358 - บันทึกการเดินทางสู่ตะวันตก(ไซอิ๋ว)
358 - บันทึกการเดินทางสู่ตะวันตก(ไซอิ๋ว)
เอี้ยนลี่เฉียงไม่ได้หันกลับไปมอง แม้จะรู้สึกถึงสายตาที่ด้านหลังแต่เขาก็รู้ว่าพวกซูหลางไม่สามารถทำอะไรเขาได้
ต้องขอบคุณการรับรู้ทางจิตวิญญาณที่เหนือกว่าซึ่งเขาได้รับมาจากการฝึกฝนคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น รวมไปถึงการฝึกฝนวิชายิงธนูอย่างต่อเนื่องจึงทำให้ประสาทสัมผัสของเขายอดเยี่ยมขึ้นเป็นอย่างมาก
อันที่จริงเอี้ยนลี่เฉียงได้สังเกตเห็นคนสองคนที่ดูเหมือนจะแตกต่างจากคนอื่นๆในกลุ่มที่อยู่ถัดจากซูหลาง หัวหน้าคนกลุ่มนั้นน่าจะเป็นชายหนุ่มอายุ 20 ปีที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
อีกคนที่อยู่ข้างๆเขาเป็นผู้ชายที่ดูธรรมดามากซึ่งแทบจะไม่มีใครสังเกตเห็นในกลุ่ม
แต่เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกว่าชายคนนี้มีความแปลกประหลาดจากคนอื่น เขามีแขนเรียวยาวและไหล่กว้างผิดปกติ แม้ไม่ต้องบอกก็ทราบได้ว่าต้องเป็นยอดฝีมือการยิงธนูอย่างแน่นอน
เอี้ยนลี่เฉียงมีความรู้สึกว่าชายคนนี้อาจจะเป็นคนที่ลอบยิงธนูใส่ซูหลางในสนามประลองเป็นตาย เพราะมันคงเป็นเรื่องบังเอิญมากเกินไปหากจะมียอดฝีมือในการยิงธนูมาปรากฏตัวในกลุ่มของพวกเขา
เนื่องจากพวกเขาอยู่บนถนนที่พลุกพล่าน ทั้งสองฝ่ายจึงต้องเดินจากกันโดยไม่ทำอะไรเลย เพราะเมืองหลวงใช่ว่าจะเป็นสถานที่ที่พวกเขาจะทำอะไรก็ได้
เอี้ยนลี่เฉียงเดินไปที่สำนักงานของหนังสือพิมพ์ช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรฮั่น ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงใกล้ๆบริเวณประตูทางทิศใต้
เขาเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของเขาและเขียนบทที่ 10 ของ 'บันทึกการเดินทางสู่ตะวันตก' จนเสร็จโดยไม่รู้ตัว
วรรณกรรมเรื่องนี้เขาเริ่มเขียนมานานแล้ว เพียงแต่ว่ามันเสร็จไม่ทันหนังสือพิมพ์ฉบับแรกดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลื่อนมาลงในหนังสือพิมพ์ฉบับที่สอง
เนื่องจากภูมิหลังของ 'บันทึกการเดินทางสู่ตะวันตก' ค่อนข้างไม่สอดคล้องกับโลกนี้ เอี้ยนลี่เฉียงจึงต้องแก้ไขข้อความอย่างเหมาะสม หรือถ่ายทอดหลักการอันสูงส่งด้วยคำพูดที่สามารถเข้าใจง่าย
เพื่อทำให้ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมใน 'บันทึกการเดินทางสู่ตะวันตก' เอี้ยนลี่เฉียงจึงทำการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องบางส่วนกลายเป็นเรื่องราวของราชวงศ์ก่อนหน้านี้ซึ่งก็คือราชวงศ์เว่ย
เรื่องราวมีจุดหักมุมที่แปลกประหลาดและเป็นส่วนผสมของความจริงและเรื่องโกหก
มันเป็นเรื่องที่แปลกใหม่รับรองได้ว่าเมื่อถูกเล่าออกมาจากปากของนักเล่าเรื่องจะทำให้เรื่องนี้เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว
เมื่อเขียนถึงบทที่สิบ เอี้ยนลี่เฉียงก็เหลือบมองท้องฟ้ายามค่ำคืนซึ่งดูเหมือนว่าน่าจะถึงเวลานัดหมายของเขากับลู่เปียนแล้ว
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเขียนเรื่องทั้งหมดให้เสร็จในคืนเดียว เนื่องจากยังเหลือเวลาที่ต้องลงต้นฉบับในหนังสือพิมพ์อีกสองวันดังนั้นเอี้ยนลี่เฉียงจึงไม่มีความรีบร้อนมากเกินไป
หลังจากนั้นเขาก็ปิดประตูหน้าต่างของห้องทำงานและนั่งลงที่เตียงเพื่อส่งวิญญาณของเขาไปที่เทวสถานแห่งสวรรค์
ภายในเทวสถานสวรรค์ที่งดงามตระการตาเต็มไปด้วยเสาสีดำสูงตระหง่านหลายร้อยวา ภายในความมืดของเสาสีดำเหล่านั้นมีจุดแสงไฟอยู่ด้านบนสุด
เมื่อสังเกตอย่างระมัดระวัง ทุกจุดเป็นดาราจักรที่กำลังหมุนวน พื้นของเทวสถานสวรรค์ก็ส่องประกายระยิบระยับ ตัวอักขระโบราณมากมายล่องลอยไปทั่วท้องฟ้า
แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกของเอี้ยนลี่เฉียงที่ก้าวเท้าเข้าไปในเทวสถานสวรรค์ แต่เขาก็รู้สึกท่วมท้นไปด้วยความอิ่มเอมใจในทุกครั้งที่มาที่นี่
ศิลาสวรรค์ขนาดมหึมาลอยอยู่กลางเทวสถานสวรรค์ ตั้งตระหง่านอย่างสง่าผ่าเผย ส่องประกายระยิบระยับ เงาของสัตว์ต่างๆที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาสามารถเห็นได้เลือนลางภายใต้ความสดใสของมัน
เอี้ยนลี่เฉียงเดินไปข้างหน้าศิลาสวรรค์ จากนั้นจึงวางมือของตัวเองไว้ที่ศิลาสวรรค์
เอี้ยนลี่เฉียงค้นหาจำนวนพลังวิญญาณของเขาที่สามารถใช้ได้ว่ามีเท่าไหร่ ในช่วงเวลานี้เขาได้สังหารผู้คนไปมากกว่าสองร้อยคนแล้วมันน่าจะสะสมได้พอสมควร
วิญญาณที่เร่าร้อนของพวกเขาจางหายไปในวงล้อสีทอง ท่ามกลางแสงสว่างคือใบหน้าของชาวชาตูที่มีจำนวนมากที่สุด
บนวงแหวนสีแดงและสีน้ำเงินในวงล้อสีทองคือ 'พลังชีวิต' และ 'ค่าสติปัญญา' ทั้งคู่มีจำนวนมากกว่าสองหมื่นคะแนน
วงล้อสีเทายังคงว่างเปล่าโดยไม่มีข้อบ่งชี้ใดๆ เนื่องจากเอี้ยนลี่เฉียงยังไม่เคยสร้างสิ่งมีชีวิตอะไรขึ้นมาเลย
พูดตามตรง นี่เป็นครั้งแรกที่เอี้ยนลี่เฉียงใช้เครื่องแคปซูลของเล่นด้วยตัวเองอย่างแท้จริง และเขาก็ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าวงล้อสีเทามีไว้เพื่ออะไร
วัตถุที่ดูเหมือนลูกบอลคริสตัลภายในวงล้อสีเทามีแสงสีทอง ของช้างสีทองขนาดเล็กจำนวนมากมายมหาศาลกำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใน
ช้างสีทองตัวเล็กเหล่านี้เป็นพลังงานที่เอี้ยนลี่เฉียงเก็บสะสมไว้ในศิลาสวรรค์ เมื่อเขาล้างตันเถียนทุกวันเพื่อทำให้การฝึกฝนคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของเขามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ด้วยจังหวะการบ่มเพาะตามปกติ เอี้ยนลี่เฉียงไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ปีในการควบแน่นช้างหกงาตัวเล็กๆเหล่านี้ขึ้นมาได้ โชคดีที่เขาค้นพบวิธีการนี้ได้โดยบังเอิญ
เพื่อเพิ่มประโยชน์สูงสุดของวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นเขาจึงได้ขับไล่พลังลมปราณจากตันเถียนของเขาเข้าสู่ศิลาสวรรค์จนว่างเปล่า ในไม่ช้าลมปราณของเขาก็จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว
'ตอนนี้พลังก็มีมากมายมหาศาลแล้ว มันจะสร้างมนุษย์ขึ้นมาได้หรือไม่…'
เมื่อความคิดนั้นผุดขึ้นในหัวของเอี้ยนลี่เฉียงใบหน้าของฟู่กวงก็ปรากฏขึ้นในศิลาสวรรค์ที่ส่องประกายแวววาว
“หากเจ้าเลือกที่จะเปิดใช้งานตราประทับแห่งชีวิตของมนุษย์ ปริมาณพลังงานที่เจ้าใส่เข้ามาในศิลาสวรรค์เพียงพอที่จะสร้างมนุษย์ได้ถึง 15 คน!”
“ท่านกลับมาแล้ว”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ!”
“… ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เหตุไฉนจึงอ่านความคิดของข้าได้”
“นี่ไม่ใช่ร่างกายของข้ามันเป็นเพียงจิตของข้าที่ทิ้งไว้ที่นี่เท่านั้น แน่นอนว่าเรื่องอ่านความคิดของเจ้าไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย!” รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นบนใบหน้าที่จริงจังของฟู่กวง
“เจ้าตัดสินใจเปิดใช้งานตราประทับแห่งชีวิตสำหรับสิบห้าคนแล้วหรือยัง”
“เดี๋ยวก่อน อย่าเร่งข้า! ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจ!” เอี้ยนลี่เฉียงตะโกนออกมาและเริ่มใช้ความคิดอย่างจริงจัง
“เมื่อเร็วๆนี้ข้าพบปัญหาบางอย่างซึ่งอาจทำให้ชีวิตข้าตกอยู่ในอันตราย ข้าต้องการหาผู้ช่วยบางอย่างท่านพอจะมีคำแนะนำไหม…?”
"คำแนะนำ? ข้ายังไม่รู้เลยว่าเจ้าต้องการผู้ช่วยแบบไหน!”
“จริงหรือเปล่าที่ข้าสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตใดขึ้นมาก็ได้?”
“ตราบเท่าที่พวกมันเคยมีชีวิตอยู่ในโลกเจ้าสามารถสร้างขึ้นได้ทุกอย่าง แต่หากพวกมันเป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการมากเกินไปก็ทำไม่ได้
มีกฎบางอย่างในเทวสถานสวรรค์ การสร้างสิ่งมีชีวิตที่นอกเหนือจากกฎแห่งสวรรค์ควบคุมได้จะถือเป็นการก่อกบฏ!”
“แล้วตามที่พลังของข้าสะสมมามีตัวเลือกกี่ชนิดกัน”
“มีทั้งหมด 3,750,000 สายพันธุ์!”
3,750,000 สายพันธุ์?! เอี้ยนลี่เฉียงตกใจกับตัวเลขนี้ แม้ว่าเขาจะเตรียมจิตใจไว้แล้ว แต่เขาไม่คิดว่าจะสามารถเปิดใช้งานตราประทับแห่งชีวิตได้มากมายขนาดนี้!
“นอกจากมนุษย์แล้ว มีสัตว์ชนิดใดอีกที่สามารถทำให้ข้ารอดพ้นจากอันตรายที่ไม่รู้เรื่องอันตรายล่วงหน้าได้?” เอี้ยนลี่เฉียงมองฟู่กวงด้วยดวงตาที่กระตือรือร้น
“อันตรายที่เจ้าพูดถึงนั้นคลุมเครือและเป็นส่วนตัวเกินไป คำจำกัดความของอันตรายอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลหรือสิ่งมีชีวิต
อย่างเช่นหากว่าเจ้าอยู่ในทะเลทราย อันตรายที่จะได้รับอาจจะเป็นพายุทะเลทรายหรือไม่ก็สัตว์ร้ายบางชนิด หากเจ้าอยู่ในทะเลเจ้าก็อาจจะได้รับอันตรายจากพายุหรือไม่ก็สิ่งอื่นๆ !”
เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกว่าข้อเรียกร้องของเขามากเกินไปจริงๆ
“อย่างไรก็ตาม…” ดูเหมือนว่าฟู่กวงยังพูดไม่จบ “ยังมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่ทำให้เจ้าสามารถอ่านใจคนได้เจ้าสนใจหรือไม่…”
เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาคิดว่าเจ้าสิ่งนี้แหละคือสิ่งที่เขาต้องการ
"โอ้? มันคือสิ่งมีชีวิตอะไรกันแน่?”
ฟู่กวงไม่ได้ตอบ ใบหน้าของเขาจางหายไปแล้วสิ่งที่ปรากฏขึ้นคืองูตัวเล็กๆสีขาว
"นั่นคืออะไร?"
“งูพลังจิต…”