ตอนที่10 โทษตัวเอง
ตอนที่10 โทษตัวเอง
เย่เจวี๋ยหาได้สนใจเหตุการณ์เหล่านี้แต่อย่างใด เขาเบนสายตาเหลือบไปยังเย่ชุนซินที่นอนเนื้อตัวชักอยู่กับพื้น สภาพช่างน่าสมเพชยิ่งกว่าสุนัขเน่าตาย ปัจจุบันขณะเขาตระหนักทราบได้ชัดแจ้ง ตนได้สูญเสียวรยุทธ์และพลังบ่มเพาะไปทั้งหมดแล้ว แม้แต่ลมหายใจยังแผ่วเบาลงหลายส่วนนัก หัวใจอ่อนแอแต่ละจังหวะ วิ่งเต้นดูไม่แข็งแกร่งอย่างที่เคย
แน่นอน ที่เย่ชุ่นซินตกอยู่ในสภาพอันแสนตกต่ำเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของเขาเอง
กล่าวได้ว่า หากต้องการกำจัดเย่ชุ่นซินให้สิ้นซากเสียบัดนี้ ง่ายยิ่งกว่าบี้มดปลวก แต่เย่เจวี๋ยกลับยืนนิ่ง สองมือไพล่หลัง หลับตาทั้งสองข้างลงราวกับกำลังสูดอากาศแช่มพักผ่อน เย่ชุ่นซินในขณะนี้ไม่ต่างอะไรกับชยะชิ้นหนึ่งแล้ว ขอเพียงเย่เจวี๋ยพึงพอใจย่อมสามารถเอาชีวิตได้ทุกเมื่อ ทว่าตัวเย่เจวี๋ยเองกลับแสดงออกเช่นนี้ออกมา ไม่มีท่าทีจะลงมือหรือกำลังคร้านขี้เกียจก็มิทราบ
โดยมิทันสังเกต สี่ผู้อาวุโสใหญ่ที่กำลังเข้าญาณขัดสมาธิอยู่ แอบหรี่ตามองเขาเป็นตาเดียว พอเห็นว่าไม่มีท่าทีเคลื่อนไหว พวกเขาก็ลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างลับๆ และหลับตาลงอีกครั้งด้วยความอุ่นใจ
โอสถแปรโลหิตวางอยู่บนฝ่ามือของสี่ผู้อาวุโสใหญ่ ยามนี้โอสถเม็ดกลมสวยเริ่มเปร่งแสงประกายรัศมีสีเขียวอ่อนออกมา กลิ่นสุคนรสหอมปลดปล่อยกระจายออกไปทั่วบริเวณ สร้างความน่าตกตะลึงแก่บรรดาผู้คนตระกูลเย่ที่กำลังเฝ้ายามเป็นอย่างยิ่ง โอสถแปรโลหิตถูกสี่ผู้อาวุโสใหญ่ดูดซับอย่างช้าๆ เวลาไหลผ่านดั่งสายน้ำไป
ผ่านไปชั่วยามหนึ่งได้ กลิ่นอายสุดแกร่งกล้าอันไร้ขอบเขตพลันแผ่ซ่านกระจายทั่วฟ้าดิน ไพศาลล้นพ้นสารทิศออกไป ทั่วทั้งเรือนตำหนักตระกูลเย่ถึงกับสั่นสะท้าน ขุมพลังเอ่อล้นออกมาจนบรรดาผู้คนตระกูลเย่รอบข้างถึงกับต้องร่นถอยออกมานับสิบก้าว
“ถอยไปเร็ว! สี่ผู้อาวุโสกำลังทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงแล้ว!”
เสียงหนึ่งตะโกนลือลั่น สีหน้าของผู้คนบริเวณนั้นกลายเป็นเคร่งขรึมทันที แต่ยากเกินกว่าจะปกปิดความตื่นเต้นที่แฝงอยู่ได้
สวรรค์! สี่ยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว! ตระกูลเย่ ญ ตอนนี้ยังมีผู้ใดกล้าทัดเทียมอีกหรือไม่? ดั่งคำกล่าวที่ว่า ต่อให้เป็นสุนัขขึ้นสวรรค์ วันหน้าล้วนมีแต่ความสุข!
อย่างไรก็ตามแต่ สี่ผู้อาวุโสใหญ่ยังคงนั่งขัดสมาธิไม่ขยับเขยื้อน ใบหน้าอันย่นเหี่ยวนิ่งสงบไม่แปรเปลี่ยน โอสถแปรโลหิตในมือส่องแสงระยิบระยับเช่นเดิม ราวกับว่ากระบวนการดูดซับยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ดี
“เดี๋ยวก่อน! ผู้อาวุโสทั้งสี่ยังไม่ทะลวงผ่านไปได้มิใช่รึ? แล้วขุมพลังที่แผ่ซานออกมานี้...เป็นของใครกัน?”
เยาวชนคนหนึ่งเอ่ยถามทันทีด้วยความสงสัย
“นี่...หาใช่ของพวกเขาทั้งสี่ไม่”
เย่เจวี๋ยเปล่งเสียงอาสาตอบให้อย่างเฉยเมย ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นทอประกายระยับ แต่แฝงไปด้วยความสุขุม
ไม่นานนัก แม้แต่เหล่าเยาวชนตระกูลเย่ที่มีระดับพลังยุทธ์ไม่สูงมากนักก็สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่าสะพรึงนี้ได้ชัดขึ้นและชัดขึ้นเรื่อยๆ นี่มิได้มาจากทางด้านสี่ผู้อาวุโสใหญ่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ แต่มาจากด้านนอกโถงรับรอง....ผู้ใดกันแน่?
พอคิดได้ดังนั้น พวกเขาพลันเสียวสันหลังวูบ เย็นสะท้านยันขั้วกระดูก เยาวชนบางคนถึงกับหายใจไม่ออก
ยิ่งได้ยินเย่เจวี๋ยกล่าวเสริมเช่นนั้นอีก พวกเขาเริ่มหวาดกลัวจัด
“หรือเป็นไปได้มิว่า...จะมียอดฝีมือจากตระกูลหยางหลบซ่อนตัวอยู่ในตระกูลเย่แห่งนี้!? มัน...มันจะลอบสังหารพวกเรางั้นรึ?! มัน...มันต้องใช่แน่ๆ!!”
คนหนึ่งคาดเดาเปล่าประกาศดังลั่น ก่อนจะร้องออกมาด้วยความกลัวตาย ท่าทีเริ่มอยู่ไม่สุขราวกับคิดจะวิ่งหนี
เย่เจวี๋ยสามารถล้างบางตระกูลหยางได้ แน่นอนว่าตระกูลหยางย่อมสามารถล้างบางตระกูลเย่ได้เช่นกัน
พอเห็นปฏิกิรยาของเด็กหนุ่มคนนี้ คนอื่นๆ ก็เริ่มแตกตื่น เริ่มเข้าใจผิดจนคิดวิ่งหนีเตลิดออกไป
แต่เด็กหนุ่มร่างกำยำหนึ่งหนึ่งก็คว้าคอตัวต้นเหตุขึ้นมาที่พยายามวิ่งหนี ภาพฉากในตอนนี้ดูน่าขันไม่น้อย พร้อมตะคอกใส่ว่า
“เจ้าโง่! มีนายน้อยคุ้มกะลาหัวอยู่ทั้งคน ยังจะกลัวอันใดอีก! เจ้านี่มันขี้ขลาดเสียจริง!”
เมื่อคำกล่าวนี้เปล่งดังออกมา ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่เย่เจวี๋ยโดยพร้อมเพรียง รวมไปถึงพวกที่คิดจะวิ่งหนีเมื่อสักครู่เช่นกัน เห็นดังนั้นพวกเขาก็พลันอุ่นใจขึ้นมาหลายส่วน
“ใช่แล้ว! มีนายน้อยคอยปกป้องอยู่ทั้งคน ผู้ใดมันกล้ารุกรานตระกูลเย่!”
“ฮ่าฮ่า เจ้ากล่าวถูกแล้ว พวกที่คิดหนีสักครู่ช่างขี้ขลาดตาขาวโดยแท้!”
“นายน้อย พวกเราพร้อมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านจนตัวตาย บุกน้ำตะลุยไฟจนชีวิตจะหาไม่ ยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงก็หาได้กลัวไม่เช่นกัน!”
“หึ! อย่าว่าแต่อาณาจักรนภาม่วง แม้แต่อาณาจักรปราณ...”
พอเห็นพวกเขาดูฮึกเหิมขึ้นทันตา เย่เจวี๋ยก็อดหัวเราะมิได้ กลิ่นอายอันน่าสะพรึงที่แผ่ซานออกมาเมื่อสักครู่ ปรากฏอยู่ทางโถงใหญ่อีกแห่งและกำลังตรงมาทางนี้ ยิ่งอีกฝ่ายสาวเท้าย่างเข้าใกล้ จะยิ่งรู้เลยว่า รัศมีกลิ่นอายนี้ช่างดุดันและน่าเกรงขามยิ่งนัก ในท้ายที่สุดร่างเจ้าของกลิ่นอายดังกล่าวก็เผยโฉมออกมา
เขาผู้นั้นคือเย่ชิงฉง
ทุกคนที่เห็นดังนั้นต่างร้องอ๋อเข้าใจในทันใด ปรากฏว่ามิใช่ยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงจากตระกูลหยาง แต่เป็นท่านประมุขตระกูลเย่อย่างเย่ชิงฉง ทันใดนั้นช่างร่างกำยำก็เดินเข้าไปตบกะโหลกเจ้าพวกขี้ขลาดที่ก่อนหน้าทำท่าทำทางจะวิ่งหนีโดยตรง
“เจ้าพวกโง่! ต่อให้เป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงจากตระกูลหยางบุกเข้ามาจริงๆ แต่คิดหรือว่ามันเหล่านั้นจะรอดพ้นน้ำมือของนายน้อยเย่เจวี๋ยได้?”
“พวกเจ้ามันช่างขี้ขลาดนัก!”
จากนั้นก็มีอีกคนเดินขึ้นมาด่าซ้ำเป็นทอดๆ ต่อกันไป จนท้ายที่สุดเยาวชนตัวต้นเหตุก็ถอยไปหดหัวหลบอยู่ ณ มุมหนึ่งด้วยสีหน้าแสนเศร้าใจ
ณ ปัจจุบัน ทุกคนต่างจับจ้องไปที่เย่ชิงฉง แต่ละคนยกมือขึ้นประสานและคาราวะทำความเคารพทันทีด้วยความนอบน้อม
ส่วนพวกขี้กลัวก่อนหน้าฉวยโอกาสเปลี่ยนเรื่องทันที โดยเอ่ยทักขึ้นว่า
“คะ-คาราวะท่านประมุข ยามนี้หายดีแล้วงั้นรึท่าน?”
“เหอะ ไอ้พวกขี้ขลาด เมื่อครู่ยังคิดจะวิ่งหนี ทีตอนนี้กลับประจบสอพอ ช่างไร้ยางอาย!”
เย่ชิงฉงยกมือปัดอย่างลวกๆ คล้ายว่ามิได้ใส่ใจ เขาในปัจจุบันมีสง่าราศีอย่างยิ่งยวด เห็นได้ชัดว่าการมาครั้งนี้มิได้มาพบปะพวกเขา สายตาเหม่อลอยไปไหนต่อไหนพลางเอ่ยปากถามเสียงเข้มขึ้นว่า
“เจวี๋ยเอ๋อ ตอนนี้เย่ชุ่นซินอยู่ข้างๆ เจ้าใช่หรือไม่?”
ถึงแม้กลิ่นอายจะอ่อนแอถึงขีดสุด แต่เย่ชิงฉงยังจำได้แม่นยำ ต้องล้อเล่นแล้วกระมัง เย่ชุ่นซินคิดลอบสังหารตน ต่อให้อีกฝ่ายกลายเป็นเถ้าถ่านก็ยังจำได้ฝังใจ
และขณะนี้เอง กลุ่มคนตระกูลเย่ก็เพิ่งสังเกตเห็นถึงบางสิ่งผิดแปลกออกไป ดวงตาทั้งสองข้างของเย่ชิงฉงกลายเป็นสีขาว ปราศจากลูกตาดำ ราวกับเฒ่ามารเนตรขาว
“ท่าน...ท่านประมุข ดวงตา...ดวงตาของท่าน...”
บางคนถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจสุดขีด
“ขอแสดงยินดีด้วยท่านปู่ ที่บรรลุสู่อาณาจักรนภาม่วงได้”
สำหรับเย่เจวี๋ยมิได้แปลกใจอะไร เขาทราบดีว่าดวงตาของท่านปู่ถูกพิษร้ายกัดกินจนบอดไปแล้ว และผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็นไปตามที่คาดไว้
“ใช่แล้ว เจวี๋ยเอ๋อ ข้าจักต้องขอบคุณเจ้าอย่างยิ่งยวดที่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาบ่มเพาะพลังนี้แก่ข้า ส่งผลให้ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงได้ตามใจปรารถนา”
น้ำเสียงของเย่ชิงฉงแม้นดูชราภาพ ทว่าแต่ละถ้อยคำกลับเปี่ยมล้นไปด้วยความน่าเกรงขาม ขนาดตามองไม่เห็นแต่ก็ยังสามารถแผ่กลิ่นอายสุดแกร่งกล้าขนาดนี้ออกมาได้ตลอดเวลา
ขณะที่เขาพูดออกไปดังนั้น จู่ๆ ก็เอื้อมมือออกไปทันใด ปฏิกิริยาของทุกคนยังไม่ทันตอบสนอง เพียงกะพริบเปลือกตาแวบหนึ่ง ก็พลันเห็นว่าเย่ชิงฉงกำลังบีบคอ ยกร่างของเย่ชุ่นซินลอยขึ้นกลางอากาศแล้ว
“ที่ดวงตาของข้าต้องกลายมามืดบอดเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า!”
เย่ชิงฉงคำรนกรนเสียงเย็นดังสนั่น ทุกคนต่างได้ยินอย่างชัดแจ้ง พอเห็นว่าเย่ชิงฉงกำลังปะทุโทสะ ก็พลันสูดหายใจเย็นแช่มลึกด้วยความหวาดหวั่น
กลิ่นอายความแกร่งกล้าที่ล้นทะลักออกมาช่างน่าเกรงขามโดยแท้ นี่น่ะหรือยอดมืออาณาจักรนภาม่วง ราวกับว่าขุมพลังอำนาจแผ่ขยายไม่มีที่สุดสิ้นมิปาน
เย่เจวี๋ยเพียงแสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อย ยืนนิ่งท่าทีสงบอยู่แบบนั้นโดยมิได้รับผลกระทบจากกลิ่นอายแรงกดดันของเย่ชิงฉง แต่เพราะอะไรกันเขาถึงแสยะยิ้มเช่นนี้ออกมา? เพราะทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้การวางหมากของเขาไว้หมดแล้ว ด้วยนิสัยของเย่ชุ่นซิน พอได้ขุมพลังอันแกร่งกล้ามาครอบครอง ย่อมออกมาแผงฤทธิ์แน่นอน ต่อให้เย่เจวี๋ยไม่ได้ออกมาจัดการด้วยตัวเอง เขาก็รู้ว่า ท่านปู่ที่ได้รับสืบทอดเคล็ดวิชาของตระกูลไท่กู่เหลยไปย่อมออกจาการเก็บตัวมาในไม่ช้าก็เร็ว และจะออกมาจัดการกับเย่ชุ่นซินอยู่ดี แต่เขาไม่อยากให้ท่านปู่ต้องมาเหนื่อยเปล่า จึงจัดการให้แทนเสร็จสรรพพร้อมทำให้อีกฝ่ายพิการกลายเป็นแกะน้อยรอเชือด
ทันทีที่จับสัมผัสแน่ชัดว่าเป็นเย่ชุ่นซิน เย่ชิงฉงไม่รีรอแต่อย่างใด พุ่งเข้าไปบีบคอยกร่างอีกฝ่ายลอยเหนือพื้นทันทีด้วยความขุ่นแค้น
ฝ่ามือของเย่ชิงฉงแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า มันค่อยๆ บดขยี้บีบคอของเย่ชุ่นซินอย่างแช่มช้า เสียงกระดูกแตกกรอบแกรบดังลั่นออกมาฟังชัด แต่ขณะที่กำลังจะลงดาบปลิดชีพนั่นเอง
“ท่านประมุข! อย่า! อย่าฆ่าเขา!”
สี่ผู้อาวุโสใหญ่รีบลุกขึ้นยืนและวิ่งไปหยุดเขาทันที อาจเป็นเพราะดูดซับโอสถแปรโลหิตไปได้ครึ่งทางแล้ว จึงทำให้ร่างกายของพวกเฟื้นคืนสู่สภาพเดิม กลิ่นอายความแกร่งกล้าแผ่ซ่านออกมาตามปกติแล้ว แถมยังดูเข้มข้นกว่าก่อนหน้าอยู่หลายส่วน หากสี่ผู้อาวุโสขัดสมาธิตั้งใจทะลวงอาณาจักรเลื่อนระดับต่อไปอาจสำเร็จได้ในไม่ช้า แต่พวกเขาจำเป็นต้องออกจากการเก็บตัวกลางคัน เพื่อหยุดมิให้เย่ชิงฉงฆ่าเย่ชุ่นซิน
“กระไร? หรือพวกเจ้าต้องการปกป้องไอ้สุนัขตาขาวนี่เช่นกัน?”
เย่ชิงฉงหยุดเคลื่อนไหวชั่วขณะ หันไปมองหน้าทั้งสี่ น้ำเสียงเย็นยะเยือกกรนดังออกมา ประดุจเปลวเพลิงแห่งโทสะสาดสะท้อนฉายแววออกมาจากดวงตาก็มิปาน ถึงแม้เขาเองจะรู้ดีว่า สี่ผู้อาวุโสใหญ่จงรักภักดีต่อตระกูลมาโดยตลอด เรื่องนี้ย่อมมีเหตุผลเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังหงุดหงิดอยู่ดี
“ท่านประมุข เย่ชุ่นซินมีบุตรชายคนหนึ่ง เขาคนนั้นติดตามยอดฝีมือผู้แกร่งกล้าออกไปฝึกปรือ หากกลับมาเขาคนนั้นจักต้องกลับมาแก้แค้นอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะหาใช่คู่ต่อสู้ของท่านกับนายน้อย แต่อาจารย์ที่อยู่เบื้องหลังเขา....”
ผู้อาวุโสใหญ่ เย่หยวนซานเผยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เรื่องนี้ยากเกินกว่าจะตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่งจริงๆ
“ท่านประมุขโปรดระงับโทสะ เย่ชุ่นซินคนนี้มิอาจสังหารได้ โปรดไตร่ครองให้รอบคอบอีกสักครา”
“ท่านประมุข ยามนี้เย่ชุ่นซินสูญสิ้นพลังยุทธ์ไม่ต่างอะไรจากขยะ ไว้ชีวิตปล่อยไปย่อมไม่มีภัยคุกคามแก่ตระกูลแน่นอน”
สามผู้อาวุโสเร่งกล่าวแสดงความคิดเห็นออกไปทันที ความหมายของพวกเขาชัดเจนยิ่งแล้ว เย่ชุ่นซินคนนี้ไม่สามารถฆ่าให้ตายได้ หากพลั่นมือสังหารทิ้ง ผลที่ตามมาอาจเป็นราคาที่ตระกูลเย่รับไม่ไหวเช่นกัน
“แล้วยังไง?”
เย่ชิงฉงกลับเพียงยิ้มเยาะ ยามนี้เพลิงพิโรธของเขาเดือดพล่านถึงขีดสุดแล้ว อีกทั้งกลายมาเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงเป็นที่เรียบร้อย ไม่เพียงทำให้พลังความแข็งแกร่งเพิ่มพูน แต่ยังทำให้ความมั่นใจของเขาเพิ่มมากยิ่งขึ้นอีกด้วย เงยหน้าชี้ขึ้นฟ้าระเบิดหัวเราะเยาะลั่นเสียงโต
“จำต้องกลัวอันใดเล่า! พวกเราตระกูลเย่หาใช่พวกขี้ขลาดไม่!”
เย่ชิงฉงมีความแค้นอาฆาตต่อเย่ชุ่นซินมาแต่ไหนแต่ไร ที่ทำให้เขาต้องตาบอดก็เพราะมัน แล้วมีหรือกับเพียงแค่คำพูดเกลี้ยกล่อมของสี่อาวุโสจะหยุดเขาได้?
ทว่าเย่เจวี๋ยกลับไม่คิดเช่นนั้น ถึงได้ยินคำกล่าวของสี่ผู้อาวุโสใหญ่แล้ว จะฟังดูน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่หากสังหารเย่ชุ่นซินทิ้งไป จะมีสุนัขบ้าตัวไหนบุกเข้ามาอีกก็มิทราบ ซึ่งตอนนี้ความแข็งแกร่งของตัวเขาเองก็ยังไม่เพียงพอ หากจำต้องปะทะกับอาจารย์คนดังกล่าวที่อยู่เบื้องหลังอีกที เกรงว่าจะเป็นฝ่ายตนที่จะพลาดท่าไป
ในเมื่อเย่ชิงฉงไม่ฟังคำเตือนของสี่ผู้อาวุโสก็ถึงคราวเย่เจวี๋ยที่ต้องออกโรง
“ท่านปู่ สี่ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวถูกต้องแล้ว เย่ชุ่นซินคนนี้ห้ามฆ่าเด็ดขาด”
“เจวี๋ยเอ๋อ แม้แต่เจ้าเองก็...”
เย่ชิงฉงหยุดมือทันที น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดูเชื่องช้าลง แต่ยังแฝงไปด้วยความหนักแน่น
“ท่านปู่ ไม่ว่าอย่างไรเสีย จำต้องให้ความสำคัญกับตระกูลเป็นหลัก สังหารเย่ชุ่นซินไปตอนนี้ได้แค่ปลอบประโลมความโกรธแค้นภายในใจ แต่อาจสร้างหายนะแก่ตระกูลเย่ได้ในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้น เย่ชุ่นซินเองก็ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว ไม่ต่างอะไรกับศพเดินได้ ปล่อยไว้ก็มิได้เป็นภัยต่อพวกเรา”
ขณะที่เย่ชิงฉงกล่าวไปได้ครึ่งทาง เย่เจวี๋ยก็กล่าวแทรกอธิบายขึ้นโดยไว