ตอนที่14 เจ้าเมืองหลงเยวี่ย
ตอนที่14 เจ้าเมืองหลงเยวี่ย
เมื่อเดินออกจากเรือนประมุขตระกูล เย่เจวี๋ยก็สะบัดแขนเสื้อด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
“เจ้ากุ้งแห้ง พวกเราไปกันเถอะ”
“ขอรับนายน้อย!”
ระหว่างทางกลับเรือนของพวกเขา ทุกคนที่เดินผ่านไปผ่านมาและพบเห็นเย่เจวี๋ยต่างก็ให้การทักทายอย่างนอบน้อม รวมไปถึงเอ่ยปากทักทายเจ้ากุ้งแห้งที่อยู่ข้างกายด้วยเช่นกัน ซึ่งเจ้ากุ้งแห้งไม่เคยรู้สึกมีหน้ามีตาแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ทั้งนี้ยังรู้สึกซาบซึ้งจากใจจริงที่ได้รับโอกาสนี้จากผู้เป็นนาย
ปัจจุบัน เย่เจวี๋ยกลายมาเป็นที่เลื่องลือหลังจากศึกนองเลือดระหว่างตระกูลจบลง ทุกคนต่างเงยหน้ามองเย่เจวี๋ยด้วยความยำเกรงไว้ซึ่งความเคารพอยู่หลายส่วน ถึงขนาดที่ว่าแค่เย่เจวี๋ยเบนสายตามาจับจ้องยังรู้สึกเป็นเกียรติ นี่หาใช่เรื่องธรรมดาทั่วไปรึไม่? บัดนี้ตัวเขาหาใช่เศษสวะผู้มีเนตรจักรพรรดิสายฟ้าอีกต่อไป ด้วยมือคู่นี้ผืนพิภพจักต้องอยู่ในกำมือ!
“นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว!”
ทันทีที่ถึงเรือนพัก เฉี่ยวเอ๋อก็รีบวิ่งเข้ามาทักทายดูมีท่าทีตื่นเต้นดีใจ ทว่าเมื่อเห็นเจ้ากุ้งแห้งอยู่ข้างกายเย่เจวี๋ย นางพลันปั้นหน้าแสดงความสงสัยออกมา แต่มิได้เอ่ยถามอะไร อย่างไรก็ตาม พอเฉี่ยวเอ๋อกำลังรินน้ำชาให้นายน้อยของเธออยู่อย่างปกติสุข...
“มัวยืนดูอันใด?”
ทันใดนั้นเย่เจวี๋ยพลันตวาดใส่เจ้ากุ้งแห้งทันทีและกล่าวต่อว่า
“ไปช่วยนางสิ”
เจ้ากุ้งแห้งชะงักชะงันไปชั่วครู่ก่อนจะนึกขึ้นได้ เขารีบเข้าไปช่วยเฉี่ยวเอ๋อรินน้ำชาทันที เขาหาใช่คนโง่เง่าไม่ แค่ได้ยินผู้เป็นนายกล่าวแบบนั้นก็เข้าใจความหมายได้อย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นท่าทีของเขาก็คล้อยดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ยามนี้พบเห็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งพยายามแย่งรินชาให้เย่เจวี๋ย เห็นท่าทีของเฉี่ยวเอ๋อที่ไม่ยอมให้เจ้ากุ้งแห้งเข้ามาช่วยแบบนี้ เขาก็ปั้นหน้าดูร้อนใจ
“นายน้อย...”
เฉี่ยวเอ๋อหันเหลือบหางตาไปมองเจ้ากุ้งแห้ง คล้ายว่าจะต้องการกล่าวอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็หยุดไป
“เอ่อ...ให้...ให้ข้าช่วยดีกว่า...”
ในที่สุดเจ้ากุ้งแห้งก็เอ่ยปากเสนอตัวออกไป
“นายน้อย...”
เฉี่ยวเอ๋อเอ่ยกล่าวขึ้นมาอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
“มีอันใดก็รีบกล่าวมา อย่าทำตัวเป็นแม่สามีเฉกเช่นนี้”
เย่เจวี๋ยหยิบถ้วยชาที่ทั้งสองพยายามแย่งกันริน และยกขึ้นกระดกหมดเกลี้ยงในคำเดียว วางถ้วยชาตบลงบนโต๊ะเสียงดังปัง ก่อนเอ่ยปากขึ้นมาราวกับรำคาญ
ก่อนจะเอ่ยตอบ เฉี่ยวเอ๋อเหลือบมองเจ้ากุ้งแห้งอีกครั้ง ดูจากสีหน้าท่าทางของเธอไม่อยากรู้จักเขาสักเท่าไหร่และกล่าวขึ้นว่า
“นายน้อย ท่านมีข้าคอยดูแลคนเดียวก็เพียงพอแล้ว เหตุใดถึงยังต้องหาคนมาเพิ่มอีกด้วย?”
ตลอดที่ผ่านมา ทั้งเรื่องเสื้อผ้าและที่พักอาศัยของเย่เจวี๋ย เฉี่ยวเอ๋อก็คอยดูแลจัดการมาตั้งเนินนานแล้ว ซึ่งนางเองก็มั่นใจอย่างมากว่า ตัวนางเองทำทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบดีแล้ว เป็นเหตุให้นางไม่พอใจเล๋กน้อยที่เย่เจวี๋ยต้องหาคนรับใช้มาเพิ่มทั้งที่ไม่มีเหตุผลเลย
เรื่องดูแลนายน้อย แค่นางเพียงคนเดียวก็เกินพอแล้ว
ทว่าพอได้ยินคำกล่าวของเฉี่ยวเอ่อแบบนั้น เจ้ากุ้งแห้งก็ปั้นหน้าไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่านางตั้งใจจะขับไล่ตัวเขา ดังนั้นจึงทุบอกไปทีหนึ่ง ยืดตัวกล่าวขึ้นอย่างภาคภูมิใจว่า
“แค่สาวน้อยอย่างเจ้าจะไปดูแลนายน้อยได้ดีขนาดไหนเชียว? แถมเพราะนายน้อยเป็นห่วงกลัวเจ้าเหนื่อยยังไงล่ะ ถึงต้องให้เข้ามาช่วยอีกแรง เจ้าควรมีความสุขมากกว่ามาไล่ข้าสิ อีกอย่างเจ้าก็เป็นผู้หญิง ช่วยในบางเรื่องไม่ได้หรอก”
“อันใด? เฉกเช่นเรื่องใดบ้าง ไหนเจ้าพูดมา?”
เฉี่ยวเอ๋อใบหน้าแดงระเรื่อเริ่มมีโทสะ แต่ทันใดนั้นก็โดนเจ้ากุ้งแห้งสวนกลับมาทันที
“อันใดงั้นรึ? เจ้าช่วยถูหลังให้นายน้อยตอนอาบน้ำได้หรือไม่?”
“แล้วเจ้าสามารถยืนหยัดปกป้องนายน้อยโดยไม่สนภัยอันตรายได้หรือไม่?”
“เจ้าช่วยส่งกระดาษชำระตอนที่นายน้อยถ่ายหนักได้หรือไม่?”
“เจ้าสามารถไปเป็นเพื่อนเที่ยวที่หอนางโลมยามราตรีกับนายน้อยได้หรือไม่?”
“ข้า...ข้า...”
เฉี่ยวเอ๋อร์ที่ได้ยินแบบนั้น สีหน้าของเธอก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ พอโดนอีกฝ่ายจี้ถามออกไปตรงๆ แบบนี้ เธอเองก็รู้สึกอายจนพูดอะไรไม่ถูก
“ไม่ได้หรอกใช่ไหมล่ะ!”
คล้อยหลังพูดจบ เจ้ากุ้งแห้งก็ยกมือเท้าสะเอวของเขาดูภาคภูมิใจอย่างมาก เสมือนกับเพิ่งคว้าชัยจากการต่อสู้มา
“ช่างเถอะ”
เย่เจวี๋ยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขากล่าวหยุดไม่ให้พวกเถียงกันต่อและหันไปมองเฉี่ยวเอ๋อกล่าวว่า
“เอาเช่นนี้แล้วกัน ต่อไปพวกเจ้าสองคนต้องช่วยกันทำงาน เข้ากันให้ได้ล่ะ”
“ขอรับนายน้อย!”
เจ้ากุ้งแห้งรีบขานตอบเสียงดังฟังชัด
“แต่...”
เฉี่ยวเอ๋อคล้ายว่าต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ถูกเย่เจวี๋ยกล่าวขัดด้วยความรำคาญ
“ไม่มีแต่ ข้าตัดสินใจแล้ว”
เฉี่ยวเอ๋อได้แต่จำใจกลืนคำพูดเหล่านั้นเก็บลงไป ขานตอบเสียงอ่อนเพียงว่า
“เข้าใจแล้วนายน้อย...”
เย่เจวี๋ยไม่เข้าใจนางคนนี้เลยจริงๆ พลางคิดกับตัวเองว่า
‘สาวน้อยอย่างเจ้า มีคนมาช่วยทำงานแบบนี้สมควรดีใจมิใช่รึไง? หรือมิฉะนั้นแล้วที่ปฏิเสธอีกฝ่ายเพียงเพราะอิจฉา?’
การที่เย่เจวี๋ยพาเจ้ากุ้งแห้งกลับมาด้วย เป็นเพราะเขามีเจตนาดีต่อตัวนาง ประการแรกคือ ที่ผ่านมานางคอยเฝ้าดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของเขามาโดยตลอด ซึ่งก็มีบางช่วงบางตอนที่เธอดูลำบากอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่อยากให้นางต้องเหนื่อยแบบแต่ก่อน ก็เลยพาเจ้ากุ้งแห้งให้มาช่วยอีกแรง ประการที่สองตอนที่เขาออกไปข้างนอก การที่นางอยู่ในเรือนพักคนเดียวเป็นอะไรที่น่าเบื่อยิ่งนัก จึงต้องการหาเพื่อนมาสักคนมาอยู่กับนาง
กล่าวได้ว่า เย่เจวี๋ยทำเพื่อนางจากใจจริง ทว่านางไม่เพียงจะไม่รับน้ำใจของเขา แต่ยังดูไม่พอใจปราศจากความสุขอีกต่างหาก ประการแรกตัดทิ้งไปได้แล้ว จึงเหลืออยู่เพียงเหตุผลเดียว สาวน้อยนางนี้กำลังหึงเขากับเจ้ากุ้งแห้งอย่างงั้นรึ?
ครุ่นคิดไปครุ่นคิดมา เย่เจวี๋ยจึงตัดสินใจเอ่ยถามนางขึ้นมาว่า
“สาวน้อย หึงข้ากับเจ้ากุ้งแห้งงั้นรึ?”
“ชะ-ใช่ที่ไหนกัน! ข้าเกลียดนายน้อย เชอะ!”
เฉี่ยวเอ๋อเบนหน้าหนีด้วยความเขินอาย
“ฮ่าฮ่าๆ”
ทั้งเย่เจวี๋ยและเจ้ากุ้งแห้งต่างมองหน้าหากันก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังนั้น
“อ๊ะ! นายน้อย! นายน้อยได้รับบาดเจ็บ!”
คล้ายว่าเฉี่ยวเอ๋อเพิ่งจะมาสังเกตเห็น นางกรีดร้องลั่นเรือนพักจนทั้งสองแสบแก้วหู
“เจ้าเพิ่งรู้ตัวงั้นรึ? ไยไม่ค่อยกรีดร้องพรุ่งนี้เลยล่ะ?”
เจ้ากุ้งแห้งถึงกับกล่าวประชดประชันขึ้นใส่ เธอรินน้ำชาให้นายน้อยก็นานใช่ย่อย แต่กว่าจะรู้ตัวว่านายน้อยบาดเจ็บ ทั้งที่เลือดอาบท่วมตัวขนาดนั้น นี่นางตาบอดรึยังไง?
แต่เจ้ากุ้งแห้งย่อมไม่ทราบ สิ่งที่นางเพิ่งได้รับรู้วันนี้มันมากมายเกินไป แค่ได้ยินนายน้อยของนางบอกว่า มัคนรับใช้ใหม่มานางยิ่งไม่สนใจเรื่องอื่นเลย
“แค่บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เป็นอะไรมาก พวกเจ้าสองคนรีบไปเตรียมอ่างสมุนไพรให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้ ขอสมุนไพรที่ดีที่สุด”
“ขอรับนายน้อย!”
“ค่ะนายน้อย!”
เฉี่ยวเอ๋อกับเจ้ากุ้งแห้งรีบหมุนตัวกลับเข้าไปเตรียมอ่างสมุนไพรทันที ทั้งสองที่ช่วยกันทำงานย่อมมีประสิทธิภาพดีกว่าอย่างที่คิดไว้ ก่อนหน้านี้เวลาที่เย่เจวี๋ยได้รับบาดเจ็บ หน้าที่เตรียมอ่างสมุนไพรจะมีแค่เฉี่ยวเอ๋อคนเดียว ซึ่งใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวัน แต่พอมีผู้ช่วยแบบนี้เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยามทุกอย่างก็เสร็จสิ้น อ่างสมุนไพรร้อนๆ ทั้งใหญ่กลิ่นหอมสุคนรถฟุ้งกระจายจนเกิดเป็นหมอกควัน
เย่เจวี๋ยเหลือบมองเฉี่ยวเอ๋อเล็กน้อยและกล่าวว่า
“เห็นหรือไม่? ข้าทำเพื่อเจ้าทั้งนั้น จงรับน้ำใจข้าไว้เถิด”
เฉี่ยวเอ๋อก้มหน้าโค้งให้พลางแอบเงยมองเย่เจวี๋ยเล็กน้อย สีหน้าของเธอดูค่อนข้างซับซ้อน
เย่เจวี๋ยถอดเสื้อผ้าออกสองสามชิ้น และก้าวเท้าขึ้นจุ่มลงไปในอ่างสมุนไพร ทางด้านเฉี่ยวเอ๋อรีบเบี่ยงหน้าหนีออกไปอย่างเงงียบงัน ใบหน้าของเธอแดงก่ำลามถึงใบหู แม้ว่าปกติเธอจะทำแบบนี้มาโดยตลอด แต่จวบจนตอนนี้เธอก็ยังใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะทุกที
ผิวพรรณสีข้าวสาลีผ่องสวย ร่างกายล้ำกำยำดูดี ดวงตาสีดำขลับแสนลึกล้ำดั่งบ่อน้ำ ผมยาวสลวยเงางาม จมูกโค้งเป็นดั้งสันช่างดูน่าเกรงขาม...
แช่ไปได้สักพักหนึ่งจนเย่เจวี๋ยเริ่มรู้สึกถึงความผ่อนคลาย ยามนั้นตัวสมุนไพรก็ค่อยๆ ดูดซึมเข้าร่างกายผ่านรูขุมขน เข้ารักษาเนื้อเยื่อและกายเนื้อที่เปื่อยเน่าให้กลับมาปกติอีกครั้ง สิ่งเหล่านี้ทำให้เย่เจวี๋ยเพลิดเพลินอย่างยิ่งยวด
“พวกเจ้าสองคนออกไปได้แล้ว”
สิ้นเสียง เย่เจวี๋ยก็ลับตาทั้งสองข้างลงและขัดสมาธิในอ่างสมุนไพร
เฉี่ยวเอ๋อกับเจ้ากุ้งแห้งพยักหน้าและถอยออกไป
อาการบาดเจ็บที่เกิดจากการสัประยุทธ์เดือดกับวิญญาณร้ายก่อนหน้า เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง มันเริ่มสมานรักษาอย่างแช่มช้าจนหายดีเป็นปกติ
เย่เจวี๋ยลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากเฉี่ยวเอ๋อและเจ้ากุ้งแห้งออกไปสักครู่ใหญ่ หันไปมองดาบสะบั้นมังกรที่วางอยู่ข้างอ่างสมุนไพร ภายในใจรู้สึกตื่นเต้นจนอดไม่ไหวแล้ว รอจนกว่าจะแช่งน้ำสมุนไพรเสร็จก่อนเถอะ ข้าขอลองทดสอบขุมพลังของดาบเล่มนี้ดูสักตั้ง!
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับดีดนิ้ว
คล้อยหลังแช่งอ่างสมุนไพรเต็มหนึ่งชั่วยาม อาการบาดเจ็บทั่วร่างของเย่เจวี๋ยก็สมานกันจนหายดีไปกว่าแปดในสิบส่วน สวมเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยดีจึงหยิบดาบสะบั้นมังกรและผลักประตูเดินออกไป
อากาศวันนี้ช่างแจ่มใส มีแดดส่องนวลอ่อน
ลานกว้างหลังเรือนเป็นสถานที่ฝึกฝนขนาดใหญ่ ทั้งยังเป็นสถานที่ที่เย่เจวี๋ยมักจะเดินทางมาฝึกทุกวี่วัน และภายในลานกว้างแห่งนี้เองก็มีหินก้อนยักษ์ตั้งอยู่ก้อนหนึ่ง เย่เจวี๋ยเดินตรงไปหาหินก้อนยักษ์ดังกล่าวทันที พร้อมชักดาบสะบั้นมังกรออกมา
คมดาบเคลือบรัศมีแสนสะพรึงถูกปลดปล่อยออกมาทันที เย่เจวี๋ยยึดเท้าทั้งสองข้างตั้งหลักให้มั่นโดยทันที จากนั้นก็กระชับจับด้ามดาบด้วยมือทั้งสองข้างอย่างมั่นคง ก่อนจะออกแรงฟันใส่ก้อนหินขนาดยักษ์เต็มกำลัง โดยปราศจากสุ้มเสียงปะทะอันใด หินก้อนยักษ์ถูกแยกออกเป็นสองส่วนในเสี้ยวพริบตา รอยตัดช่างเรียบเนียนอะไรเช่นนี้ เสมือเต้าหู้ถูกผ่าโดยด้ายไหม
หากมีคนมาพบเห็นภาพฉากนี้เข้า พวกเขาคงต้องตกตะลึงแข็งค้างไปชั่วขณะ การจะตัดหินก้อนยักษ์ให้ไร้ซึ่งสุ้มเสียงและเรียบเนียนขนาดนี้ได้ แม้แต่ยอดฝีมือของตระกูลใหญ่อื่นๆ ยังทำได้ยากเช่นกัน
เย่เจวี๋ยอดสูดหายใจเย็นแช่มลึกมิได้ด้วยความตะลึง ดาบเล่มนี้คมยิ่ง! ดาบเล่มนี้สามารถผ่าหินก้อนยักษ์ให้ขาดครึ่งภายในพริบตาเดียวโดยปราศจากแม้แกระทั้งสุ้มเสียง หากนำมาประยุกษ์ใช้กับเพลงดาบ ลองคิดดูสิว่า ดาบเล่มนี้จะยิ่งทรงพลังจนน่ากลัวเพียงใดกัน
เย่เจวี๋ยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง อาศัยอาวุธสังหารเล่มนี้ ผนวกกับพละกำลังเทียบเท่ากระทิงคลั่งสามสิบหกตัวของเขา แม้เผชิญหน้ากับยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วง ยังไม่จำเป็นต้องกลัวเกรงแต่อย่างใด
เย่เจวี๋ยเพิ่งเก็บดาบสะบั้นมังกรลงฝักได้ไม่นาน ทันใดนั้นก็มีคนรับใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามา รีบคุกเข่าต่อหน้าเย่เจวี๋ยและรายงานด้วยความเคารพยิ่งว่า
“นายน้อย! เจ้าเมืองหลงเยวี่ย ประมุขตระกูลลั่ว ตระกูลหลิน และตระกูลฉื่อมาขอพบขอรับ!”
“เจ้าเมืองหลงเยวี่ยด้วยรึ? เขามาทำอะไรที่นี่?”
เย่เจวี๋ยพลันนึกได้ว่า เจ้าเมืองหลงเยวี่ยยังเป็นหนึ่งในสามขั้วอำนาจภายในเมืองแห่งนี้ เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นแน่นทันที คนระดับเขามาทำอะไรที่นี่กัน?
เมืองหลงเยวี่ย นอกจากตระกูลหยางที่ซึ่งเป็นตระกูลใหญ่และทรงอำนาจที่สุดแล้ว รองลงมาก็เป็นตระกูลเย่ และตำหนักเจ้าเมืองเป็นอับดับสาม ส่วนบรรดาตระกูลใหญ่อื่นๆ ไม่มีค่าอะไรให้จดจำเท่าไหร่นัก
อย่างไรก็ดี เจ้าเมืองหลงเยวี่ยผู้นี้เป็นชายมากความทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง และต้องการให้สองตระกูลใหญ่สมานฉันท์กัน ทั้งหมดก็เพื่อเข้าปกครองทั้งเมืองให้อยู่ภายใต้เงื้อมมือของเขา
ดังนั้นตระกูลหยางกับตระกูลเย่จึงไม่ค่อยถูกกับทางตำหนักเจ้าเมืองเท่าไหร่
ตอนนี้เจ้าเมืองหลงเยวี่ยเดินทางมาหาเป็นการส่วนตัว เกรงว่าจะต้องมีเรื่องอะไรสักอย่าง แต่ก็ช่างมันเถิด เขาอาศัยตัวเองเพียงลำพังก็สามารล้างบางตระกูลหยางได้แล้ว กับแค่เจ้าเมืองและสามประมุขจากตระกูลใหญ่ข้างทาง พวกมันจะมีปัญญาทำอะไรเขาได้?
“ท่านประมุขทราบเรื่องนี้หรือไม่?”
พอคิดได้เช่นนั้นก็เอ่ยถามออกไปทันที เจ้าเมืองหลงเยวี่ยหรือชื่อจริงก็คือหลงอ้าวเทียน ได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเมืองหลงเยวี่ย ณ ปัจจุบัน ระดับพลังอยู่ที่อาณาจักรนภาม่วง ส่วนประมุขตระกูลทั้งสามล้วนแล้วแต่มีระดับพลังอยู่ที่ อาณาจักรก่อกายาระดับเก้าขั้นสุด การที่แห่กันมาแบบนี้คงเอากำลังคนของแต่ละฝ่ายมาติดสอยห้อยตามมาด้วยแน่นอน ดังนั้นกำลังคนของอีกฝ่ายย่อมเหนือกว่าหลายเท่า ซึ่งมันมากเพียงพอแล้วที่จะคุกคามตระกูลเย่ได้
“เรียนนายน้อย ข้ายังไม่ได้รายงานให้ท่านประมุขเลยขอรับ”
“อืม อย่าบอกเรื่องนี้ให้ท่านประมุขได้รับทราบ ตอนนี้เขากำลังเพ่งสมาธิเพื่อหลอมรวมเนตรจักรพรรดิสายฟ้ากับร่างกายอยู่ เอาล่ะ พาข้าไปพบเจ้าเมืองเดี๋ยวนี้ อยากจะเห็นเสียจริงว่า มันลากสังขานมาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่”
เย่เจวี๋ยเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าจริงจัง
“ขอรับ!”
คนรับใช้พาเย่เจวี๋ยไปที่โถงรับแขกขนาดใหญ่ที่คอยต้นรับแขกกิติมาศักดิ์โดยเฉพาะ เมื่อเย่เจวี๋ยเข้ามาภายในโถงดังกล่าว เขาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนรออยู่ แต่ละคนพกดาบเตรียมอาวุธกันมาครบมือ สีหน้าดูจริงจังเคร่งขรึม เมื่อเห็นเย่เจวี๋ยเดินเข้ามา พวกเขาต่างกวาดสายตามองอย่างเยือกเย็นโดยปราศจากความสุภาพแม้แต่น้อย
สายตาเย็นชาคู่เหล่านั้นทำให้บรรยากาศภายในโถงเย็นเฉียบจับขั้วกระดูก แต่เย่เจวี๋ยกลับไม่แยแสคนพวกนั้นเลย ก้าวย่างแต่ละย่างก้าวช่างมั่นคงและหนักแน่นดุจดั่งภูเขาไท่ซาน สีหน้านิ่งสงบไม่แปรเปลี่ยน เสมือนกับว่าบรรยากาศแสนเย็นยะเยือกนี้ไม่สามารถทำอะไรเขาเลยได้สักนิด