ตอนที่11 ความลับที่ซ่อนอยู่
ตอนที่11 ความลับที่ซ่อนอยู่
“ถ้าเช่นนั้นก็ตามที่เจวี๋ยเอ๋อกล่าวไป”
เย่ชิงฉงกล่าวคล้อยคล่ำคลายน้ำเสียงอ่อนลง ดูผ่อนคลายขึ้นมาก หาใช่เย็นชาเร้าอารมณ์ร้อนแรงดั่งก่อนหน้า ในเสี้ยวขณะอึดใจก็โยนร่างของเย่ชุ่นซินทิ้งไปโดยไม่แยแส
เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นเย่หยวนซานและคนอื่นๆ ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก เย่เจวี๋ยเองก็รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อยเช่นกัน ความสำคัญของเขาภายในใจเย่ชิงฉงคงมีน้ำหนักมากพอที่จะสามารถรับฟังและเชื่อใจได้ ไม่เช่นนั้นเขาคงคลั่งสังหารเย่ชุ่นซินดั่งกระทิงคลั่งไปเสียแล้ว
“ไปเอาตัวมันมา”
เย่ชิงฉงสะบัดแขนเสื้อใส่ไปทีหนึ่งและกล่าวต่อว่า
“พาเย่ชุ่นซินกลับไปที่เรือน ดูแลมันให้ดี อย่าปล่อยให้มันตาย”
คำว่า ‘ความตาย’ กัดกินเข้าทรวงลึกภายในจิตใจ บ้างนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ท้ายที่สุดนี้กรรมตามสนองเย่ชุ่นซินแล้ว
ชั่วขณะนั้นเอง บรรดาองค์รักษ์ประจำตระกูลเย่กลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาและอุ้มร่างของเย่ชุ่นซินออกไป ยามนี้อีกฝ่ายสิ้นสติไปนานแล้ว หลงเหลือแค่เพียงลมหายใจรวยริน
เย่เจวี๋ยคลี่ยิ้มอย่างรู้เท่าทัน คงเป็นไปไม่ได้ที่จะดัดสันดานคนแบบนี้ได้ในทันทีทันใด เสมือนสุนัขจรที่กินสิ่งปฏิกูลเป็นอาจิน จะให้เปลี่ยนแปรงนิสัยมากินเนื้อกินผักได้อย่างไร? แต่เอาเถอะ คำอุปมาอุปไมยเฉกเช่นนี้ พูดไปก็มีแต่ทำให้บรรพบุรุษตระกูลเสียหาย
อย่างไรก็ตาม หลังจากเรื่องราวในวันนี้พ้นผ่านไป เย่ชิงฉงก็สัมผัสได้ทันทีว่าหลานชายของเขาคล้ายว่าจะแตกต่างไปจากที่รู้จักเล็กน้อย แต่สำหรับที่ว่าแตกต่างอย่างไร เขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเช่นกัน
เย่ชุ่นซินผู้หยิ่งผยองโดนส่งตัวออกไปเป็นที่เรียบร้อย คลื่นพายุแห่งหายนะได้สงบลง พวกผู้อาวุโสที่เหลือต่างพาเหล่าสมาชิกตระกูลเย่แยกย้ายกลับไป
เหล่าสมาชิกตระกูลเย่โดยรอบต่างรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง พวกเขาแต่ละคนต่างต้องการเข้ามาแสดงความยินดีกับเย่ชิงฉงกับความสำเร็จดังกล่าว ยามนี้เองได้มียอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงปรากฏตัวขึ้นในตระกูลเย่แล้ว ตำแหน่งอย่างตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองหลงเยวี่ย ดูท่าต่อไปคงหนีไม่พ้นตระกูลเย่เป็นแน่แท้!
อาจกล่าวได้ว่า คลื่นระลอกเก่าซัดผ่านคล้ายหลังวิกฤตระหว่างความเป็นความตายสิ้นสุด ต่อจากนี้ก็คงมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามา
ทว่าในเวลาเดียวกัน ก็มีชายร่างหนึ่งผู้เป็นศิษย์รับใช้ของตระกูลเย่วิ่งเข้ามาเป็นการด่วน รีบคุกเข่ารายงานบางสิ่งกับเย่ชิงฉงทันทีว่า
“ท่านประมุข พวกเราไม่พบตัวหยางอู๋ซิน แต่ดันไปพบทางลับใต้บ่อบัวของตระกูลหยางเข้าโดยบังเอิญ ตอนนี้พวกเราจึงรีบมารายงานท่าน จะให้เข้าตรวจสอบภายในนั้นหรือไม่?”
เย่ชิงฉงยังคงสับสนงุนงงอย่างยิ่งยวด เขาเพิ่งจะออกจากการเก็บตัวเมื่อสักครู่นี่เอง ย่อมไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างข้างนอก ซึ่งรวมไปถึงเรื่องที่เย่เจวี๋ยฆ่าล้างตระกูลหยางไปจนมีชื่อเสียงกระชอนไปทั่วทั้งเมือง
ดูเหมือนว่าศิษย์รับใช้คนดังกล่าวก็พึงคิดได้เช่นกันว่ายามนี้ตนควรขอความเห็นจากผู้ใด จึงรีบหันไปทางเย่เจวี๋ยประสานมือให้ขอคำตอบด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน
“พาข้าไป”
เย่เจวี๋ยเอ่ยตอบทันควัน
“ขอรับ”
“มีโอกาสสูงยิ่งที่หยางอู่ซินจะซ่อนตัวอยู่ในนั้น ข้าจะเข้าตรวจสอบด้วยตัวเองเป็นการดีที่สุด”
สิ้นเสียงกล่าวจบ ดวงตาคู่นั้นของเย่เจวี๋ยพลันแข็งค้างประดุจน้ำแข็ง ทิ้งทวนวาจาแสนเด็ดเดี่ยวไร้ซึ่งความกลัวและย่างเท้าก้าวออกไปทันที
“เดี๋ยวก่อน! เจวี๋ยเอ๋อ นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ระหว่างที่ข้าเก็บตัว?”
เย่ชิงฉงรีบเอ่ยปากถามขึ้น
ยังไม่ทันที่เย่เจวี๋ยจะปริปากตอบ ก็มีลูกหลานตระกูลเย่คนหนึ่งรีบเดินเข้ามารายงาน เรียบเรียงจัดสรรลำดับเหตุการณ์ให้ฟังโดยสังเขปเพียงสองถึงสามประโยค จัดได้ว่าเนื้อหาครบถ้วนรัดกุมเข้าใจง่าย
คล้อยหลังได้ยินดังดังนั้น เย่ชิงฉงถึงกับแสดงสีหน้าตกใจสุดขีด หลายชายของเขาเพียงคนเดียวสามารถฆ่าล้างบรรดาลูกหลานตระกูลหยางจนไม่เหลือ? ไม่เพียงแค่บรรดาลูกหลานเท่านั้น แม้แต่หยางติงเทียนและเหล่าผู้อาวุโสยังถูกสังหารสิ้นราวกับมดปลวก?
“ถูกต้องแล้วท่านปู่ ตอนนี้ท่านเพิ่งออกจากการเก็บตัว ควรไปพักผ่อนเสียหน่อย ส่วนที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าจัดการเอง”
เย่เจวี๋ยเอ่ยตอบอย่างเฉยเมย ดูมีท่าทีไม่ได้ใส่ใจแม้สักนิด ประดุจว่าเหตุการณ์ล้างบางตระกูลหยางอันเหี้ยมโหดกลางเมืองหลงเยวี่ยเป็นเพียงการสะบัดมือไปมา
พอพูดจบเย่เจวี๋ยพลันหมุนตัวเดินจากออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว เย่ชิงฉงเฝ้ามองแผ่นหลังของหลานชายตัวเองเดินไกลลิบออกไป พลันสะท้อนดั่งภาพลวงเห็นเป็นเงาของผู้นำตระกูลเย่ทับซ้อนกับร่างของเย่เจวี๋ย
หลานชายของเขาในตอนนี้ดูแตกต่างจากก่อนหน้าจริงๆ เย่ชิงฉงที่เห็นแบบนี้ก็ยิ่งมั่นใจขึ้นไปอีก อนาคตของตระกูลเย่ในปัจจุบันมีผู้รับช่วงต่อแล้ว คิดได้ดังนั้น เขาพลันคลี่ยิ้มขึ้นบนมุมปากเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข
แสงตะวันสาดส่องสรรพสิ่งบนพิภพจนสว่างจ้าชัดเจน กลุ่มเมฆที่ล่องลอยท่ามกลางเวหาเบาบางโปร่งใส ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล
เย่เจวี๋ยเดินทางตรงไปยังตระกูลหยาง ภายใต้การนำของศิษย์รับใช้คนดังกล่าวที่มารายงาน พอมาถึงก็เห็นเป็นสองข้างทางขนาบข้างสะพานทางเข้า ประดับประดาด้วยศิลาก้อนยักษ์สลักประณีต มากลวดลายช่างงามสวย ระหว่างทางมีคนของตระกูลเย่กลุ่มหนึ่งที่แบ่งกำลังมาตรวจค้นตระกูลหยาง คอยเฝ้าระวังอยู่ทั่วทุกมุม บริเวณนี้ปกตินี้ไม่มีอะไรน่าสงสัย ไม่จำเป็นต้องกังวล
“นายน้อย”
เมื่อเหล่าสมาชิกตระกูลเย่เห็นว่าเย่เจวี๋ยเดินทางมาถึงแล้ว พวกเขาต่างก็โค้งคำนับและรีบเปิดทางให้ทันที
เย่เจว๋ยเดินตรงเข้าไปตรวจสอบบริเวณบ่อบัวต้องสงสัยดังกล่าว แต่ไหนล่ะทางลับ? ขณะที่เขากำลังยืนสงสัยอยู่ จู่ๆ ก็มีเด็กหนุ่มตัวแห้งผอมตรงเข้ามาประสานมือให้ และยกเท้ากระทืบพื้นดิน ณ จุดหนึ่งอย่างแรง ทันใดนั้นพื้นดินดังกล่าวก็ค่อยๆ ยุบตัวลงอย่างไม่น่าเชื่อ บ่อบัวที่แต่เดิมดูปกติไม่ต่างจากทั่วไป จู่ๆ ก็ถูกแยกเป็นซีกซ้ายและขวา เปิดช่องตรงกลายเป็นบันไดลับให้เดินลงไปต่อ ปรากฏว่าที่ชายหยุ่มร่างผอมแห้งเหยียบลงเป็นจะเป็นกลไกลับที่ใช้เปิดเจ้าสิ่งนี้ขึ้น
เย่เจวี๋ยเห็นแบบนั้นพลันตกใจไม่น้อยเช่นกัน ที่แท้ภายในตระกูลหยางยังมีความลับเช่นนี้ซุกซ่อนไว้อยู่ด้วย
“ฮ่าฮ่า...ข้าค้นพบเจ้าสิ่งนี้หลังจากมาที่นี่ได้ไม่นาน”
ชายหนุ่มร่างผอมแห้งยกมือขึ้นมาถูกจมูกเล็กน้อยด้วยความภาคภูมิใจ
“ทำได้ดีมาก”
เย่เจวี๋ยหันมาตบไหล่เขาเบาๆ ราวกับเป็นรางวัล
“หากข้าลงไปตรวจสอบและพบว่าหยางอู่ซินซ่อนตัวอยู่ภายในนี้จริงๆ ข้าจักตบรางวัลให้”
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งนายน้อยเย่”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มร่างผอมบางก็รีบกล่าวขอบคุณด้วยความดีอกดีใจ
บรรดาสมาชิกคนอื่นๆ นับสิบต่างจับจ้องไปที่ชายหนุ่มร่างผอมบางด้วยความอิจฉาขึ้นมาทันที
ไอ้หมอนี่ช่างโชคดีกระไรเยี่ยงนี้ มันแค่จะไปหาที่เยี่ยวเท่านั้นแต่ดันบังเอิญไปเจอทางเข้าลับเข้า เหตุไฉนพวกเขาถึงไม่ดื่มน้ำก่อนออกมาสำรวจตั้งแต่เมื่อเช้าให้มากกว่านี้ จะได้หาที่เยี่ยวในอาณาเขตของตระกูลหยางบ้าง
“ไม่เป็นไร”
เย่เจวี๋ยกล่าวตอบไปคำหนึ่ง และหมุนตัวค่อยๆ เดินลงบันไดลับกลางบ่อบัวลงไป
“นายน้อย พวกเรา...”
สมาชิกตระกูลเย่นับสิบรีบพับแขนเสื้อขึ้น ดูกระตือรือร้นอย่างมากที่จะติดตามลงไปสำรวจด้วยคน ถ้าพวกเขาสามารถช่วยเย่เจวี๋ยได้บ้าง บางทีพวกเขาอาจได้รับการตบรางวัลเหมือนกับไอ้ผอมแห้งคนนี้เช่นกัน
“พวกเจ้าไม่ต้องลงมา คอยเฝ้าระวังอยู่ภายนอกไปเสีย แค่ข้าคนเดียวก็เกินพอแล้ว”
และก่อนจะเดินลงไป เย่เจวี๋ยก็เอียงคอเหลือบมองพวกเขาพลางกล่าวต่อว่า
“ไม่แน่บางทีภายในนี้อาจมีอันตรายซ่อนอยู่ ข้าไม่วางใจพอที่จะให้พวกเจ้าลงมาเสี่ยงได้”
เดิมทีพอโดนปฏิเสธไปแบบนั้นพวกเขาก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย แต่พอได้ยินประโยคหลัง แต่ละคนก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาแทน ที่แท้เหตุผลที่นายน้อยเย่ไม่อยากให้พวกเขาลงไปด้วยกัน ก็เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยนี่เอง นี่ยิ่งทำให้เกิดความจงรักภักดีต่อตัวเย่เจวี๋ยเข้าไปใหญ่ ทว่าพวกเขาหารู้ไม่ว่า ที่เย่เจวี๋ยไม่อยากให้พวกเขาลงไปทั้งหมดเป็นเพราะ ไม่อยากให้คนพวกนี้มาถ่วงแข้งถ่วงขาเฉยๆ
“นายน้อยเย่โปรดระวังตัวให้มาก!”
เหล่าสมาชิกตระกูลเย่ล้วนกล่าวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“อืม”
เย่เจวี๋ยกล่าวตอบกลับไปโดยไม่แยแส เขามุ่งหน้าเดินลงไปห้องใต้ดินลับทันที ทว่าทันใดนั้นเขาพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงชะโงกหน้าขึ้นมาถามชายหนุ่มร่างผอมแห้งนั้นว่า
“จริงสิ เจ้าชื่ออะไร?”
“เอ่อ...ทุกคนมักเรียกข้าว่ากุ้งแห้ง”
เจ้ากุ้งแห้งตะลึงงันเล็กน้อย ก่อนจะรีบกล่าวตอบกลับไปทันทีอย่างปลื้มปีติ
“อืม กุ้งแห้งงั้นรึ เป็นชื่อที่ไม่เลว”
คล้อยหลังชมเชยไปคำหนึ่ง เย่เจวี๋ยก็เหลียวหน้ากลับและเดินลึกลงไปในห้องใต้ดินโดยตรง
เย่เจวี๋ยหาได้ทราบไม่ว่า หลังจากที่เขาเข้ามาแล้ว ฝั่งที่อยู่ด้านบนกลับครึกครื่นขึ้นมาทันที บรรดาสมาชิกตระกูลเย่ต่างแห่เข้ามาล้อมเจ้ากุ้งแห้งกันอย่างจ้าละหวั่น
“เจ้ากุ้งแห้ง ดูท่านายน้อยจะสนใจเจ้าเป็นพิเศษ!”
“เจ้านี่มันโชคดีเสียจริงๆ แค่หาที่เยี่ยวก็ได้รับความโปรดปรานจากนายน้อยถึงเพียงนี้!”
“จงตั้งใจรับใช้อารักขานายน้อยให้ดีในอนาคต นายน้อยท่านนี้ย่อมปฏิบัติกับเจ้าอย่างเป็นธรรมแน่นอน”
“บ้าเอ๊ย! ข้ารู้สึกอิจฉาเจ้าโดยแท้!”
หากเย่เจวี๋ยขึ้นมาเห็นภาพฉากของแต่ละคน ณ ตอนนี้ เขาเองก็คงพูดไม่ออก แค่เอ่ยปากถามชื่อไปแท้ๆ แต่เจ้ากุ้งแห้งก็ได้รับความเคารพจากบรรดาสมาชิกเหล่านี้ในชั่วพริบตา แต่กระนั้นเองต้องบอกก่อนเลยว่า ถ้าหาไม่เจอก็เท่ากับว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้รับรางวัลใดๆ
ดังนั้นเงื่อนไขเบื้องต้นคือ จำเป็นต้องพบหยางอู๋ซินภายในห้องใต้ดินลับแห่งนี้
ภายในทางเดินลับใต้เดิน มีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟเก่าแก่ผุพังตามทาง อากาศค่อนข้างอับชื้น ทั้งยังมีตะไคร่น้ำเกาะแกะอยู่มากมายทั่วกำแพง บรรยากาศดูวังเวงน่ากลัวอยู่หลายส่วน เย่เจวี๋ยเดินตรงเข้ามาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ทอดสายตายาวออกไปก็ยังไม่เห็นทางสิ้นสุดเสียที นี่ราวกับว่าเส้นทางลับใตเดินแห่งนี้ทอดยาวไร้ทางตัน
คล้อยหลังเดินสำรวจต่อไปอีกครู่ใหญ่ ในที่สุดเย่เจวี๋ยก็พบกับกำแพงทางตันเสียที สองคู่คิ้วขมวดแน่น สีหน้าดูจริงจังขึ้นฉับพลันก่อนจะค่อยๆ ย่างเท้าก้าวสำรวจต่ออย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้นเอง เมื่อเย่เจวี๋ยเหลือบไปมองมุมหนึ่งข้างกำแพง เขาถึงกับเบิกตาโตด้วยตวามตะลึง ในสายตาของคนอื่นถ้าพบเห็นภาพฉากเหล่านี้คงรู้สึกสะอิดสะเอียนจนต้องอาเจียนออกมาแล้ว เพราะทั่วพื้นดินบริเวณนั้นเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลสีดำ แต่อย่างไรก็เถอะ พวกมันดันเคลื่อนไหวยุกยิกไปมาราวกับฝูงแมลงน่าขยะแขยงสิ้นดี
กลิ่นฉุนเน่าเหม็นโชยออกมาแตะจมูกของเขาเข้า แม้จะเป็นเย่เจวี๋ย เขาเองยังมิอาจต้านทานกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงแบบนี้ได้ เขารีบยกมือปิดจมูกทันทีอย่างสุดจะทน กลุ่มควันสีดำขุ่นมัวลอบคละคลุ่งทั่วห้วงอากาศ พอสังเกตเข้าดีๆ ปรากฏว่าที่แห่งนี้อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายพลังแสนชั่วร้าย!
และจุดที่รุนแรงที่สุดคงหนีไม่พ้นบริเวณกำแพง ราวกับว่าต้นกำเนิดของกลุ่มควันสีดำทั้งหมดมาจากหลังกำแพง
ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลควบแน่พลังปราณลงในกำปั้นและซัดทำลายกำแพงจนเป็นรูโหว่
เป็นอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ ด้านหลังกำแพงแห่งนี้มีเงาของใครบางคนกำลังนั่งขัดสมาธิเข้าญาณอยู่บนพื้น
ทันทีที่เย่เจวี่ยก้าวเข้ามา พลันกวาดสายตาเห็นกลุ่มควันสีดำปกคลุมไปทั่วบริเวณ โดยส่วนใหญ่ล้วนไหลผ่านทางอากาศหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของเงาคนผู้นั้น
เสมือนกับว่าเขาคนนั้นกำลังดูดซับมันอยู่ เย่เจวี๋ยสัมผัสได้โดยไว กลิ่นอายความแกร่งกล้าของเขาคนดังกล่าวกำลังเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ บรรยากาศโดยรอบเริ่มควบก่อขึ้นเป็นเกลียวลมปราณขุมหนึ่งซึ่งมีตัวอีกฝ่ายเป็นจุดศูนย์กลาง รูม่านตาของเย่เจวี๋ยหดแคบตีบลงในทันใด จากประสบการณ์ของเขา นี่สามารถบอกได้ทันทีว่า อีกฝ่ายกำลังจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วง!
เมื่อหมอกควันสีดำและเกลียวคลื่นลมปราณอ่อนกำลังลง เย่เจวี๋ยก็เริ่มมองออกแล้วว่าคือผู้ใด ที่แท้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจาก หยางอู่ซิน ภายในตระกูลหยางไม่มียอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงกันเลยสักคน แต่ตอนนี้อาจกล่าวได้ว่ากำลังจะมีปรากฏขึ้นแล้ว ที่แท้...นายน้อยปัญญาอ่อนหยางอู่ซินคนนี้ต่างหากที่เป็นอัจฉริยะแห่งตระกูลหยางตัวจริงเสียงจริง แม้เย่เจวี๋ยจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังฝึกปรือเคล็ดวิชาใด แต่ที่แน่ใจได้ก็คือนี่เป็นเคล็ดวิชาสายมาร
นอกจากเย่เจวี๋ยจะไม่หนีแล้ว เขายังเดินตรงเข้าไปประจันหน้ากับหยางอู่ซินและถามขึ้นว่า
“หยางอู่ซิน เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
หยางอู่ซินผู้ซึ่งนั่งขัดสมาธิหลับตามาโดยตลอด ทันใดนั้นก็ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมเผยนัยน์ตาสีดำขลับราวกับปีศาจ ทั่วอณูกายาเปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย เขาค่อยๆ พยุงร่างลุกขึ้นมา ปัจจุบันเขาใกล้จะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงได้สำเร็จแล้ว แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังหยุดการบ่มเพาะของตนไว้ก่อน
“หึหึ...น่าอร่อย...น่าอร่อย...”
หยางอู่ซินเดินโซซัดโซเซราวกับผีดิบตรงเข้ามาหาเย่เจวี๋ย เอ่ยปากพึมพำบางอย่างซ้ำวนไปมาพร้อมกับน้ำลายที่ไหลออกมาเป็นทาง
ถึงอีกฝ่ายจะดูไร้การป้องกันแค่ไหน ทว่าเย่เจวี๋ยกลับไม่กล้าประมาทแม้สักนิด เพราะกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของหยางอู่ซินในขณะนี้ กล่าวได้ว่าน่าเกรงกลัวยิ่งยวด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหมอกควันสีดำที่โคจรกลางห้วงอากาศ หรือเป็นเพราะพลังความแกร่งกร้าวที่ออกมาจากตัวมัน
เสี้ยวพริบตาต่อมา เย่เจวี๋ยเร่งฝีเท้าร่นถอยออกมาทันที คู่ดวงตาของเขาหรี่แคบเฝ้าระวังมากขึ้นหลายส่วน และทันใดนั้นเองจู่ๆ หยางอู่ซินก็ยกดมือขึ้น คลื่นพลังมารทั่วห้วงอากาศควบแน่นกลายมาเป็นวัตถุสีดำน่าขยะแขยง เคลื่อนไหวดั่งใจนึกราวกับปรสิตมีชีวิต พุ่งเข้าโจมตีเย่เจวี๋ยอย่างเดือดดุประดุจกรงเล็บมารนับร้อยพัน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคลื่นพลังมารและปรสิตสีดำพวกนี้ที่พุ่งทะลักเข้าโจมตีจากทั่วทุกทิศ เย่เจวี๋ยกลับแสยะยิ้มฉีกกว้าง รีบเปิดปากอ้าออกอย่างไม่มีท่าทีรีบร้อน ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ และสูดเอาทั้งคลื่นพลังมารและปรสิตสีดำเหล่านั้นเข้าร่างอย่างหิวกระหาย ภายในชั่วพริบตาเดียว ทั้งพลังมารทั้งปรสิตสีดำ หรือแม้แต่หมอกควันและสิ่งปฏิกูลโดยรอบบริเวณก็ไม่มีเหลือ
กายวิญญาณเขมือบสวรรค์ ไม่มีสิ่งใดที่กลืนกินมิได้!