ตอนที่5 นัดหมายประลองยุทธ์
ตอนที่5 นัดหมายประลองยุทธ์
“ในเมื่ออาสองกล่าวถึงขนาดนี้แล้ว หากข้ายังไม่ถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้นับว่าอกตัญญูต่อตระกูลเย่แล้ว ถึงกระนั้นท่านต้องสาบานต่อสรวงสวรรค์ก่อนเสีย ห้ามส่งทอดเคล็ดวิชานี้ต่อให้ผู้ใดอื่นอีก”
เย่เจวี๋ยปั้นสีหน้าราวกับนี่เป็นเรื่องจริงจัง ชี้กำลับหนักแน่น
“แน่นอน แน่นอน ข้าขอสบานว่าหากเย่ชุ่นซินผู้นี้กล้าถ่ายทอดวิชาให้ผู้ใดอื่น ขอให้ไม่ตายดี”
เมื่อเย่เจวี๋ยได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็ดูพึงพอใจขึ้นมากและเริ่มถ่ายทอดเคล็ดวิชาบอดสวรรค์ให้แห่เย่ชุ่นซินทันที ส่วนเรื่องคำสาบานน่ะรึ? พูดอะไรไปกลับลืมไปหมดสิ้นแล้ว
“นอกเหนือจากนี้ หากว่าตามที่ท่านอาจารย์บอกกล่าวมา ผู้ฝึกปรือจนบรรลุไม่เพียงแต่มีขุมพลังแกร่งกล้าหลายเท่าทวี แต่หากสำเร็จถึงขั้นสูงสุดจะสามารถงอกดวงตาขึ้นมาใหม่ได้ และที่สำคัญ หากผู้ฝึกอยู่ในอาณาจักรก่อกายาชั้นปลาย จะช่วยให้ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงได้ง่ายดายขึ้นมาก และเมื่อถึงเวลานั้น ยามที่ท่านกลายมาเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วง ท่านอาสองอย่าลืมทวงคืนเนตรจักรพรรดิสายฟ้ากลับคืนมาแก่ข้า”
แม้เย่เจวี๋ยจะกล่าวกำชับวาจาหนักแน่นถึงเพียงนี้ แต่ท่าทีการแสดงออกของเย่ชุ่นซินตอนนี้กลับจินตนาการไปถึง ยามที่ตนเองกลายเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงไปเสียแล้ว ภายในหัวไม่มีเรื่องทวงคืนเนตรจักรพรรดิสายฟ้าแต่อย่างใด
“อาสอง? ได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่? ทันทีที่อาสองทะลวงขึ้นกลายเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วง สิ่งแรกที่ต้องทำคือทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ข้า และล้างบางตระกูลหยางนั้นซะ”
“อ่ะ! ...แน่นอนหลานข้า!”
เย่ชุ่นซุนเพิ่งได้สติกล่าวตอบ
“เมื่อเป็นเช่นนั้นต้องเดือดร้อนท่านอาสองแล้ว”
หลังจากที่เย่เจวี๋ยกล่าวจบ เขาก็สอนวิธีทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงโดยเร็วที่สุดให้ โดยวิชานี้เป็นของผู้ฝึกยุทธ์วิถีมาร ซึ่งมีเพียงเผ่าปีศาจเท่านั้นที่สามารถฝึกได้ หากเผ่ามนุษย์นำไปฝึกปรือก็ไม่ต่างอะไรกับวางยาพิษตัวเองวันละเล็กละน้อย ทั้งนี้แล้วยังสอนวรยุทธฺเบาะเพาะให้ผู้ฝึกกลายมาเป็นเตาหลอมโอสถเคลื่อนที่อีกด้วย ครานี้ถ้าฝึกสำเร็จขึ้นมามีหวังสนุกเป็นแน่แท้
แต่เย่ชุ่นซินจะไปรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร? ในเมืองหลงเย่อันห่างไกลไม่มีใครรู้จักเคล็ดวิชานี้ ย่อมไม่ใครรู้ตัวเป็นธรรมดา เห็นได้ชัดว่า เย่ชุ่นซินคนนี้ผลัดตกลงในหลุมพรางของเขาเต็มๆ แต่อย่างไร ชายคนนี้เจ้าเล่ห์ดุจจิ้งจอกเฒ่า ถึงจะเรียนรู้ไปแต่ย่อมเต็มไปด้วยความสงสัยธรรมดา และยังไม่ยอมฝึกเคล็ดวิลานี้โดยง่ายก่อนจะยืนยันมั่นใจ
รอจนกว่าเย่ชุ่นซินจากไป เย่เจวี๋ยค่อยหยิบหินลมปราณออกมาจากล่อง กล่าวกันตามตรง เย่ชุ่นซินผู้นี้ช่างโง่บริสุทธิ์และน่ารักน่าชังเสียเหลือเกิน ถึงขนาดลงทุนแอบใส่แกนอสูรเข้ามาปะปนกับหินลมปราณ เพื่อหวังจะลอบฆ่าเย่เจวี๋ย แต่อีกฝ่ายกลับหารู้ไม่ว่า สำหรับเย่เจวี๋ยแล้ว แกนอสูรนั้นมีประโยชน์เสียมากกว่าหินลมปราณมาก
เย่เจวี๋ยในปัจจุบันไม่มีปัญหาเรื่องคอขวดระหว่างเลื่อนระดับชั้น ขอเพียงสั่งสมลมปราณได้มากเพียงพอ ย่อมทะลวงผ่านอาณาจักรขั้นพลังได้โดยตรง ยิ่งได้แกนอสูรที่เย่ชุ่นซินส่งมอบมาให้ ยิ่งง่ายต่อการพัฒนาความแกร่งกล้าขอวเย่เจวี๋ยเข้าไปใหญ่
กล่าวได้ว่า คลี่คลายปัญหาให้เขาได้เป็นอย่างมากทีเดียว
ไม่รีรอ เย่เจวี๋ยโคจรลมปราณผ่านเคล็ดวิชาหลอมจักรวาล ผสานเข้ากับความเร็วในการคลั่นลมปราณให้บริสุทธิ์อันน่าทึ่งของกายเขมือบสวรรค์
หากให้ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปมาดูดซับแกนอสูรโดยตรงเช่นนี้ เกรงว่าร่างกายคงพองตัวและระเบิดตายไปนานแล้ว แต่สำหรับเย่เจวี๋ยกลับทะลวงผ่านขึ้นสู่อาณาจักรก่อกายาระดับห้าในอึดใจเดียว!
เดิมทีเขาอยู่ในอาณาจักรก่อกายาระดับสี่ แต่ภายใต้สุดยอดเคล็ดวิชาบ่มเพาะและสุดยอดกายวิญญาณอันทรงพลัง เพียงชั่วพริบตาก็ทะลวงขึ้นสู่ระดับขั้นพลังต่อไปได้สำเร็จ
สำเร็จระดับขั้นที่ห้าประดุจหลอมตีกระดูกขึ้นมาใหม่ให้แกร่งกล้า คงทนราวกับหินเหล็กไฟ พละกำลังเพิ่มทวีขึ้นทันตา หากผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปก้าวเข้าสู่ระดับขั้นที่ห้าได้สำเร็จ กล่าวว่ามีพละกำลังเทียบเท่ากระทิงคลั่งสี่ตัว แต่สำหรับร่างกายของเย่เจวี๋ยเรียกได้ว่า ร้ายกาจกว่านั้นมหาศาล
พละกำลังก่อนหน้าของเขาเทียบเคียงกระทิงคลั่งเก้าตัว ตอนนี้เพิ่มเป็นสิบหกตัวโดยประมาณ! นับเป็นสี่เท่าทวีของผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป จำต้องอธิบายก่อนว่า โดยทั่วไปแล้ว เมื่อสำเร็จยุทธ์ถึงอาณาจักรก่อกายาระดับเก้า พละกำลังของผู้นี้จะเทียบเท่ากระทิงคลั่งแค่สิบแปดตัวเท่านั้น
เย่เจวี๋ยพ่นลมหายใจสำลอกพิษที่กลั่นจากร่างกายออกมา จากนั้นก็เอนตัวนอนลงบนเตียง แต่ทว่านอนพักผ่อนได้ไม่ทันไร กลับมีคนรับใช้วิ่งเข้ามาแจ้งว่า ผู้อาวุโสตระกูลเย่หลายคนเชิญเขาให้ไปพบปะที่โถงใหญ่ของตระกูล
เมื่อเดินทางมาถึงโถงใหญ่ เย่เจวี๋ยก็รู้แจ้งทันทีถึงจุดประสงค์ในครั้งนี้ ที่แท้เป็นเรื่องตระกูลหยางกับงานแต่งกับเฉียวเอ๋อนี่เอง นายน้อยตระกูลหยางอีกคนนามว่า หยางอู๋โก้ว เดินทางมาพบพร้อมกับยอดฝีมืออีกหนึ่งคน
และควรจะเป็นหน้างที่ของเย่ชุ่นซินที่ออกหน้ามาดูแลสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน แต่ปรากฏว่ากลับหายหัวไม่รู้ไปไหน ส่วนทางด้านผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมาสำหรับเรื่องดังกล่าว ทำได้เพียงไปเชิญเย่เจวี๋ยให้ออกหน้ามาพบ ถึงอย่างไรพวกเขาก็เพิ่งได้ฟังคำเล่าขาน ถึงความแกร่งกล้าของท่านอาจารย์เย่เจวี๋ย หากเรียกท่านผู้นั้นมาย่อมสามารถทำลายตระกูลหยางได้โดยง่าย ดังนั้นให้เย่เจวี๋ยออกมาเผชิญหน้าเพียงคนเดียวนับว่าเป็นเรื่องเหมาะสมแล้ว
แต่อย่างไร หยางอู๋โก้ชิงโอกาสนี้เดินทางมายังตระกูลเย่เพื่อเย้ยเยาะโดยเฉพาะ
“หึ! อะไรกัน? หรือว่าตระกูลเย่ไม่มีใครกล้าเผชิญหน้ากับข้าเลยสักคน ถึงเรียกให้ไอ้บอดนี่ออกมารับหน้าแทน? นี่มันหมายความว่ายังไง?”
พอกล่าวออกไปแบบนั้น หยางอู๋โก้วก็ราวกับจะเข้าใจอะไรได้ทันที จึงกล่าวต่อว่า
“อ่อ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าคงเป็นนายน้อยขยะของตระกูลเย่ที่เพิ่งตาบอด? จะออกมาเรียกความสงสารจากข้ากระมัง?”
แต่เย่เจวี๋ยกลับยิ้มตอบอย่างเฉยเมย พลางหันไปพูดกับคนใช้ว่า
“เจ้าน่ะมานี่หน่อย ไปหยิบจานกระดูกมาที ขอชิ้นใหญ่ๆ เลยด้วย เดี๋ยวนายน้อยหยางกินไม่อิ่มแล้วเห่าหอนต่ออีก ข้ารำคาญ”
ทันทีที่คำกล่าวพวกนี้เปล่งดังออกมา บรรดาผู้อาวุโสหลายคนที่อยู่รอบข้างเกือบจะพ่นชาในปากกระเซ็นออกมา พวกเขามารวมตัวกันที่นี่เผื่อไว้ว่านายน้อยหยางจะลงไม้ลงมือกับเย่เจวี๋ย พวกเขาจะได้เข้ามาหยุดยั้งได้ทันท้วงที แต่ที่ไหนได้ฉะแรกนายน้อยตระกูลหยางก็โดนด่าเป็นสุนัขเสียแล้ว
“เจ้า...”
หยางอู๋โก้วเดือดดาลขึ้นทันทีที่ได้ยิน แต่ทันทีทันใดพลันสงบสติลงอย่างรวดเร็ว และยิ้มเยาะกล่าวตอบไปว่า
“ช่างมันเถิด นายน้อยผู้นี้นับว่ายังมีความเมตตากรุณาอยู่บ้าง กับแค่คนพิการย่อมไม่นำพามาใส่ใจ แต่ใช่ว่าจะปล่อยปะละเลยให้ไปเที่ยวด่าคนอื่นต่อไป เอาแบบนี้เป็นอย่างไร ไฉนไม่มาประลองยุทธ์กับข้า? หากเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ถือว่าจะไม่เอาความ เป็นอย่างไรล่ะ?”
ในสายตาของคนอื่น นี่เป็นการกลั่นแกล้งเย่เจวี๋ยชัดๆ แต่เจ้าตัวที่ได้ยินแบบนั้นกลับแสยะยิ้มขึ้นทันทีและกล่าวตอบอย่างเฉยเมยไปว่า
“ร้อนใจอันใดเล่านายน้อยหยาง แต่เดิมข้าต้องการคิดบัญชีกับพวกตระกูลหยางอยู่แล้ว เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าจักทำสัญญาประลองยุทธ์ในอีกสามวันให้หลัง เจอกันอีกคราที่สนามประลองทิศตะวันออกของเมือง และไม่ใช่แค่ท้าประลองแค่ท่าน แต่เป็นพวกรุ่นเยาว์ของตระกูลหยางทั้งหมด!”
“กะไร? เจ้าพูดใหม่อีกทีได้หรือไม่? อีกสามวันให้หลังคิดท้าทายพวกเราเหล่ารุ่นเยาวชนของตระกูลหยางทั้งหมด? นี่ข้ามิใช่หูหนวกไปแล้วกระมัง? ต้องการคิดบัญชีกับตระกูลหยาง? ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ ...”
หยางอู๋โก้วที่ได้ยินแบบนั้นก็ระเบิดหัวเราะเยาะลั่นจนท้องแข็ง รู้สึกปวดเกร็งไปหมดแล้ว
“ท่านน่าจะได้ยินชัดแล้วกระมัง หูของสุนัขไวต่อสัมผัสยิ่งกว่ามนุษย์หลายเท่า ตอนนี้ท่านก็ไสหัวไปได้แล้ว สามวันให้หลังนัดพบกับที่ลานประลองตะวันออก หากพวกท่านหวาดกลัวก็จงมุดหัวอยู่ในตระกูลไม่ต้องมา”
น้ำเสียงที่เอ่ยกล่าวออกไปของเย่เจวี๋ยช่างนิ่งสงบ แต่ในสายตาคนอื่นๆ ต่างมองเย่เจวี๋ญเสมือนคนตายไปแล้ว
“เจ้ายังจะปากดีกล้าท้าทายตระกูลหยางอยู่อีก รีบขอโทษเร็ว!”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลเย่เอ่ยกระซิบอยู่ด้านหลัง
พอคนของตระกูลเย่เห็นสายตาอันแสนเหยียดหยามของตระกูลหยางเหล่านั้น พวกเขาจึงพยายามหาทางออกให้กับสถานการณ์ในตอนนี้ทันที
“ฮ่าฮ่า… ได้! เย่เจวี๋ย พอลูกตาไม่อยู่ในเบ้าก็ดูท่าหาญกล้าขึ้นไม่เบา ในเมื่ออยากตายถึงปานนั้น ข้าจักสนองให้เอง! เฮ้ออ...ทำไมเจ้าถึงอยากตายนัก? ถึงจะตาบอดแต่ก็ใช่ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้”
หยางอู๋โก้วส่ายหน้าอานด้วยความหน่ายใจ ท่าทีการแสดงออกราวกับกำลังหยอกล้อ จากนั้นเขาก็พาคนของตระกูลหยางจากออกไป
ไม่นานนัก ข่าวที่ว่าเย่เจวี๋ยส่งสาสน์ท้าทายบรรดารุ่นเยาวชนของตระกูลหยางก็แพร่กระจายออกไปทั่วเมืองหลงเย่
ไม่ใช่แค่เย่เจวี๋ยเท่านั้น แม้แต่คนตระกูลเย่เองก็กลายมาเป็นตัวตลกของทุกคนภายในเมืองชั่วพริบตา แต่ละคนต่างนินทาไปว่า พอเสียสมบัติหายากอย่างเนตรจักรพรรดิสายฟ้าไป ก็ถึงขั้นรับไม่ได้หาเรื่องโค่นล้มตระกูลตัวเองเล่น
เมื่อเผชิญหน้ากับคนในเมืองที่หัวเราะเย้ยเยาะพวกเขา ทุกคนต่างเข้ามาเกลี้ยกล่อมขอให้เย่เจวี๋ยเดินทางไปขอโทษคนตระกูลหยางเดี๋ยวนี้ แต่เขาตอบสวนกลับไปเพียงหนึ่งประโยคว่า
“หรือพวกเจ้ากังขาในตัวข้า? มิเช่นนั้นข้าจะเรียกท่านอาจารย์มาอธิบายให้พวกเจ้าฟังรายคนดีหรือไม่?”
“ไม่..ไม่...ไม่...พวกเราเชื่อใจเจ้า! พวกเราเชื่อใจเจ้าอยู่แล้ว!”
“ใช่แล้ว พอถึงวันประลอง พวกเราทั้งหมดจะคอยสวดภาวนาให้เจ้าอย่างเงียบๆ ในเรือนนี่แหละ พอดีพวกเรา...เอ่อ...ไม่ว่างไปชมการประลองน่ะ หวังว่าเจ้าจะนำชัยกลับมา!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว สู้ให้เต็มที่ พวกเราเชื่อใจเจ้า”
….
เมื่อได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ เย่เจวี๋ยทำได้เพียงส่ายหน้าด้วยความผิดหวังและเดินจากไปทันที
เย่เจวี๋ยบอกเองกับปากว่า จะท้าประลองกับเยาวชนทุกคนของตระกูลหยาง นั้นหาใช่เรื่องล้อเล่นแน่นอน เพียงว่าเพื่อความมั่นใจ สามวันที่เหลือเขาจักต้องฝึกปรือให้หนัก แต่เกรงว่าทรัพยากรการบ่มเพาะจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ
เป็นเวลาเที่ยงคืน ท้องนภามืดค่ำกลางราตรี เย่เจวี๋ยกำลังนั่งสมาธิบ่มเพาะพลังอยู่ แต่ทันทีทันใดพลันปรากฏเงาร่างหนึ่งบุกเข้ามาในเรือนพักของเขา สายตาเข้าประจบเพ็งมองโดยไว เย่เจวี๋ยพลันตระหนักได้ว่าหาใช่ใครอื่นใดไม่ ปรากฏว่าเป็นท่านปู่ของเขาเย่ชิงฉง
เพียงว่าสภาพตอนนี้ของเขากลับไม่สู้ดีนัก ลมหายใจติดขัดไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าดำทมิฬเห็นได้ชัดว่ากำลังถูกพิษร้ายกัดกินร่างกาย
“หลานข้า รีบหนีไป! ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี! เย่ชุ่นซิน ไอ้จิ้งจอกตาขาวนั้น! มันไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่นอน!”
เย่ชิงฉงคว้ามือของเย่เจวี๋ยไว้แน่น ท่าทีของเขาดูเป็นกังวลอย่างมาก
“ท่านปู่ ท่านเป็นอะไรกันแน่? เกิดอะไรขึ้นกับท่าน? รีบบอกข้ามาเถิด”
เมื่อเห็นภาพฉากดังนั้น เย่เจวี๋ยเองก็ตื่นตูมเช่นกัน ตอนที่ได้รับข่าวสารว่า ท่านปู่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมา เขาเองก็ไม่มีโอกาสได้เห็นอีกฝ่ายเลย ทราบเพียงกำลังเก็บตัว อาการเป็นตายอย่างไรยังไม่ทราบ แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดแล้วว่า ท่านปู่ของตนโดนพิษร้ายเล่นงาน
คล้อยหลังจากนั้นท่านปู่ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง ปรากฏว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน เย่ชุ่นซินเดินทางเข้าพบท่านปู่และได้บอกว่าเย่ซวน บุตรชายของเขาได้ส่งสาสน์มาถึงตน เนื้อหากล่าวว่า ตนได้บังเอิญไปค้นพบสมุนไพรวิญญาณหายภายในถ้ำแห่งหนึ่ง และท่านปู่ก็หลงเชื่อเข้าโดยปราศจากข้อสงสัย และพายอดฝีมือกลุ่มหนึ่งในตระกูลเข้าตรวจสอบถ้ำดังกล่าว
แต่ใครจะไปทราบ ระหว่างเดินสำรวจภายในถ้ำ ทุกคนคล้ายรู้สึกว่าตนเองโดนลอบโจมตีและมีเข็มเหล็กฝังอยู่ตามร่างกาย ยอดฝีมือทั้งหมดที่พามาสิ้นใจตาย เหลือแค่เย่ชิงฉงที่มีระดับพลังลึกล้ำที่สุดที่รอดชีวิตออกมาได้ ทว่ากลับโดนพิษร้ายกระจายทั่วร่างไปเสียแล้ว และร้ายแรงเกินกว่าจะใช้ลมปราณเข้าสยบได้ ยามนี้ไม่มีทางเหลืออื่นจึงทำได้เพียงลอบออกมาส่งข่าวให้เย่เจวี๋ย หวังว่าหลานชายคนนี้จะหนีรอดจากแผนชั่วได้
แต่หลังจากที่เย่เจวี๋ยได้เช่นนั้น เขาก็ขอจับชีพจรของท่านปู่เล็กน้อยก่อนกล่าวว่า
“ภายในถ้ำที่พวกท่านเข้าไปมีพลังงานมืดธาตุหยินอยู่เป็นจำนวนมาก นี่หาใช่พลังธาตุที่มนุษย์ควรดูดซับ เมื่อพลังงานมืดธาตุหยินซึมซับเข้าสู่เส้นลมปราณจะทำให้เกิดพิษ แต่ไม่เป็นอะไรแล้วท่านปู่ ข้าสามารถสกัดไล่พลังงานเหล่านี้ออกไปได้”
ขณะที่เย่เจวี๋ยอธิบายจบ เขาก็เดินไปนั่งด้านหลังของท่านปู่ สองฝ่ามือผสานสัมผัสแผ่นหลังและเริ่มโคจรลมปราณด้วยเคล็ดวิชากลืนจักรวาลทันที กระแสพลังงานมืดธาตุหยินค่อยรินไหลออกมาผ่านสองมือ เย่เจวี๋ยเริ่มดูดซับพลังเหล่านี้ทันทีอย่างกระหาย
อย่าลืมไปเสีย นี่เป็นถึงสุดยอดเคล็ดวิชากลืนจักรวาล ไม่ว่าจะเป็นพลังธาตุใดในใต้หล้าสามารถสกัดได้จนบริสุทธิ์ พลังงานมืดธาตุหยินถูกแปรเปลี่ยนกลายเป็นกระแสลมปราณบริสุทธิ์หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเย่เจวี๋ยอย่างรวดเร็ว สำหรับคนอื่นแล้ว นี่เปรียบเสมือนพิษร้าย แต่ในสายตาของเย่เจวี๋ย นี่ถือเป็นยาบำรุงชั้นเยี่ยม!
ไม่นานพลังงานมืดธาตุหยินที่ตกค้างในร่างกายของท่านปู่ก็ถูกเย่เจวี๋ยดูดซับออกไปจนเกลี้ยงเกล่า แต่น่าเสียดายนักที่ช่วยเหลือช้าเกินไป พิษร้ายนี้กัดกินไปถึงดวงตาของท่านปู่จนบอดสนิทไปเสียแล้ว
ในเวลานั้นเอง เย่เจวี๋ยก็เริ่มเบ่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ท่านปู่ฟังในช่วงหลายวันมานี้ และคนร้ายตัวจริงของตระกูลเย่ที่พวกเขาต้องจัดการคือเย่ชุ่นซิน
คนร้ายเผยนามปรากฏตัวแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ท่านปู่ควรจะปรากฏตัวออกมา เขาควรกลับไปเก็บตัวเพื่อบ่มเพาะพลังรอไปก่อน คิดได้ดังนั้น เย่เจวี๋ยจึงตรวจสอบความแกร่งกล้าของท่านปู่ทันที ก่อนพบว่าอีกฝ่ายติดอยู่ที่อาณาจักรก่อกายาระดับเก้าขั้นสุดนานแล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับแขนงหนึ่งให้กับท่านปู่โดยตรง และให้เหตุผลมาว่ามีเซียนมาเข้าฝันเขา
เคล็ดวิชานี้หาใช่ธรรมดาไม่ แต่เป็นเคล็ดวิชาลับที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นของตระกูลไท่กู่เหล่ย ซึ่งเหมาะสมกับท่านปู่ที่สุดแล้ว
ในขณะนั้นเอง ท่านปู่ก็หยิบสิ่งของบางอย่างออกจากใต้เสื้ออาภรณ์ของตน
เมื่อเย่เจวี๋ยเห็นดังนั้นก็ดวงตาเป็นประกายทันทีด้วยความดีใจ
“นี่คือผลวิญญาณรัตติกาล สำหรับคนอื่นแล้วคงไม่สามารถดูดซับพลังงานที่ปนเปื้อนภายในมันได้ แต่เจ้าที่สามารถขับพิษในร่างกายข้าได้ ก็ควรจะหาวิธีดูดซับเจ้าสิ่งนี้ได้เช่นกัน ความหนาแน่นของลมปราณเหนือกว่าหินลมปราณทั่วไปหลายทวีเท่านัก”
โดยไม่เกรงใจอันใด เขารีบกล่าวขอบคุณและนำมาเก็บไว้ทันที หากเพิ่งพาเจ้าสิ่งนี้ เย่เจวี๋ยสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรก่อกายาระดับหกได้ภายในเวลาอันสั้นแน่นอน
หลังจากท่านปู่กลับไปเก็บตัวดังเดิม เย่เจวี๋ยก็เริ่มบ่มเพาะพลังต่อทันที