ตอนที่ 30 ฉันสั่งให้เธอหยุด
ตอนที่ 30 ฉันสั่งให้เธอหยุด
พอได้ยินคำถามของอวี่หนานเฉิง สีหน้าของผู้ช่วยคนสวย หนัวหยาก็เปลี่ยนไป
“ชิงช้าไม่สูงค่ะ และยังมีเบาะรองด้านใต้ โรงเรียนไม่เคยมีอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับชิงช้ามาก่อนค่ะ”
อวี่หนานเฉิงชี้ชิงช้าด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“มันไม่เคยเกิดมาก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอันตราย ถ้าเด็กเผลอปล่อยมือตอนเหวี่ยงชิงช้าขึ้นสูง คุณคิดว่าด้วยสมดุลของเด็ก เด็กจะไม่ตกลงมาหรือไง?”
หลังพูดแบบนี้ อวี่หนานเฉิงก็มองพื้นวิ่งยางสีรุ้งต่อ
“ยังมีลานวิ่งพลาสติกนี่ด้วย ผมเพิ่งเห็นว่ามุมของมันไม่มียางปกคลุมให้ดี โรงเรียนคุณยังไม่ให้ความสนใจกับการตัดหญ้ามากพอ เด็กชอบเล่น คุณอาจไม่เห็นตอนวิ่งเข้าสนามหญ้า จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีงูมีพิษ?”
ใบหน้าของหนัวหยาขาวซีด เธอไม่รู้ว่าจะตอบยังไง
เด็กที่ไหนจะปล่อยมือตอนเล่นชิงช้า? หญ้าในสนามเด็กเล่นก็ยังอยู่แถวนี้ บางทีคนสวนก็ประมาทเลินเล่อบ้าง แต่มันยังสูงไม่ถึงข้อเท้าเลยนะ?
โรงเรียนอนุบาลหลานเป๋าไม่เคยเจอผู้ปกครองที่มากเรื่องแบบอวี่หนานเฉิงมาก่อน!
“ฉันคิดว่ามันก็ดีแล้วนะคะ”
เสียงผู้หญ้าทำลายความเงียบ เซิ่งอั้นหรานเดินลงมาจากทางเดิน
“ประธานอวี่ คุณกังวลมากไป เสี่ยวซิงซิงเคยตกจากชิงช้าตอนยังเด็ก แขนหักและหน้าก็เป็นแผล แต่ฉันไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องแย่อะไรหรอกนะคะ”
เธอมองอวี่หนานเฉิงด้วยแววตาอ่อนโยน ราวกับกำลังคิดถึงเรื่องอบอุ่น
“เพราะตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่เธอเล่นชิงช้า เธอจะจับเชือกแน่นขึ้นและไม่เคยตกลงมาอีก แม้กระทั่งตอนฉันนั่งบนชิงช้า เธอก็ยังบอกฉันว่า’ แม่ จับให้แน่นนะ’”
พอเห็น หนัวหยาก็พูดอย่างระมัดระวัง“ประธานอวี่ค่ะ ฉันคิดว่าคุณเซิ่งพูดถูกแล้วค่ะ แต่ถ้าคุณยังกังวล เราจะยกมันออกเลยค่ะ สำหรับพื้นยาง เราจะปูมันให้ครอบคลุมที่สุดค่ะ”
อวี่หนานเฉิงไต่รตรองสักพัก จากนั้นก็พูด
“ช่างมัน ปล่อยมันไป ถ้าจิงซีมีคำถามอะไรในอนาคต ก็แค่ติดต่อผม”
หนัวหยาถอนหายใจโล่งอกและมองเซิ่งอั้นหรานอย่างขอบคุณ” คือ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ฉันขอตัวไปรายงานอาจารย์ใหญ่ก่อนนะคะ’
มันยังพอมีเวลาอยู่ เซิ่งอั้นหรานสูดหายใจลึก นั่งลงบนชิงช้า พูดด้วยรอยยิ้ม“ประธานอวี่ ฉันไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าคุณจะเต็มใจฟังความคิดเห็นของคนอื่นด้วย”
อวี่หนานเฉิงจ้องตาเธอ แสงยามเช้าดันส่องลงบนหน้าเธอพอดี มันทำให้เธอต้องทำตาหยี พอบวกกับรอยยิ้มขี้เล่นแล้ว อวี่หนานเฉิงไม่รู้สึกอยากละสายตาจากมันเลย
เขาถาม“ในสายตาเธอ ฉันเป็นคนที่ไม่ฟังความคิดเห็นใครเลยหรือไง?”
เซิ่งอั้นหรานเหวี่ยงชิงช้า และปฏิเสธเขาทันควัน“ก็ใช่นะสิ ใครบ้างที่ไม่รู้จักประธานอวี่ หนุ่มหล่อที่เต็มไปด้วยอำนาจ เขาจะไม่ใช่พวกเผด็จการได้ไง?”
“เผด็จการ?” ดวงตาของอวี่หนานเฉิงหรี่ลง
“แค่ก แค่ก” เซิ่งอั้นหรานแปลกใจกับสิ่งที่เธอพูดและก็รีบเปลี่ยนเรื่อง“ฉันแค่คิดว่าประธานอวี่เป็นห่วงจิงซีมากไปหน่อย สิ่งต่าง ๆ ไม่อาจย้อนกลับไป และเด็กก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัว”
“จริงเหรอ?” สีหน้าของอวี่หนานเฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เซิ่งอั้นหรานคิดว่าเขาคงไม่เห็นด้วยกับมุมมองนี้ เธอจึงอธิบาย“ในความเป็นจริง แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเด็กไม่เป็นไรหรอกค่ะ เด็กจะไม่มีวันได้ออกไปข้างนอกเพราะกลัวโลกภายนอก คุณไม่ควรเลี้ยงจิงซีไว้ในเรือนกระจกตลอดเวลา เพราะเขาจะไม่มีวันได้เห็นแสงแดดข้างนอก และเขาจะไม่มีวันได้รู้อะไร คนเราไม่มีทางรู้ว่าเราต้องการชีวิตแบบไหน แต่เราทุกคนควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง จริงไหมคะ?”
คำพูดเหล่านี้แทงใจอวี่หนานเฉิง คำว่า“เราควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง” ได้หายไปจากใจเขานานแล้ว
พอเห็นแววตาแปลก ๆ ของเขา เซิ่งอั้นหรานก็ถามอย่างระมัดระวัง
“บางที คุณคงกังวลเพราะจิงซีพูดไม่ได้สินะคะ?”
อวี่หนานเฉิงได้สติ จ้องเธอด้วยแววตาสุขุม
“ขอโทษค่ะ” เซิ่งอั้นหรานรีบพูด“คุณบอกว่าอย่าถามเรื่องนี้ ฉันลืมตัวค่ะ ขอโทษด้วยค่ะ”
เธอลดหัวลงและเหลือบมองข้อมือเธอ ลุกขึ้นจากชิงช้าและรีบเปลี่ยนเรื่อง“มันสายแล้ว ฉันต้องไปทำงานแล้วค่ะ”
“ถ้ามันไม่ใช่เพราะความประมาทของฉัน จิงซีคงไม่ปิดปากสนิทแบบนี้”
เสียงต่ำดังจากด้านข้างเธอ และด้วยความละอายใจในตัวเอง เขาหยุดฝีเท้าเร่งรีบของเซิ่งอั้นหรานไว้ด้วยคำพูดนี้
เธอผงะและหันกลับมา
หูฉันผิดปกติหรือเปล่า? อวี่หนานเฉิงดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่ชอบพูดเรื่องส่วนตัว ครั้งก่อนที่เธอถามเรื่องจิงซี เธอยังโดนเขาดุ
“คุณหมายความว่า จิงซีไม่เต็มใจพูดงั้นเหรอคะ?”
เธอถามไปโดยไม่รู้ตัว
อวี่หนานเฉิงพยักหน้าเล็กน้อย สีหน้าของเขาดูซับซ้อน
“จิงซีพูดจ้อไม่หยุดตอนเขาอายุสองขวบ แต่หลังเป็นไข้สูง เขาก็ไม่ยอมพูดอีก หมอบอกว่าเส้นเสียงกับเส้นประสาทของเขาไม่เสียหาย แต่เขาไม่ยอมพูด บอกว่ามันเป็นปัญหาทางจิต”
“ปัญหาทางจิต?” ความทุกข์ใจปรากฏในดวงตาของเซิ่งอั้นหราน“เขาเจออะไรมางั้นเหรอคะ?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ อวี่หนานเฉิงก็ยิ่งรู้สึกผิด เขาถอนหายใจ
“ไม่รู้”
มันเพราะเขาไม่รู้ เขาถึงโทษตัวเองยิ่งกว่าเดิม มันเพราะไข้สูงนั้นมาโดยไม่มีเหตุผล สิ่งที่จิงซีเจอคืนนั้นยังไม่ชัดเจน คนใช้ที่ดูแลจิงซีในบ้านเก่าก็ไม่รู้อะไร ดังนั้นเขาจึงไม่อยากทิ้งจิงซีไว้กับปู่ของเขาอีก
พอเห็นจิงซีป่วยหนักและเกือบเสียชีวิตเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นเองเขาถึงรู้ตัวว่าการเป็นพ่อไม่ใช่การกลับไปหาลูกในยามว่างเท่านั้น แต่มันคือความรับผิดชอบของคนเป็นพ่อ มันเป็นหน้าที่ทั้งชีวิต
อวี่หนานเฉิงขมวดคิ้วและดูไม่สบายใจอย่างมาก
“ไม่น่าแปลกที่คุณจะกังวลถึงจิงซีมากขนาดนี้ แต่อดีตก็คืออดีต อย่าคิดมากเลยค่ะ”
คำปลอบแบบนี้ไม่ช่วยอะไร สีหน้าของอวี่หนานเฉิงยังไม่ผ่อนคลาย เซิ่งอั้นหรานเสียใจที่ถามเรื่องที่เขาเจ็บปวด
ฉันจะไม่ยอมให้เขาต้องเสียใจเพราะฉัน!
จากมุมหางต่อเธอ เธอพลันเห็นชิงช้าที่เธอเพิ่งลึก และดวงตาก็เป็นประกาย
“ประธานอวี่ คุณเคยเล่นชิงช้าไหมคะ?”
ประโยคนี้ทำให้อวี่หนานเฉิงเหลือบมองเธออย่างสงสัย ก่อนเขาจะได้สติ เซิ่งอั้นหรานก็ดึงเขาไปและกดเขานั่งลงบนชิงช้า
“ตอนคุณเล่นชิงช้า คุณสามารถลืมปัญหาทั้งหมดได้ ประธานอวี่ นั่งลงเถอะค่ะ ฉันจะเหวี่ยงชิงช้าให้คุณเอง”
“ฉันไม่ต้องการให้เธอเหวี่ยงให้”
“ฉันยินดีค่ะ ประธานอวี่ ฉันรู้ว่าฉันเป็นสาเหตุให้คุณเศร้า นั่งนิ่ง ๆ สิคะ”
“เซิ่งอี้นหราน” มุมปากอวี่หนานเฉิงกระตุก เขากัดฟันและพูด“ฉันขอสั่งให้เธอหยุด”