ตอนที่7 บดขยี้ตระกูลหยาง
ตอนที่7 บดขยี้ตระกูลหยาง
“ได้! เมื่อเจ้ากล่าวเช่นนั้นแล้ว พวกเรา! ออกไปสับเนื้อมันมาและโยนให้สุนัขจรราบเมืองกินเสีย!”
หยางติงเทียนแผดเสียงคำรามลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว บรรดาเยาวชนทั้งหลายของตระกูลหยางรีบวิ่งกระโจนขึ้นลานประลองพร้อมกระชับหอก ทวนและคมดาบกันครบมือ
ทว่าอย่างไร เมื่อเห็นท่าทางของเย่เจวี๋ยที่ยังเขี่ยศพของหยางอู๋โก้วเล่นอย่างสนุกสนาน และไม่มีแววว่าจะหันมาสนใจแบบนี้ พวกเขาล้วนพลันรู้สึกหวาดหวั่นใจอย่างน่าผิดประหลาด
“กลัวอันใดของพวกเจ้า!? ไม่ว่ามันจะร้ายกาจเพียงใด มันก็แค่คนตาบอดคนหนึ่ง ฆ่ามันซะ!”
ได้ฟังดังนั้นเหล่าลูกหลานตระกูลหยางจึงตรงเข้าไปตีกรอบล้อมเย่เจวี๋ยทั่วสารทิศ กวัดแกว่งเพลงยุทธ์ ปราดพุ่งโจมตีใส่เย่เจวี๋ยเข้าประจันบาน
บูม! บูม!
เย่เจวี๋ยเห็นดังนั้น ก็ยกบาทาเตะศพของหยางอู๋โก้วทิ้งข้างสนาม เข้าประจันหน้าสัประยุทธ์กับกลุ่มคนเหล่านั้น ระเบิดร่างหนึ่งด้วยฝ่ามือและหยิบดาบเล่มยาวขึ้นมาใช้ต่อทันที
“สับข้าให้สุนัขจร? เจ้าทราบหรือไม่ว่า ข้าไม่ได้ผ่าแตงโตกินนานหลายปีแล้ว!”
ชั่วขณะนั้น เย่เจวี๋ยระเบิดพลังยุทธ์ลมปราณกวาดล้างแปดทิศสิบทาง ประดุจพยัคฆ์ร้ายกระโจนเข้าไปในฝูงแกะ ล่าสังหารสะบั้นศีรษะรายคนอย่างบ้าคลั่ง
นี่หาใช่การต่อสู้ไม่ แต่คือโศกนาฏกรรมล่าสังหารหมู่อยู่ฝ่ายเดียว!
เมื่อหยางติงเทียนเห็นดังนั้นก็ถึงกับตาถลน ใจสั่นตื่นตระหนก พลางนึกไปถึงคำพูดของเย่เจวี๋ยที่เคยให้ไว้ในเพลานั้น วันหน้าข้าจักล้างบางตระกูลหยาง เปลี่ยนให้กลายเป็นทะเลเลือด ชำระความอัปยศที่พวกเจ้าทำกับข้า!
แค่เสี้ยวพริบตาเดียว เหล่าลูกหลานของตระกูลหยางที่คุยโวโอ้อวดก่อนหน้ายามนี้ศีรษะถูกสับขาดกระจุยไม่เหลือ บางคนถึงขั้นโดนสับนับร้อยชิ้นราวกับอาหารสุนัขภายใต้คมดาบของเขา
ปัจจุบัน เย่เจวี๋ยยืนตระหง่านกลางกองศพเปรียบเสมือนเทพปีศาจประดับสีหน้าอันสงบนิ่ง
....
ณ ตระกูลเย่
ผู้อาวุโสหลายคนกำลังนั่งปรึกษาหารือกันอยู่ว่า ในภายภาคหน้า พวกเขาจะกู้หน้าตระกูลเย่กลับมาได้อย่างไร แต่ทันใดนัน้ก็มีเยาวชนหนุ่มคนหนึ่งพุ่งเข้ามาในโถงใหญ่ รีบประสานมือกล่าวพร้อมสีหน้าสุดตื่นตระหนกว่า
“ท่านผู้อาวุโส! พวกท่านรีบมาเร็ว! แย่แล้ว! พวกเยาวชนของตระกูลหยางถูกเย่เจวี๋ยล่าสังหารหมดสิ้นไม่เหลือ!”
“ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ! ข้ารู้อยู่แล้วว่าเย่เจีว๋ยจะต้องถูกพวกตระกูลหยางสัง...ห่ะ? อันใด? เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าอันใด?”
ผู้อาวุโสทั้งหลายในโถงใหญ่ต่างรู้สึกสงสัยอย่างยิ่ง เกรงว่าพวกตนจะหูฟาดไปเสียแล้ว
“เย่เจวี๋ยสังหารเยาวชนของตระกูลหยางจนหมดสิ้นแล้ว!”
“ฮ่าฮ่าๆๆ ... เจ้าต้องล้อเล่นแล้ว!”
“นี่เป็นเรื่องจริง บ่าวคนนี้ยินดีใช้หัวเป็นประกัน!”
.........
ลานประลองทิศตะวันออกของเมือง
ผู้ชมทั่วทั้งลานประลองยืนนิ่งแข็งเป็นหินกันถ้วนหน้า ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ราวกับฝันไป ไม่มีใครกล้าเชื่อว่าเป็นความจริงกันสักคน
พวกเขาถึงขนาดสงสัยว่า เย่เจวี๋ยคนนี้ต้องเป็นตัวปลอมอย่างแน่แท้ เพราะทุกคนภายในเมืองต่างทราบดี เย่เจวี๋ยมีพลังอยู่ที่อาณาจักรก่อกายาระดับหนึ่งเท่านั้น แล้วจะสามารถฆ่าล้างเหล่าเยาวชนของตระกูลหยางได้อย่างไร?
และในตอนนั้นเอง การกระทำครั้งนี้ของเย่เจวี๋ยต้องทำให้ทุกคนต้องร้องลั่นอุทานออกมาอีกครั้ง เพราะเห็นเพียงว่าเย่เจวี๋ยยกมือขึ้นและฉีกผ้าแพรสีขาวที่ปิดรอบดวงตาทิ้ง...
นั้นมัน...ดวงตา?
สองเท้ายืนตระหง่านกลางลานประลองที่กลายเป็นทะเลเลือดไปแล้วในขณะนี้ พร้อมกับ...ดวงตาคู่หนึ่งที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเย็นชา!
“นี่เป็นไปได้อย่างไร? ทำไมเขาถึงมีดวงตา?”
“มิใช่ว่าเนตรจักรพรรดิสายฟ้าของเขาถูกหยางติงเทียนควักออกไปแล้วมิใช่รึ?”
“ถ้าเช่นนั้น...หากก่อนหน้านี้เย่เจวี๋ยเปิดตาสู้กับพวกเยาวชนตระกูลหยาง ความแกร่งกล้าที่พวกเราจะได้เห็นจักต้องน่ากลัวกว่านี้กี่ทวีเท่ากัน?”
......
ในขณะนั้นเอง เย่เจวี๋ยก็กวาดสายตามองทุกคนโดยรอบสนาม กู่เสียงคำรามลั่นอย่างเยือกเย็นว่า
“วันนั้นข้ามีเจตนาดี กลัวว่าหยางอู่ซินผู้มีสติไม่สมประกอบจะตกบ่อบัวตาย ดังนั้นจึงตัดสินใจเข้าไปช่วย แต่กลับไม่คิดเสีย ว่าทั้งหมดจะแผนร้ายของหยางติงเทียนเพื่อแย่งชิงเนตรจักรพรรดิสายฟ้าของจ้าไป วันนี้ ข้ากลับมาทวงแค้นตามที่ลั่นวาจาเอาไว้แล้ว ตระกูลหยางจักต้องกลายเป็นทะเลเลือดในวันนี้!”
“ชะตามนุษย์ลึกล้ำเกินจินตนาการ ไม่แม้แต่ขอบเขตแห่งจิตสำนึกจักปิดกั้นได้ สวรรค์ยังมีตา หากข้าผู้นี้ยังหาสิ้นชีวีไม่ ดวงตาของข้าย่อมถือกำเนิดใหม่ได้เช่นกัน วันวานเจ้ารังแกข้าที่ยังอ่อนแอ แต่วันนี้ข้าจักไล่ฆ่าเจ้าดั่งสุนัขจร!”
ภายใต้ลานประลองยุทธ์อันกว้างใหญ่ สุ้มเสียงคำรามของเย่เจวี๋ยดังกึกก้องกังวานฝังลึกในใจของทุกคน
นี่เป็นคำพูดที่แสนโอหังและน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่งยวด เพียงแต่ใครจะไปคิด ลั่นวาจาในวันนี้จักแผ่ไพศาลทั่วผืนพิภพ เขาจะเป็นตำนานต่อไปสู่คนรุ่นหลัง
เมื่อเห็นดวงตาของเย่เจวี๋ยฟื้นคืนกลับมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ หยางติงเทียนก็รู้สึกราวกับถูกมีดคมกระหน่ำแทง หากเขาไม่รีบฆ่าเย่เจวี๋ยในวันนี้ อนาคตต่อไปของตระกูลหยางจักต้องเกิดเภทภัยเป็นแน่ อย่างไรเสีย ยังไม่ทันที่หยางติงเทียนจะได้ตอบสนองใดๆ ออกมา คมดาบยาวชโลมโลหิตก็พุ่งเข้าเสียบกลางโต๊ะเบื้องหน้าตัวเขา! เย่เจวี๋ยอาจหาญถึงขนาดกล้าข่มขวัญเขาซึ่งเป็นถึงประมุขตระกูลหยางแล้ว?!
“ขยะเฒ่า ลูกหลานตระกูลหยางของเจ้าถูกข้าทำลายสิ้นหมดแล้ว ตอนนี้ถึงเวลารุ่นอาวุโสอย่างเจ้าจะออกโรง!”
ทันทีที่สิ้นเสียง เย่เจวี๋ยก็แสดงรัศมีแห่งขุมพลังอาณาจักรก่อกายาระดับหกออกมาเต็มขั้น ความรุนแรงนี้ยิ่งใหญ่เกินจินตนาการหาผู้ใดเปรียบไม่ แม้กระทั้งหยางติงเทียนที่เป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรก่อกายาระดับเก้าขั้นสุด ยังถูกรัศมีความแกร่งกล้าของเย่เจวี๋ยข่มไว้
แต่แล้วหยางติงเทียนก็ระเบิดพลังสวนกลับไป ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็เป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรก่อกายาระดับเก้า จะปล่อยให้สารเลวน้อยอาณาจักรก่อกายาระดับหกข่มขู่ได้อย่างไร? แค่คิดก็รู้สึกขายหน้าจะแย่
ในเมื่อมันอาสาท้าประลองเองเช่นนี้ ก็เท่ากับรนหาที่ตายเอง ซึ่งหยางติงเทียนเองก็อยากจะฆ่ามันเพื่อจบเรื่องเช่นกัน!
พอหยางติงเทียนคิดได้ดังนั้นก็รีบเอ่ยปากสั่งการเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายของตระกูลเข้าล้อมเย่เจวี๋ยเอาไว้ แต่ละคนกระชับถืออาวุธคู่กายอย่างเหนียวแน่น ในขณะที่เย่เจวี๋ยเหลือเพียงมือเปล่า
“สับเดรัจฉานให้เป็นชิ้นๆ แล้วโยนให้สุนัขจรกิน!”
หยางติงเทียนเห็นว่าท่าทางอันหยิ่งผยองของเย่เจวี๋ยยังคงไม่จางหาย ยามนี้ดวงตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำคำรามลั่นพร้อมจิตสังหารอันเดือดดุ
เสี้ยวพริบตาต่อมา บรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายก็ปราดพุ่งประจัญบานใส่เย่เจวี๋ยโดยตรง
ทว่าพวกเขากลับหารู้ไม่เลยว่า สิ่งที่แต่ละคนกำลังเผชิญหน้าอยู่เป็นศัตรูประเภทที่ว่าอาณาจักรพลังเป็นเพียงเรื่องรอง แท้ที่จริงพละกำลังของเย่เจวี๋ยในปัจจุบันเทียบเท่าได้กับกระทิงคลั่งยี่สิบห้าตัว ซึ่งมันเกินกว่าอาณาจักรก่อกายาระดับเก้าขั้นสุดไปหลายขุมแล้ว
นอกจากนี้เอง เมื่อกล่าวถึงประสบการณ์ความเจนจัดด้านการต่อสู้ของเย่เจวี่ย เขาเคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดแห่งพิภพ
ท่าร่างกระบวนยุทธ์ เย่เจวี๋ยสามารถรับมือและแก้ทางได้ทุกแขนง
พวกผู้อาวุโสตระกูลหยางทั้งหมดถึงกับตื่นตะลึงยิ่ง ไม่คิดเลยว่าเย่เจวี๋ยจะไม่ถอยหนี แต่กลับเลือกพุ่งเข้าปะทะหน้าโดยไม่เกรงกลัวใดๆ
ออกเพลงหมัดสาดกระหน่ำไป ผู้อาวุโสตระกูลหยางผู้โชคร้ายรายแรกพลันกรีดร้องระงมลั่นอย่างสุดแสนเวทนา จุดตันเถียนของเขาถูกทำลายโดยตรง ส่วนอาวุธประจำกายยังูกเย่เจวี๋ยชิงไปใช้งานอีก ผนวกกำลังพร้อมกับอาวุธในมือ ปาดคมดาบเพียงหนึ่งกระบวน ผู้อาวุโสอีกสี่คนถึงฆาตในบัดบด ถูกเย่เจวี๋ยสะบัดศีรษะหลุดกระเด็นกระดอน
“นี่มันเป็นไปได้ยังไง? น่า…น่าเกรงขามยิ่ง”
ทันทีที่สายตาคู่นั้นของเย่เจวี่ยเหลือบไปมองผู้อาวุโสตระกูลหยางที่เหลือ พวกเขาก็รีบคุกเข่าโขกศีรษะกระแทกพื้นอย่างแรงสามครั้งหวังขอขมาอ้อนวอน
“ขยะ” ในตอนนั้นที่หยางติงเทียนสามารถสังหารทิ้งได้ในเสี้ยวพริบตา กลับหาใช่อย่างที่รู้จักอีกต่อไป
เย่เจวี๋ยตรงเข้ามาตรงหน้าเหล่าผู้อาวุโสที่ก้มศีรษะจรดพื้นเพื่อขอความเมตตา เขาเหลือบมองคนเหล่านั้นเล็กน้อยพร้อมแสยะยิ้มมุมปาก เสี้ยวอึดใจต่อมา เขาก็ใช้บาทาตอกส้นเท้าอัดศีรษะผู้อาวุโสคนหนึ่งจนหัวจมดินตายคาที่ คนอื่นๆ ต่างตื่นตระหนักหนัก รีบโยนอาวุธเตรียมวิ่งหนีตายกันทันที แต่มีหรือที่คนอย่างเย่เจวี๋ยจะปล่อยให้หนีไปง่ายๆ?
สองอึดใจต่อมา บนลานประลองแห่งนี้เหลือเพียงหยางติงเทียนกับเย่เจวี๋ยเท่านั้นเพียงสองคน
เวลานี้เอง เย่เจวี๋ยเหลือบมองไปที่หยางติงเทียน มุมปากพลันกระตุกรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มขึ้น และกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าคงรู้แล้วใช่หรือไม่ ว่าทำไมข้าถึงปล่อยเจ้าเป็นคนสุดท้าย? เพราะข้าเคยลั่นวาจากับเจ้าว่า ตระกูลหยางจะต้องกลายมาเป็นทะเลเลือด ดังนั้นเจ้าควรจะเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตาตนเอง”
หยางติงเทียนแทบไม่เหลือที่ยืน หากถอยไปหนึ่งก้าวคงเผลอเหยียบย่ำศพของเหล่าผู้คนตระกูลหยางที่ตายลงไป ลานประลองยุทธ์ตอนนี้ถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉาน รินไหลข้างสนามลงสู่ลำธารสายน้อย
“หยุดพล่ามไร้สาระได้แล้วเจ้าเดรฉาน! เจ้ากับข้ามีวาสนาไม่ลงรอย มิอาจอยู่ร่วมแผ่นฟ้าเดียวกันได้! วันนี้ข้าจักกินเนื้อเจ้า เคี้ยวหัวใจเจ้า และดื่มเลือดของเจ้าเพื่อสังเวยแก่พี่น้องตระกูลหยาง!”
หยางติงเทียนคำรามแผดเสียงลั่นดั่งลั่นกลองรบ กำด้ามกระบี่ในมือแน่นจนสั่นเทาด้วยความโกรธ
แต่ทว่าเบื้องลึกภายในใจของเขากลับก่อเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาเสียได้ ขุมพลังความแกร่งกล้าที่เย่เจวี๋ยแสดงออกมาก่อนหน้า ต้องยอมรับเลยว่า มันช่างน่าหวาดกลัวเสียจริง แม้แต่เขายังไม่สามารถสังหารยอดฝีมืออาณาจักรก่อกายาระดับแปดลงได้ง่ายดายเพียงนี้
ในขณะนั้นเอง ก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งรีบวิ่งตรงเข้ามาตรงด้านล่างลานประลอง
เว้นเสียแต่เย่ชุ่นซิน มีบรรดาผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของตระกูลเย่ รวมไปถึงพวกเยาวชนหนุ่มสาวทั้งหลายก็เฝ้าติดตามมาดูเช่นกัน
“หยางติงเทียนหยุดมือก่อน! อย่าทำร้ายนายน้อยของพวกเรา!”
พอเย่เจวี๋ยได้ยินแบบนั้น เขาก็เหลียวมองทุกคนในตระกูลเย่ กวรเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาว่า
“พวกเจ้ามาได้ถูกเวลาดีจริงๆ”
แต่ในชั่วพริบตานั้นเอง หยางติงเทียนใช้โอกาสทีเผลอลอบโจมตีเย่เจวี๋ยด้วยความเร็วสูงสุด คมกระบี่ฟันลงบนศีรษะของเย่เจวี๋ยสุดแรงเกิด
เสี้ยวจังหวะนั้นเอง ขณะที่กระบวนการสังหารจะบรรลุผล หยางติงเทียนพลันเหลือบไปเห็นรอยยิ้มบนมุมปากของเย่เจวี๋ย นั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและดูถูกดูแคลนสิ้นดี ราวกับว่าอีกฝ่ายคาดเดาได้นานแล้วว่าจะต้องมาไม้นี้
“เจ้านี่ช่างไร้เดียงสาและโง่งมโดยแท้ สมแล้วที่เป็นผู้นำฝูงสุนัขตระกูลหยาง”
เย่เจวี๋ยหมุนตัวเอนหลบการโจมตีของหยางติงเทียนได้อย่างง่ายดาย พร้อมใช้มือข้างหนึ่งพุ่งออกไปคว้าคอของหยางติงเทียนไว้แน่น
หยางติงเทียนพยายามตะดิ้นรนหวังให้หลุดจากพันธนาการ แต่กลับต้องพบว่า ฝ่ามือของเจ้าเดรัจฉานน้อยที่บีบแน่นบนคอตนนั้นแข็งแกร่งราวกับคีมเหล็ก จะพยายามดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้สักนิด
ทุกคนย่อมทราบประมุขตระกูลหยาง เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูล แต่ยามนี้กลับถูกเย่เจวี๋ยบีบคอแน่นพลางยกลอยขึ้นกลางอากาศ สภาพราวกับสุนัขแก่ที่ใกล้ตาย แต่ละคนถึงกับหัวสมองขาวโพลนรู้สึกมึนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนตระกูลเย่ พวกเขายังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับรูปปั้นหิน เด็กหนุ่มคนนี้...ยังใช่เย่เจวี๋ยที่พวกเขารู้จักอีกรึ? แล้ว...แล้วดวงตาคู่นั้นมันหมายความว่ายังไง? มิใช่ว่าถูกควักออกไปแล้ว? อีกทั้งหยางติงเทียนที่ปลดปล่อยพลังขั้นสุดออกมาก็ยังมิอาจเป็นคู่มือของเย่เจวี๋ยได้? ทั้งหมดนี่พวกเขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?
เย่เจวี๋ยไม่แม้แต่แยแสความตื่นตกใจของทุกคนโดยรอบ เพียงยิ้มเยาะมองไปที่หยางติงเทียนที่ใกล้ขาดอากาศหายใจเต็มทนและกล่าวว่า
“คนแซ่หยาง วานก่อนเจ้าเพิ่งควักลูกตาข้าไป เคยคิดหรือไม่ว่าท้ายที่สุดพวกเจ้าจะมีวันนี้? อยากลองเสียลิ้มรสเสียหน่อยไหมว่า การโดนควักลูกตาออกมาทั้งเป็นมันรู้สึกทรมานเพียงใด!”
ระหว่างเอ่ยปากกล่าวอยู่นั้น เย่เจวี๋ยก็ค่อยๆ ยื่นนิ้วตรงเข้าไปใกล้ดวงตาของหยางติงเทียน
หยางติงเทียนในปัจจุบันปราศจากท่าทีหยิ่งผยองและยิ่งใหญ่ดั่งระดับประมุขตระกูลควรเป็นอีกต่ไป เขาหวาดกลัวอย่างยิ่ง พยายามใช้พละกำลังทั้งหมดดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่จะพยายามจนแรงกายเหือดแห้งก็ไม่แม้แต่เขยื้อน ยิ่งถูกเย่เจวี๋ยบีบคอตนไว้แน่น ยิ่งหายใจไม่ออกหมดแรงหนัก
หลังจากนั้นไม่นาน ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็ถูกเย่เจวี๋ยควักออกมา โยนร่างสภาพสุนัขแก่ขึ้นค้างกลางเวหา เย่าเจวี๋ยใช้ดัชนีทำลายจุดตันทียนของเขาจนแตกดับในอัดใจ ตกกระแทกพื้นดินตายคาที่
ในตอนนี้ พลังภายในร่างกายของเย่เจวี๋ยถูกสั่งสมถึงขีดสุดแล้ว เพราะกายานี้คือกายเขมือบสวรรค์ ก่อนหน้านี้ที่เขาล่าสังหารทุกคนในตระกูลหยาง โดยส่วนใหญ่เขาจะลอบใช้ดัชนีทะลวงไปที่จุดตันเถียนและดูดลมปราณในร่างกายของทุกคนมา และถูกหลอมกลั่นให้บริสุทธิ์อีกครั้งโดยเคล็ดวิชาหลอมจักรวาล แปรสภาพกายเป็นลมปราณกระแสใหญ่หล่อเลี้ยงร่างกาย
หลังจากดูดซับลมปราณจากคนอื่นจนเติมอิ่ม สัญญาณเลื่อนระดับชั้นพลังของเย่เจวี๋ยก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
รัศมีทั่วร่างของเย่เจวี๋ยทะลุขึ้นเปล่งจรัสเป็นสีแดงโลหิตพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องนภาสูง ในเวลานั้นเองพลังชีวิตของเย่เจวี๋ยก็ก้าวข้ามพัฒนาอีกระดับหนึ่ง
“อ๊ากก...”
เสียงคำรามกึกก้อง เปล่งลั่นจากภายในสู่ภายนอก ร่างกายของเขากำลังเกิดปรากฏการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เสมือนโขลงช้างนับร้อยเชือกกำลังวิ่งเข้ามาพร้อมกัน ยิ่งทำให้เย่เจวี๋ยเปล่งร้อนลั่นจนทำให้ผู้คนแซบแก้วหู!
“นี่มัน! พลังโลหิตภายในกายระเบิดคลั่งออกมา นี่เป็นสัญญาณว่า เย่เจวี๋ยกำลังทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรก่อกายาระดับเจ็ด! นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน ทะลวงผ่านระดับชั้นได้ง่ายราวกับของเล่นปานนี้เชียว?”
“ยิ่งไปกว่านั้น พอได้สัมผัสขุมพลังความแกร่งกล้านี้ ข้าไม่แปลกใจเลยที่เขาสามารถล้างบางตระกูลหยางได้เพียงตัวคนเดียว!”
“บัดซบ! พวกเรามีตาหามีแววไม่ เคยไปล้อเลียนมันว่าขยะ แถมข้ายังเคยแต่งกลอนล้อความอัปยศของเขาอีก มิใช่ว่าบ้านข้า...จะเป็นเหยื่อรายต่อไปกระมัง?”
เมื่อทุกคนประจักษ์แจ่มแจ้งว่า เย่เจวี๋ยทรงพลังร้ายกาจถึงขั้นนี้ นี่ยิ่งทำให้คนตระกูลเย่ที่เฝ้าดูอยู่หวาดกวั่นมากยิ่งขึ้น พวกเขาเองก็เคยดูถูกดูแคลนเย่เจวี๋ยไว้เช่นกัน หลังจากนี้ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะใจอำมหิตฆ่าล้างตระกูลตัวเองดั่งหมูหมาหรอกกระมัง?
พอทุกอย่างสงบลง เย่เจวี๋ยก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
พลางเหลือบหางตาไปมองคนของตระกูลเย่ พวกเขาเหล่านั้นก็รีบคุกเข่าทันที แต่กลับถุกเขาโบกมือหยุดไว้พร้อมกล่าวว่า
“ช่างเถอะ ลุกขึ้น ลุกขึ้น ข้าในตอนนี้เองก็เป็นยอดฝีมือที่ทุกคนเคารพยำเกรง ย่อมมีคุณธรรมเป็นธรรมดา ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกสักครา แล้วหลังจากนี้ควรทราบว่าจะทำเช่นไรต่อ ส่งคนไปจับหยางอู๋ซินมา ย้ำว่าจับมาทั้งเป็น!”
พอเอ่ยจบ เย่เจวี๋ยก็เดินลงไปจากลานประลองและกลับตระกูลทั้งแบบนั้น ทิ้งให้ทุกคนยืนงงประดับค้างใบหน้าอันแสนตกตะลึงไม่เสื่อมคลาย
ศึกประลองยุทธ์ครั้งนี้ ทำให้เย่เจวี๋ยดังระเบิด!