นได้แทรกซึมเข้ามายังเมืองหลวง เจ้าได้หน้าที่รับผิดชอบในการตรวจสอบดูแลเรื่องนี้ สถานการณ์ตอนนี้ไม่ปลอดภัย เหล่าสาวกของนิกายปีศาจพวกนั้นกำลังทำให้โลกรู้ถึงการมีอยู่ของพวกมัน ดังนั้น พวกมันจะต้องวางแผนอะไรบางอย่าง…”
“เจ้าจะต้องใส่ใจเรื่องนี้ให้ดี”
“สำหรับพี่ชายของเจ้า ปล่อยให้เขาดูแลตัวเองไป”องค์จักรพรรดิทรงประกาศอย่างเฉยเมย
…
หลินจิ่วเฟิง ยังไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้
ถึงแม้เขาจะรู้ไปมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับเขา
เพราะอย่างไรเขาก็ยังไม่มีแผนที่จะจากไป
ตำหนักเย็น เป็นสถานที่ที่ดีในการลงชื่อเข้าใช้ เขาจะอยู่ที่นี่ต่อไป
หลังจากการมาเยือนขององค์ชายหก วันสงบสุขของ หลินจิ่วเฟิง ก็กลับมาอีกครั้ง
หลินจิ่วเฟิง ได้ลงชื่อเข้าใช้ และ ได้รับ โอสถปรับแต่งแกนกลาง ในการฝึกฝนแกนทองคำของเขาทุกวัน
เส้นทางการบ่มเพาะพลังในขั้นแกนทองคำไม่ใช่เรื่องง่าย ในขั้นพลังนี้มีทั้งหมด 9 ระดับ
ในขั้นแกนทองคำ มีแกนเทียม,แกนภายใน,แกนแท้ และ แกนทองคำ!
แต่ละระดับมี บน กลาง ล่าง และ สมบูรณ์
หลินจิ่วเฟิงอยู่ในขอบเขตแกนเทียม
เขาอยู่ห่างจากขอบเขตแกนภายในเพียงหนึ่งก้าว แต่เพราะเขามีโอสถปรับแต่งแกนกลางสำหรับการฝึกฝน ทำให้เขาไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถทะลวงขอบเขตได้
นอกเหนือจากการบ่มเพาะพลังแล้ว หลินจิ่วเฟิง ยังคงสำรวจสวนกว้างขนาดใหญ่ในตำหนักเย็น
สวนนี้ค่อนข้างใหญ่มาก เมื่อพิจารณาจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังงานด้านลบสุดขั้วอย่างที่นี่ เกรงว่าจะมีวิญญาณชั่วร้ายจำนวนมาก
หลินจิ่วเฟิง ได้สำรวจทั่วทั้งสวน แต่เขาก็ไม่พบวิญญาณชั่วร้ายแม้แต่ตนเดียว
เขาไม่พบแม้กระทั่งวิญญาณที่หลงทางเฉกเช่นพระสนมเจีย
สวนทั้งสวนได้กลายเป็นสถานที่ขุนลุกมากในตอนกลางคืน
แต่ไม่มีสัตว์ร้ายตัวใดย่างกลายเข้ามาที่นี่ สิ่งนี้ทำให้ หลินจิ่วเฟิง ถอนหายใจออกมา
เมื่อคิดอย่างรอบคอบและตระหนักได้ว่าไม่ใช่ใครก็สามารถเข้ามายังตำหนักเย็นนี้ได้เขาก็ถอนหายใจ
ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วคงไม่มีพวกวิญญาณชั่วร้ายอาศัยอยู่
“ข้าได้นำกระบี่สังหารปีศาจออกมาแล้ว โดยหวังว่าอย่างน้อยจะได้สังหารสัตว์ร้ายสักตัวสองตัว”
หลินจิ่วเฟิง ได้ถอนหายใจออกมา
หลังจากนั้นเขาก็ลงชื่อเข้าใช้อย่างเงียบ ๆ
หนึ่งเดือนได้ผ่านพ้นไป
การบ่มเพาะพลังของหลินจิ่วเฟิงได้มาถึงจุดสูงสุดและใกล้จะทะลวงขอบเขต
เขาได้หยุดการฝึกฝนชั่วคราวเมื่อเขามาถึงขอบเขตแกนเทียมระดับสมบูรณ์ เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะทะลวงขอบเขตผ่านไป
เขาได้ปรับโครงสร้างพื้นฐานและเสริมสร้างรากฐานการบ่มเพาะพลังของเขา
ในเวลานั้นอีกหนึ่งเดือนก็ผ่านพ้นไป
ในคืนนี้ หลินจิ่วเฟิง ได้ยุ่งอยู่กับการฝึกฝนของเขา
หลังจากกลืนโอสถปรับแต่งแกนกลางแล้ว เขาก็ได้นั่งอยู่ในที่พักของตนเอง
พลังปราณแท้จริงกำลังปะทุอยู่ในจุดตันเถียนของเขา และ ก่อตัวเป็นทรงกลมจากนั้นก็ค่อย ๆ ขัดเกลาเป็นแกนภายใน
จากนั้น ด้วยทักษะกระบี่ที่ยอดเยี่ยมทั้งสอง อย่าง ทักษะกระบี่ผ่าสวรรค์ขั้นสูงสุด และ ทักษะกระบี่ 22 เล่ม หลินจิ่วเฟิง ได้เปลี่ยนพลังปราณกระบี่จำนวนมากที่ล้อมรอบแกนภายในให้กลายเป็นมีชีวิตราวกับมังกร
บูม!
เมื่อกระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้น แกนภายในและพลังปราณกระบี่ ในตันเถียนของเขาก็ได้ปะทุออกมา พลังปราณกระบี่สีขาวได้เปล่งประกายล้อมรอบ หลินจิ่วเฟิง และ กระจัดกระจายไปทั่วทุกตารางนิ้วของร่างกายรวมถึงจิตวิญญาณของเขา
ในช่วงเวลาต่อมา ความแข็งแกร่งพื้นฐานของ หลินจิ่วเฟิง ได้ทะยานพุ่งสูงขึ้นจนน่ากลัว
ขอบเขตจิตวิญญาณของเขาก็ขยายตัวออกเช่นเดียวกัน
เขายังคงฝึกฝนโดยยังปิดเปลือกตาของเขาเอาไว้
แต่บริเวณโดยรอบทั้งหมดของลานนี้ล้วนอยู่ภายใต้ขอบเขตการมองเห็นของหลินจิ่วเฟิง
เขาสามารถสร้างสัมผัสวิญญาณขยายออกไปสำรวจพื้นที่ด้านนอก
ในเวลานี้ ทุกอย่างราวกับสามารถมองเห็นได้ผ่านจิตวิญญาณของเขา
ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่เขาอยู่ สวนกว้างใหญ่ที่เขาสำรวจอย่างถี่ถ้วน สถานที่เหล่านี้ล้วนปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
ทันใดนั้น หลินจิ่วเฟิง ก็ตระหนักได้ว่ามีคนแอบเข้ามายังตำหนักเย็น
ผู้บุกรุกเป็นชายในชุดดำสองคน
ทั้งคู่ เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นแกนทองคำ พวกเขาได้เดินไปรอบ ๆ และสำรวจพื้นที่ตำหนักเย็น
เมื่อสังเกตุเห็นชายสองคนนี้ หลินจิ่วเฟิง ไม่ได้เคลื่อนไหว
เขาเพียงสังเกตุมันอย่างเงียบ ๆ
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในขั้นแกนทองคำเช่นเดียวกับ หลินจิ่วเฟิง แต่สัมผัสวิญญาณของพวกเขา สามารถยายออกไปได้เพียงไม่กี่เมตรรอบตัวของพวกเขา ไม่เหมือนกับของ หลินจิ่วเฟิง ที่สามารถขยายออกไปได้ไกลกว่าพวกเขาหลายพันเท่า
ชายคนนึงที่เดินนำอยู่ข้างหน้าได้หันไปมองสหายของเขา
ขณะที่มองเห็นอีกฝ่ายกำลังทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เขาก็พลันโกรธจัด
“เหลาเอ้อ เหตุใดเจ้าจึงทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นนี้?”พี่ใหญ่คนนี้ได้ดุออกมา
“พี่ใหญ่ ตอนนี้พวกเราเป็นหัวขโมย ดังนั้นจำเป็นจะต้องระวังตัว”เหลาเอ้อ ได้ตอบกลับ
“ระวังกับผีน่ะสิ! ที่นี่คือตำหนักเย็นที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา มีเพียงองค์ชายที่ถูกปลดออกจากบัลลังก์เท่านั้น ดังนั้นนอกจากเขาแล้วย่อมไม่มีใครอื่น เหตุใดจะต้องทำตัวเช่นนี้?”พี่ใหญ่ได้ดุด่าออกมา
“จริงด้วย องค์ชายที่ถูกปลดคนนั้นไร้ซึ่งการบ่มเพาะพลังใด ๆ ไม่มีทางที่เขาจะตรวจพบพวกเรา”เหลาเอ้อ ได้รู้แจ้งในทันที
เขาตื่นเต้น และ เตะต้นไม้ที่มีลำต้นหนาเหมือนชาม
เพี๊ยะ!
พี่ใหญ่คนนี้รู้สึกโกรธมากกับสิ่งที่ เหลาเอ้อทำเขาได้ตบหัวอีกฝ่ายและดุด่า“แม้ว่าเขาจะไม่ค้นพบเรา แต่ที่นี่ก็เคยเป็นสถานที่ที่เราซ่อนศพของนิกายซากศพของเรา…”
“ดังนั้นพื้นดินเบื้องล่างจึงเต็มไปด้วยพลังงานด้านลบอย่างรุนแรง หากมีบางสิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นเพราะเจ้า เราทั้งสองคนจะเสียชีวิตในทันที”
เหลาเอ้อ ได้ยินเช่นนี้ เขาจึงไม่กล้าล้อเล่นอีกต่อไป
“เรามาที่นี่เพื่อสร้างด่านหน้าและสำรวจพื้นที่ ตอนนี้นิกายหลักทั้งหมดได้เผยตัวต่อโลกแล้ว นิกายซากศพของเราไม่สามารถเผยจุดอ่อนใด ๆ ออกมาได้”
“ดังนั้น เราจะต้องนำศพของท่านบรรพบุรุษที่ถูกฝังอยู่ในส่วนลึกของใต้ดินกลับไป เพื่อที่พวกเราจะสามารถฟื้นคืนศักดิ์ศรีกลับมาได้อีกครั้ง”พี่ใหญ่คนนี้ได้ตอบกลับ
“แต่พี่ใหญ่ เมื่อไหร่ที่นิกายซากศพของเรา จะได้เผยตัวออกมาให้โลกได้รับรู้?”เหลาเอ้อ กล่าวถามอย่างระวัง
“น่าจะอีก 10 ปีให้หลัง ตอนที่ประมุขนิกายของพวกเราบุกทะลวง…”
“เรามาที่นี่เพื่อสร้างด่านหน้า ไม่มีใครรู้ว่า ศพของบรรพบุรุษนิกายซากศพของเราถูกฝังอยู่ใต้ดินในสถานที่แห่งนี้ที่มีพลังงานด้านลบสุดขั้ว ดังนั้นพวกเราไม่ต้องรีบร้อน”
“เมื่อเราทำตามแผนที่ตั้งเอาไว้ได้สำเร็จ เราจะกลับไปรายงานทันที”พี่ใหญ่คนนี้ได้ตอบกลับอย่างจริงจัง
“พี่ใหญ่ ดูเหมือนว่าสาวกจำนวนมากจากนิกายปีศาจจะลอบเข้ามายังเมืองหลวงของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา และ ต้องการจะทำอะไรบางอย่าง”เหลาเอ้อ ได้พูดขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ข้าก็ได้ยินข่าวนี้มาเหมือนกัน ผู้อาวุโสของนิกายปีศาจได้ลอบเข้ามาที่นี่เพื่อสังหารจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา และ สร้างคลื่นลูกใหญ่ให้แก่พวกเขา”
“พวกเราจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ในตอนนี้ มองหาตำแหน่งที่แน่นอนที่เราต้องการ จากนั้นพวกเราจะจากไปในทันที”พี่ใหญ่คนนี้ได้ตอบกลับ
“พี่ใหญ่ ข้าคิดว่าอาจเป็นที่นี่”เหลาเอ้อ ในที่สุดก็ค้นพบที่ตั้ง
พี่ใหญ่คนนี้ได้พูดขึ้นอย่างดีอกดีใจ“ใช่ ตรงหนี้แหละ! มาทำเครื่องหมายบนแผนที่ของเราแล้วค่อยกลับมาใหม่อีกครั้ง”
ชายทั้งสองได้ลงมือจัดการอย่างรวดเร็ว
หลินจิ่วเฟิง รู้สึกตกตะลึง
เขาได้ลืมตาขึ้นในลานบ้านและบ่นพึมพัมออกมา“สาวกจากนิกายปีศาจมาที่นี่เพื่อลอบสังหารองค์จักรพรรดิ? ภายใต้ตำหนักเย็นแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ที่มีพลังด้านลบสุดขั้ว แต่ยังเป็นสถานที่ฝังศพลับของนิกายซากศพ บรรพบุรุษของพวกเขา?”
ดูเหมือนว่าเขาจะค้นพบความลับที่น่ากลัว
ฉะนั้นเขาจะต้องปิดปากอีกฝ่าย
หลังจากคิดได้เช่นนี้แล้ว หลินจิ่วเฟิง ก็ได้ดึงกระบี่สังหารปีศาจออกมา
เขาได้ใช้ทักษะกระบี่ 22 เล่ม ของเขาในการฟาดฟันการโจมตีที่เต็มไปด้วยจิตสังหารพุ่งผ่านกำแพงนับไม่ถ้วนออกไป