ตอนที่แล้วตอนที่5 นัดหมายประลองยุทธ์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่7 บดขยี้ตระกูลหยาง

ตอนที่6 หนึ่งคนปะทะหนึ่งตระกูล


ตอนที่6 หนึ่งคนปะทะหนึ่งตระกูล

สิ่งที่เย่เจวี๋ยขาดแคลนที่สุดในยามนี้คือทรัพยากร ผลวิญญาณรัตติกาลอุดมไปด้วยพลังงานมืดธาตุหยินสูง หากสั่งสมในร่างกายมากเกินไปไม่เพียงแต่จะมีฤทธิ์เป็นพิษ แต่ยังทำให้คนผู้นี้เสียสติเป็นบ้าได้ หากปราศจากเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่ดีพอมาสกัด ก็ไม่ต่างอะไรกับดื่มพิษเข้าร่างเลย

แต่อย่างไรเสีย เคล็ดวิชาบ่มเพาะของเย่เจวี๋ยคือ เคล็ดวิชาหลอมจักรวาล เป็นวรยุทธ์โบราณที่สามารถหล่อหลอมพลังงานได้หลายหลายแขนง นอกจากนี้ด้วยกายวิญญาณเขมือบสวรรค์ เขายังสามารถทนต่อฤทธิ์กัดกร่อนที่ตกค้างในกายาได้อีกด้วย

ใกล้ถึงวันประลองยุทธ์เข้าไปทุกที วันที่สอง เย่เจี๋ยยังคงนั่งบ่มเพาะพลังตลอดทั้งวี่วันเพื่อดูดซับพลังจากผลวิญญาณรัตติกาล แกนอสูร และหินลมปราณอีกจำนวนหนึ่ง พลานถึงเวลาพลบค่ำ เขาก็ดูดซับหล่อหลอมพลังทั้งหมดจนเสร็จสมบูรณ์ และเลื่อนระดับชั้นอีกครั้ง ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรก่อกายาระดับหก กล่าวคือขอบเขตแห่งความยืดหยุ่น

แม้นคำว่ายืดหยุ่นจะฟังดูบอบบางและอ่อนแอ แต่ความแข็งแกร่งที่แท้จริงหาใช่ไม้แท่งแข็งกระด้างเท่านั้น ยืดหยุ่นบิดพลิ้วตามสถานการณ์ หาไม่ไม้แข็งสักแต่ปะทะท้าชนจนหักโค่น ไม่เพียงเส้นเอ็นทั่วร่างกายจะมีความยืดหยุนสูงขึ้น แต่พละกำลังของเขาก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยเช่นกัน หากเปรียบเทียบ เสมือนมีกระทิงคลั่งเพิ่มขึ้นอีกหกตัว

แต่เย่เจวี๋ยยังคงไม่ค่อยพอใจกับผลลัพธ์ในเวลานี้เท่าไหร่ ถ้าหากคนนอกรู้ว่าเขาที่มีพลังอยู่ในอาณาจักรก่อกายาระดับหก มีพละกำลังเทียบเทียมกระทิงคลั่งยี่สิบห้าตัว ใครบ้างจะไม่ตกใจจนกามค้าง?

และถ้าจะบอกว่าเย่เจวี๋ยเริ่มต้นฝึกปรือตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงระดับหกโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร?

เวลานี้ เย่เจวี๋ยกำลังนั่งขัดสมาธิฝึกจิตใจให้เสถียร ทันใดนั้นพลันเห็นเงาดำสะท้อนวูววาบอยู่ด้านนอกเรือน แต่ครั้งนี้เย่เจวี๋ยยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง เพราะทราบว่าครั้งนี้อีกฝ่ายเป็นใคร

ก่อนหน้านี้เย่เจวี๋ยได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาลวงโลกให้แก่เย่ชุ่นซินไป และย่อมเป็นธรรมดาที่อีกฝ่ายจะรู้สึกเคลือบแคลงใจ และยังไม่กล้านำไปฝึกปรือในทันที ดังนั้นเขาจึงต้องซุมเฝ้าสังเกตการณ์เพื่อสอดส่องเป็นระยะ

ดังนั้นเย่เจวี๋ยจึงดึกผ้าแพรสีขาวที่ปกคลุมบริเวณดวงตาออก จงใจให้เย่ชุ่นซินเห็นทั้งหมด

แน่นอน เย่ชุ่นซินที่เฝ้าสังเกตอยู่ภายนอกตกใจจนแทบกลืนลิ้นลงคอ เพราะเขาดันไปเห็นดวงตาของเย่เจวี๋ยที่ส่องสะท้อนภายใต้แสงจันทร์นวล ปรากฏว่าเคล็ดวิชานี้สามารถให้กำเนิดดวงตาคู่ใหม่ได้จริงๆ!

แลเห็นดังนั้นเขาจึงเหลียวหลังกลับและจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

คราก่อนหน้า เขายังมีข้อกังขาสงสัยติดอยู่ภายในใจตลอดมาว่า เย่เจวี๋ยกำลังโกหกตนอยู่หรือเปล่า? ทว่าตอนนี้พอได้เห็นดวงตาคู่ใหม่ของเย่เจวี๋ยคาหนังคาเขาแบบนี้ นั้นแสดงว่า การจะเพิ่งพาเคล็ดวิชานี้เพื่อทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงก็หาใช่เรื่องยากอีกต่อไปไม่!

“หึหึ ได้ข่าวว่าเจ้านี่ท้าประลองกับพวกรุ่นเยาว์ของตระกูลหยาง? อาศัยเพียงระดับพลังแค่นี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่จาย แต่ก็ดี สิ่งนี้จะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคนได้ เมื่อใดที่ข้าทะลวงขี้นสู่อาณาจักรนภาม่วง ถึงเวลานั้นอาจจะไม่ใช่แค่ตระกูลเย่ แม้แต่เมืองหลงเย่แห่งนี้จักต้องตกอยู่ในกำมือข้า!”

ท่ามกลางแสงจันทร์สว่าง เย่ชุ่นซินแสยะยิ้มฉีกกว้างอย่างน่าสยดสยองยิ่งนัก

เวลาเลยผ่านไป พริบตาเดียวก็มาถึงวันนัดประลองยุทธ์ คนทั่วทั้งเมืองหลงเย่ต่างแห่แหนกันไปดูเรื่องตลกฉากใหญ่ ส่วนคนตระกูลเย่นับเป็นความอัปยศอย่างที่สุด ไม่แม้แต่กล้าย่างเท้าก้าวออกจากประตูสักคน

ทางทิศตะวันออกของเมือง ณ ลานประลองยุทธ์

ภายในเมืองหลงเย่ นอกจากตระกูลเย่และตระกูลหยางแล้ว ก็ยังมีอีกสามตระกูลใหญ่รวมไปถึงจวนเจ้าเมือง ทั้งหมดต่างรวมตัวกัน ณ สถานที่แห่งนี้ ส่งเสียงเจียวแจวกันอย่างครึกครื้น

เมื่อเห็นเหล่าเยาวชนของตระกูลหยางแต่ละคนเปล่งรัศมีดุร้ายดั่งพยัคฆ์แกร่งกล้า กำลังอุ่นเครื่องรอการประลองเริ่ม ในอีกด้านทุกคนก็ยังไม่เห็นว่า เย่เจวี๋ยโผล่หัวออกมาสักที จนอดจับกลุ่มนินทากันไม่ได้ว่า

“เย่เจวี๋ยคงไม่กล้ามากระมัง?”

“บางที...อย่างที่เขาว่ากัน พอสูญเสียดวงตาไป จิตใจคงพิการไม่สมประกอบไปด้วยแล้ว จึงแหกปากพูดไม่คิดแบบนั้น แต่ยั่วยุฝักฝ่ายใดไม่ยั่วยุ ดันมาหาเรื่องกับตระกูลหยาง นี่กลับคิดผิดแล้ว”

“ในความเห็นของข้า มีความเป็นไปได้ไหมว่า เขาจะโทษเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของตระกูล จึงจงใจท้าประลองสร้างปัญหาเพื่อทำให้ตระกูลเย่ขายขี้หน้า?”

“ฮ่าฮ่าๆๆ ...เจ้าพูดถูกต้อง! ตระกูลเย่คงเสียหน้าเกินจะกู้คืนได้อีกแล้ว เย่เจวี๋ย ไอ้เด็กคนนี้ช่างร้ายกาจนัก!”

ในขณะนั้นเอง เยาวชนหนุ่มผู้มีพลังอยู่ที่อาณาจักรก่อกายาระดับสามของตระกูลหยาง เดินขึ้นมายังลานประลอง หยิบผ้าปิดตาสีดำออกมาปิดตาและป่าวประกาศกับทุกคนว่า

“ข้าคือเยาวชนผู้มีพรสวรรค์ต่ำที่สุดในตระกูลหยาง ถึงพวกเราจะรับคำท้าประลอง แต่ตระกูลหยางยังมีคติที่ว่า คุณธรรมนำชีวิต เพื่อมิให้เย่เจวี๋ยต้องพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวชเกินควร ดังนั้นข้าจะขอประลองกับเขาโดยใช้ผ้าปิดบังดวงตาเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อการประลองอย่างเป็นธรรมกับเย่เจวี๋ย!”

เมื่อวาจานี้เปล่งดังออกมา บรรดาผู้ชมทั้งหลายแห่ก็ระเบิดหัวเราะเยาะลั่นออกมาในทันใด

ความหมายของเยาวชนหนุ่มผู้นี้ชัดแจ้งยิ่งนัก เย่เจวี๋ยเป็นเด็กพิการตาบอด แม้แต่เยาวชนผู้อ่อนแอที่สุดของตระกูลหยางยังหาใช่คนที่เย่เจวี๋ยจะเอาชนะได้ แถมยังต่อให้โดยการใช้ผ้าปิดตา นี่เรียกได้ว่าเป็นการตบหน้าตระกูลเย่ต่อหน้าสาธารณชนอย่างแรง

ใกล้ถึงเวลาเริ่มประลอง แต่ก็ไม่แม้แต่เห็นเงาของเย่เจวี๋ย ขณะที่ทุกคนพลันคิดกันไปว่า เย่เจวี๋ยคงไม่กล้ามาแล้ว ทันใดนั้นก็ปรากฏเยาวชนในชุดขาวสวมผ้าแพรปิดตาเดินฝ่าฝูงชน ตรงขึ้นมาบนลานประลองเพียงลำพังปราศจากใครอื่น

ท่าทางการแสดงออกในปัจจุบันของเย่เจวี๋ยดูสงบนิ่งอย่างมาก ไร้ซึ่งท่าทีประหม่าหรือหวาดกลัวแม้สักนิด

พอเห็นการมาถึงของเย่เจวี๋ย เยาวชนหนุ่มตระกูลหยางนั้นพลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ ถอนหายใจเฮือกหนึ่งด้วยความสงสัย เอ่ยกล่าวขึ้นว่า

“เย่เจวี๋ย แม้ข้าจะใช้ผ้าปิดตาขณะสู้กับเจ้า แต่ระดับพลังของข้าก็สูงกว่าเจ้าถึงสองขั้น บนลานประลองนี้มีเพียงไม่เป็นก็ตาย เช่นนี้เป็นอย่างไร คุกเข่าแทบเท้าตรงหน้าข้า พร้อมโขกศีรษะสามทียอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี ส่วนสาวใช้ของเจ้าก็จงมอบให้แก่ข้าเสีย แล้วข้าจักไว้ชีวิตเจ้า”

โดยคาดไม่ถึงแม้สักนิด มุมปากของเย่เจวี๋ยกระตุกยิ้มฉีกขึ้นทันที เผยแสดงออกมาเป็นรอยยิ้มแสนเย้ยหยัน

“สวะอย่างเจ้ายังกล้าปิดตาสู้กับข้าอีกงั้นรึ? ช่างน่าไม่อายเสียจริง เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร? จงคุกเข่าขอโทษข้า และข้าจะฆ่าเจ้าโดยให้เจ็บปวดน้อยที่สุด ถึงอย่างไรไม่มีตัวเลือกไว้ชีวิต เพราะข้าเคยบอกไปแล้ว ตระกูลหยางจักต้องกลายเป็นทะเลเลือด!”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้เปล่งดังออกมาจากปากเย่เจวี๋ย บรรดาผู้คนของตระกูลหยางต่างสบถเย้ยเยาะขึ้นในทันใด ทั้งๆ ที่จะตายอยู่ใกล้ ยังมีหน้ามาพูดจาไร้สาระออกมาเสียได้

“เหอะ เหอะ เห็นได้ชัดว่าพวกมันก็สวะทั้งคู่ เย่เจวี๋ยยังกล้าไปดูถูกหยางอู๋หัวอีกงั้นรึ? ข้าไม่รู้เสียว่า เจ้านั่นมันไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?”

“ฮ่าฮ่าๆๆ ... เจ้าได้ยินเหมือนกันหรือไม่? มันบอกว่าตระกูลหยางจะต้องกลายเป็นทะเลเลือด! คงไม่ใช่ว่าเป็นเลือดของมันที่อาบตระกูลหยางแทนใช่หรือไม่?”

“ช่างคุยโวขี้โม้อะไรปานนั้น ต่อให้ต้องตายข้ายังทำใจเชื่อไม่ลง!”

ในปัจจุบัน เย่เจวี๋ยกลับกลายมาเป็นตัวตลกของทุกคนไปเสียแล้ว ทุกคนต่างดูถูกและหัวเราะเยาะเขา

เมื่อหยางอู๋หัวได้ยินเช่นนั้นก็หัวเสียอย่างมาก โดยปกติแล้ว เขาก็มักจะถูกเหล่าอัจฉริยะในตระกูลหยางกลั่นแกล้งมามากพอแล้ว วันนี้กลับโดนคนที่ได้ชื่อว่าขยะแห่งตระกูลเย่สบประมาทดูแคลนซ้ำอีก น่ามันความอัปยศในความอัปยศเกินทานทน

“เย่เจวี๋ย! แกรนหาที่ตายละ-....”

ยังไม่ทันกล่าวจบ จู่ๆ สุ้มเสียงของเขาพลันหยุดลงในบัดดล

บูม! บูม!

ท่ามกลางเสียงหัวเราะเย้ยเยาะของทุกคน เย่เจวี๋ยบุกเข้าประชิดถึงตัวหยางอู๋หัวภายในเสี้ยวพริบตา สองหมัดกระชับแน่นซัดร่างของอีกฝ่ายปลิวกระเด็นออกจากลานประลองโดยตรง ค้างแขวนห้อยต่องแต่งอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลนัก สิ้นใจตายทั้งแบบนั้น

“ไม่เลย เจ้าต่างหากรนหาที่ตาย”

สีหน้าของเย่เจวี๋ยยังคงสงบนิ่งไม่แปรเปลี่ยน เพียงหนึ่งกระบวนหมัดก็ฆ่าหนึ่งชีวิตได้ในพริบตา ร่างตระหง่านยืนนิ่งกลางลานประลองราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เวลาเดียวกัน สีหน้าของทุกคนกลับแข็งค้างราวกับรูปปั้นหิน พวกเขารู้สึกดั่งมาโดนตบหน้าอย่างจังจนซ่านชา อ้าปากจนขากรรไกรค้างแทบเอาไข่ยัดลงไปได้

สำหรับภาพฉากเมื่อสักครู่ สีหน้าตระกูลหยางดูมืดทมิฬลงทันที ผิวหน้าสะท้านชาชั่วขณะเช่นกัน

เดิมทีพวกเขาอยากจะเห็นตระกูลเย่ต้องขายหน้า แต่ตอนนี้หยางอู๋หัวกลับตายคาบนต้นไม้ ศพห้อยต่องแต่งอยู่แบบนั้น นี่ไม่ต่างอะไรกับการที่เย่เจวี๋ยถ่มน้ำลายใส่หน้าหยามตระกูลหยาง

“ตกใจกันงั้นรึ? ไม่ ไม่...อย่าพึ่งรีบกังวลไปเสีย นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ข้าเคยบอกไปแล้วมิใช่รึ? วันนี้จักท้าทายเยาวชนตระกูลหยางทั้งหมด และตระกูลหยางจะต้องกลายเป็นทะเลเลือด”

ชั่วจังหวะนั้นเอง บนร่างทั่วกายาของเย่เจวี๋ยก็ปลดปล่อยจิตสังหารอันเย็นยะเยือกออกมา แม้นทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา แต่สัมผัสได้จับใจจนเสียวสันหลังวาบ

“สวะนี่มันรนหาที่ตายโดยแท้”

เมื่อหยางติงเทียนเห็นฉากนี้เข้า ก็กัดฟันแน่นกรอดด้วยความโกรธ หากมิใช่เพราะสถานะของเขา ปานนี้คงลงมาตบเจ้าเย่เจวี๋ยตายคาฝ่ามือไปนานแล้ว

ในเวลานี้เอง บุตรชายคนโตของเขาอย่างหยางอู๋โก้วก็ก้าวขึ้นลานประลองทันที พอเห็นท่าทางอันจองหองของเย่เจวี๋ยก็อดหัวเราะเยาะออกมามิได้

“หยางอู๋หัวเป็นเพียงขยะเหลือทิ้งของตระกูล มันก็แค่ประมาทและถูกเจ้าเล่นที่เผลอเพียงเท่านั้น อย่าคิดว่าเอาชนะมันได้แล้วจะจองหอง พล่ามไร้สาระอยู่ได้ซ้ำไปวนมา จะทำให้ตระกูลหยางเป็นทะเลเลือด? ดูท่าจะเพี้ยนกันไปใหญ่แล้ว”

“ตายซะ! จบสิ้นกันเสียที!”

สิ้นเสียงหยางอู๋โก้ว ขุมพลังอาณาจักรก่อกายาระดับก็ระเบิดคลั่งแผ่ไพศาลดังกึกก้อง กระแสลมปราณควบรวมเป็นชั้นเกราะทั่วร่าง กระชับกำปั้นสังหารชกใส่เย่เจวี๋ยด้วยความเร็วสูง

เขาพลางคิดไปว่า เมื่อใดที่เย่เจวี๋ยตายคากพปั้นของตน เมื่อนั้นจะสามารถกู้ชื่อเสียงของตระกูลหยางกลับมาได้

ทุกคนทั่วลานประลองเองต่างก็รู้สึกเช่นนั้น ภาพฉากต่อไปควรจะเป็นโศกนาฏกรรมนองเลือดอันน่าสยดสยอง บัดนั้นจึงปิดตาไม่กล้าเฝ้ามอง

แต่ชั่วอึดใจต่อมา กลับกลายเป็นภาพฉากที่น่าตกตะลึงยิ่งแทน!

กำปั้นของหยางอู๋โก้วถูกหยุดลงตรงหน้าของเย่เจวี๋ย พอทุกคนพยายามเพ่งมองกลับพบว่า เย่เจวี๋ยกำลังใช้นิ้วมือทั้งสองหยุดกำปั้นนั้นไว้ได้อย่างง่ายดาย

“อะไรกัน!? นี่มันไร้สาระสิ้นดี! มัน...มันจะเป็นไปได้ยังไง?”

“เจ้าพวกนั้นกำลังเล่นละครกันอยู่รึไง? หยางอู๋โก้วเตี้ยมกับเย่เจวี๋ยงั้นเหรอ?”

อย่างไรก็ตามแต่ เพียงเสี้ยวพริบตาต่อมา หยางอู๋โก้วพลันกรีดร้องเสียงหลงอย่างน่าเวทนายิ่งยวด เพราะแขนข้างนั้นที่ถูกเย่เจวี๋ยหยุดไว้ได้กลับระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ ชิ้นเนื้อและเลือดสีแดงสดสาดกระจายย้อมชุดอาภรณ์สีขาวของเย่เจวี๋ยในพริบตา

หยางอู้โก้วถึงกับนอนคร่ำครวญดิ้นไปมาอย่างทุรนทุรายอยู่กับพื้น เห็นเช่นนั้นเย่เจวี๋ยย่างสามขุมตรงเข้าไปหยุดตรงหน้าอีกฝ่าย พร้อมยกฝ่าเท้าเหยียบไปที่ใบหน้าของหยางอู๋โก้ว และเริ่มออกแรงบดขยี้อย่างช้าๆ พลางกล่าวประกาศศักดิ์ดาขึ้นว่า

“พวกตระกูลหยางมันหาไม่คู่ควรกกับข้าผู้นี้ พวกเจ้าไม่ควรล่วงเกินข้าแต่แรก ต่อแต่นี้เป็นต้นไป ข้าจักค่อยๆ ไล่บดขยี้พวกเจ้าทีละตัว...ทีละตัวดั่งมดน้อยรอวันตาย!”

พอพูดจบเย่เจวี๋ยก็ยกฝ่าเท้าขึ้นและกระทืบอัดใบหน้าของหยางอู๋โก้วสุดแรงไร้ซึ่งปราณี จนกะโหลกศีรษะของอีกฝ่ายแหลกและคาเท้า ตายคาที่ในเสี้ยวพริบตา

“เจ้ากล้าดียังไง!?”

ยามเห็นภาพฉากนี้ หยางติงเทียนกระทืบเท้าลุกขึ้นพรวดตื่นจากภวังค์ความตกใจ หยางอู๋โก้วไม่แม้แต่มีโอกาสส่งเสียงร้องด้วยซ้ำ เขาถูกเย่เจวี๋ยกระทืบตายคาเท้าในชั่วอึดใจ

“ถูกต้องแล้วเจ้าขยะเฒ่า ข้ากล้าฆ่าคนของเจ้า และยังกล้าฆ่ามากกว่านี้! ดูนี่สิ...”

หลังพูดจบเย่เจวี๋ยังไม่ถอนฝ่าเท้าออกไปไหน แต่กลับยกบาทากระทืบศพของหยางอู๋โก้วต่ออย่างเมามัน ในสายตาของผู้ชมต่างมองว่าเย่เจวี๋ยบ้าไปแล้ว

“นี่...นี่เป็นไปได้อย่างไร?”

ทั่วลานประลอง บรรดาผู้ชมมากมายอุทานลือลั่นด้วยความไม่อยากเชื่อ บางคนถึงกระทั่งปิดตาไม่กล้าดูภาพฉากอันโหดเหี้ยมนี้ต่อได้ไหว

นี่...นี่น่ะรึขยะแห่งตระกูลเย่? เด็กพิการไร้ความสามารถแม้แต่จะช่วยตัวเอง? ขยะ...ขยะที่ไหนกัน?! มีขยะที่ไหนสามารถกระทืบผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรก่อกายาระดับหกให้ตายคาเท้าได้ในชั่วอึดใจ? ราวกับกำลังเหยียบย่ำมดปลวกตัวหนึ่งก็มิปาน ไฉนตระกูลหยางถึงหาญกล้าไปล่วงเกินปีศาจตนนี้เข้าได้?

“หุหุ...อะไรกัน? เจ้ากลัวข้างั้นรึ? หากกลัวเกรงนัก ก็จงคุกเข่าต่อหน้าข้าผู้นี้ แล้วจะลองพิจารณาดูก็ได้เป็นยกรณีพิเศษ”

ต่อให้ตอนนี้กำลังเผชิญหน้าอยู่กับหยางติงเทียน เย่เจวี๋ยก็ไม่มีท่าทีเกรงกลัวเลยสักนิด

“เจ้า! เจ้าเดรัจฉานน้อย! ข้าจักฉีกเจ้านับหมื่นแสนชิ้น!”

พอหยางติงเทียนเห็นบุตรชายของตนต้องมาตายอย่างน่าสังเวช แถมยังศพยังถูกอีกฝ่ายกระทืบเล่นไร้ซึ่งความเคารพแบบนี้ ภายในใจของหยางติงเทียนประดุจถูกคมมีดกรีดแทงนับร้อยพัน เพลิงความเกรี้ยวโกรธปะทุเกินจะหักห้าม

“ฉีกข้านับหมื่นแสนชิ้นจริงเชียว? จงขอบคุณซะที่ข้าผู้นี้นับว่ายังมีเมตตา จะต่อให้พวกเจ้าเหล่าขยะตระกูลหยางดาหน้าเข้ากันมาให้หมด จะรุมข้าด้วยวิธีใดก็ได้ตามแต่ใจอิสระ”

“อันใดกัน! เมื่อครู่หมอนั่นว่าอย่างไร?”

เมื่อวาจาคำนี้เปล่งดังออกมา เสมือนกับราดน้ำลงบนกระทะที่น้ำมันเดือดพล่าน ทำเอาทั่วทั้งลานประลองยุทธ์ต้องร้อนเป็นไฟ

อาศัยความแกร่งกล้าของหนึ่งคนปะทะหนึ่งตระกูล นี่มันเหลือเชื่อเกินจริงไปมาก!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด