บทที่ 18 เขาคือผู้แจ้งเบาะแสของเรา
บทที่ 18 เขาคือผู้แจ้งเบาะแสของเรา
"หลังจากการตรวจสอบเป็นเวลาหนึ่งเดือน" หนึ่งในผู้ดำเนินการประชุมคือซ่งจิ่งหงเขาประกาศขึ้น "สมาชิกจากทีมวิจัยได้คำตอบอย่างเป็นเอกฉันท์ว่ายีนเซิร์กที่ถูกเสนอขึ้นโดยนักศึกษาเหอซิงโจว นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกรุงปักกิ่งได้บ่งชี้ให้พวกเราเห็นถึงภัยคุกคามทางชีววิทยาจากสิ่งมีชีวิตสายพันธ์ุใหม่!"
“ตามแบบจำลองวิวัฒนาการของเซิร์กเราคาดว่าใน 10 ปี จำนวนของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธ์ุเซิร์กอาจจะมีจำนวนเพิ่มถึงหลักล้านและภายใน 20 ปีมันจะขยายเป็นหมื่นล้าน! ภายใน 30 ถึง 50 ปี เผ่าพันธ์ุเซิร์กจะเข้าครอบครองพื้นที่บนดาวบลูสตาร์ทั้งหมด!”
ทุกคนกลั้นหายใจเมื่อเขาอ่าน
"ในปัจจุบันเราได้ทำได้เพียงการวิจัยขั้นพื้นฐานที่สุดเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธ์ุเซิร์กและสามารถสรุปได้ว่าพวกมันถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดประเภทหนึ่ง และหนึ่งในจำนวนนั้นปลากะพงดำกลายพันธุ์หมายเลขสองได้รับการยืนยันว่ามันสามารถเข้าใจภาษามนุษย์และมีสติปัญญาเทียบเท่ากับเด็กในวัยสิบขวบ"
"ลักษณะทางชีววิทยาของพวกมันยังแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆบนดาวบลูสตาร์อย่างสิ้นเชิง พวกมันมีอวัยวะเทียบได้กับอาวุธชีวภาพและอาวุธความร้อนที่สามารถสร้างอัตรายได้ในขอบเขตจำกัด และหากอ้างอิงตามแบบจำลองการวิวัฒนาการมีความเป็นไปได้สูงว่าสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธ์ุเซิร์กอาจมีการพัฒนาไปจนถึงขั้นที่สามารถแข่งขันกับขีปนาวุธของมนุษย์ชาติได้.. "
เมื่อซ่งจิงหงอ่านผลการวิจัยเบื้องต้นเสร็จแล้วผู้บริหารระดับสูงทุกคนก็ไม่สามารถสงบลงได้
“แล้วสิ่งที่เรียกว่าเซิร์กนี้จะแข่งขันกับมนุษย์เพื่อครอบครองระบบนิเวศของบลูสตาร์?” ผู้บัญชาการทหารถาม
"ใช่ครับท่าน" ซ่งจิ่งหงพยักหน้า "เรายังตรวจพบยีนที่คล้ายกับยีนเซิร์กในสิ่งมีชีวิตในทะเลอีกเป็นจำนวนมาก แต่ยีนเซิร์กเหล่านี้ยังอยู่ในช่วงฟักตัวและพวกมันจะเริ่มกลายพันธุ์เมื่อพัฒนาไปถึงระดับหนึ่ง และสิ่งที่น่ากังวลคือน้ำเสียที่ปนเปื้อนรังสีนิวเคลียร์จะสามารถส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงของพวกมัน”
ชุยเว่ยหมินผู้อำนวยการสำนักความมั่นคงกล่าวว่า “หลายประเทศในโลกต่างแอบปล่อยของเสียนิวเคลียร์ทิ้งลงทะเลอย่างลับๆฉันเกรงว่ามันจะส่งเสริมการกลายพันธุ์ของพวกมันอย่างร้ายแรง!”
"ใช่!" ซ่งจิงหงเน้นย้ำว่า “โดยเฉพาะประเทศเกาะยังอยู่ติดกับเราในอีก 20 ปีข้างหน้าพื้นที่ใกล้กับบริเวณนี้อาจเผชิญกับภัยคุกคามมากที่สุด”
“พวกเราชาวจีนและแม้แต่มนุษยชาติทั้งหมดจะต้องประสบกับวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์!”
"ตั้งแต่แรกที่คุณได้ตรวจสอบความถูกต้องของเรื่องนี้แล้วสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติมีมาตรการตอบโต้ใด ๆเพื่อยับยั้งวิกฤตินี้หรือไม่"
ซ่งจิ่งหงกล่าวว่า "เรียนท่านผู้นำความเข้าใจของเราเกี่ยวกับเซิร์กนั้นมีขอบเขตจำกัด เราสามารถยืนยันในขั้นต้นว่าสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์พิเศษนี้จะเป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษย์เพียงเท่านั้น"
“แต่ถ้าเราต้องการพูดถึงกำจัดหรือควบคุมพวกมันแล้วนั้น เรากำลังเร่งกระบวนการศึกษาแผนเหล่านี้อยู่”
ชุยเว่ยหมินเสนอแนะ “สหายทุกท่านฉันขอเสนอให้มีการยกระดับเรื่องนี้ไปสู่วิกฤตที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติระดับสูงสุดในทันที เพื่อจัดระเบียบกองกำลังของประเทศเพื่อเตรียมการป้องกันและรับมือกับภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้น ในอีกไม่กี่ทศวรรษเซิร์กจะเข้าครอบงำโลกทั้งใบและพวกเราเหลือเวลาไม่มากเราต้องลงมือทันทีเพื่อรับรองความปลอดภัยของประชาชนในประเทศ!”
ผู้นำทางทหารพยักหน้าและกล่าววขึ้น “ผมเห็นด้วยต่อจากนี้พวกเราคือผู้ที่เกิดมาในยุคแห่งความโศกเศร้าและการตายของพวกเราจะต้องได้รับการปลอบโยน! จากนี้ไปเราจะต้องเริ่มเตรียมการในทันที!”
"การมาถึงของเซิร์กได้ปลุกพวกเราให้ตื่นขึ้น! พวกเราต้องใช้ทัศนคติมากกว่า 200% เพื่อจัดการกับมันอย่างจริงจัง!"
“ตอนนี้ฉันขอประกาศว่าต่อจากนี้ไปจะมีการจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะเพื่อรับมือภัยพิบัติจากเซิร์ก!”
"หน่วยงานนี้จะทีมนำโดยสหายสามคน คงชิง, ฉินเผิง และ ชุยเว่ยหมิน เป็นผู้นำทีมปฏิบัติการระดับสูงสุดและมีอำนาจในการระดมกำลังทหาร การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และการจัดการหน่วยงานรัฐวิสาหกิจเพื่อตอบสนองต่อภัยพิบัติจากเซิร์ก"
ทั้งสามคนเป็นบุคคลสำคัญระดับประเทศ อย่าง คงชิง ผู้เป็นนักวิชาการอาวุโสจากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติที่มีอายุมากกว่า 80 ปีในปีนี้ซึ่งมีผลงานการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากมาย ชุยเว่ยหมิน นั้นเป็นผู้นำคนสำคัญของสำนักหน่วยงานความมั่นคง ส่วน ฉินเผิง คือผู้ดำรงผู้นำกองทัพและอิทธิพลของเขาก็สามารถเรียกระดมกำลังทหารได้!
“โปรดทราบว่าสิ่งนี่ไม่ใช่เพียงแค่งานเท่านั้นแต่มันยังเป็นความรับผิดชอบต่อประเทศชาติด้วย! สหายทั้งสามคนคุณต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ!”
"ขอบคุณสำหรับความไว้วางใจ ต่อจากนี้ไปพวกเราจะรับผิดชอบทำภารกิจให้สำเร็จ!" ทั้งสามยืนขึ้นและคำนับ
พวกเขารู้ดีว่าภาระบนบ่าของพวกเขานั้นยากลำบากเพียงใดซึ่งมันคือการแบกรับความรับผิดชอบของทั้งประเทศและภารกิจนี้จะต้องไม่มีวันล้มเหลว!
...
ในวันเดียวกันนั้นหน่วยงานรับมือภัยพิบัติจากเซิร์กได้ถูกจัดตั้งขึ้นและเริ่มเตรียมการทำงาน
ในการประชุมฉินเผิงกล่าวก่อนว่า“สหายทั้งสองว่ากันว่าในศิลปะแห่งสงครามซุนวูกล่าวว่าหากรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ทว่าตอนนี้พวกเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเซิร์กมากนักและฉันหวังว่าจะได้รับข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนี้”
“ในแง่ของการจัดตั้งองค์กรและการจัดการภายในยังอยู่ในความดูแลของกองทัพ แต่ในด้านอื่นๆนั้นฉันหวังว่าสหายทั้งสองจะรับผิดชอบงานในส่วนนี้”
“สิ่งที่ผู้นำกล่าวก็คือ” ชุยเว่ยหมินกล่าว "ภารกิจนี้ยากลำบากมากและพวกเราต้องร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ฉันคิดว่าเราควรฟังคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติและพวกเขาควรให้ข้อเสนอแนะแก่เราได้"
คงชิงพยักหน้าและพูดว่า "ฉันจะจัดการประชุมที่สถาบันวิทยาศาสตร์ทันทีและจะพยายามคิดแผนงานที่มีประสิทธิภาพหลายอย่างเพื่อเริ่มดำเนินการในเวลาอันสั้น"
“อย่างไรก็ตามผู้อำนวยการชุยคุณมองข้ามใครบางคนไป เขาเป็นผู้แจ้งเบาะแสของเราคุณต้องเชิญเขามาที่นี้” คงชิงเตือนขึ้น
“เขาคือเหอซิงโจวใช่หรือไม่” ชุยเว่ยหมินคาดเดา
"เป็นเขา!" คงชิงตอบ "แม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะอายุยังน้อยแต่เขามีความสามารถที่จะค้นพบรูปแบบการวิวัฒนาการของยีนเซิร์กได้ก่อนใคร ซึ่งสิ่งที่เขาทำนั้นได้ทำให้พวกเราผู้เป็นนักวิชาการมานานต่างรู้สึกอับอาย"
“เขาย่อมรู้เรื่องดีเกี่ยวกับมันและบางทีเขาอาจมีความคิดและข้อมูลบางอย่างที่อยากจะแบ่งปันกับเราและฉันตัดสินใจที่จะดึงตัวเขาให้มาร่วมทีมของเราในฐานะนักวิจัย!”
ชุยเว่ยหมินเสริ่ม "ตอนนี้เราอยู่ในช่วงเวลาที่พิเศษโดยที่ไม่รู้ว่าวิกฤตจากเซิร์กนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไร ทุกนาทีมีค่าและไม่ควรสูญเปล่าดังนั้นส่งคนไปพาเขามาเดี๋ยวนี้!"
ชุยเว่ยหมินออกคำสั่งเพื่อเริ่มการจัดการทันที
เหอซิงโจวยังอยู่ในชั้นเรียน
วันนี้เป็นวิชาฟิสิกส์ควอนตัมและเหอซิงโจวกำลังตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง เขายังพบว่าเนื่องจากเขามีสมองควอนตัมที่มีความเร็วการคำนวนเทียบกับความเร็วแสงดังนั้นประสิทธิภาพในการคิดของเขาจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก และเขาสามารถเข้าใจและซึมซับข้อมูลมากมายได้อย่างรวดเร็ว
เวลาเหลือน้อยกว่าสิบนาทีก่อนจะเลิกคลาสและนักศึกษาบางคนก็แทบรอไม่ไหวที่จะไปที่โรงอาหารเพื่อเติมเต็มท้องของพวกเขา
ในเวลานี้ด้านนอกตรงประตูของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีกรุงปักกิ่งกองกำลังตำรวจพิเศษก็ได้เดินทางมาถึง
ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในมหาวิทยาลัย สมาชิกหน่วย SWAT ที่ติดอาวุธกลุ่มหนึ่งก็กระโดดลงจากรถพร้อมกับปืนไรเฟิลของพวกเขาซึ่งมันทำให้ผู้คนรอบๆตกตะลึง
“นี่เป็นเจ้าหน้าจากหน่วยตำรวจพิเศษทำไมพวกเขาถึงมาที่มหาลัยของเรา?” นักศึกษาที่หน้าประตูต่างสงสัย
มีคนพยายามจะถ่ายภาพเหตุการณ์แต่เขาก็ถูกเจ้าหน้าที่หน่วย SWAT สั่งห้าม "นักเรียนโปรดอยู่ในความสงบเรากำลังอยู่ในระหว่างปฏิบัติการณ์ ดังนั้นโปรดอย่าถ่ายรูปและขอบคุณสำหรับความร่วมมือ"
“ผมยังไม่ได้ถ่ายซักรูปเลยครับ” นักศึกษาที่กำลังเตรียมถ่ายรูปรีบเก็บโทรศัพท์มือถือของเขาลงทันที
“พวกเขาเป็นทีมตำรวจพิเศษพวกนายเห็นไหมมีขบวนรถกำลังขับเข้ามา!” บางคนสังเกตเห็นว่าในขบวนรถ มีรถจี๊ปทหารสีดำสนิทขับเข้ามาในวิทยาเขต! ดูเหมือนตำรวจพิเศษจะมาเพื่อปกป้องรถคันนี้!
ภาพถ่ายด้านหลังรถยิ่งทำให้พวกเขาตกตะลึงเพราะมันไม่มีป้ายทะเบียน แต่เขียนด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่สี่ตัว "Special Pass"!
“นี่คือป้ายทะเบียนอะไรทำไมมันถึงไม่มีเลขล่ะ?” ใครบางคนถามขึ้น
"มันคือการเข้าถึงพิเศษ!" นักศึกษาคนหนึ่งอุทาน "ฉันรู้ว่ามันคืออะไร ฉันได้ยินมาว่าในหน่วยงานที่มีความสำคัญระดับประเทศจะติดป้ายทะเบียนแบบนี้เมื่อพวกเขาปฏิบัติงาน และรถที่ติดป้ายทะเบียนนี้จะสามารถผ่านไปที่ใดในประเทศได้โดยไร้สิ่งกีดขวางทั้งยังไม่ถูกจำกัดด้านการจราจร!"
“มีป้ายทะเบียนแบบนี้อยู่จริงๆเหรอ? โอ้พระเจ้าในรถนั้นต้องมีคนใหญ่คนโตนั่งอยู่แน่ๆ” ความอยากรู้ของผู้คนระเบิดขึ้น “เขาคือใครทำไมพวกเขาถึงมาที่มหาลัยของเราล่ะ?”