ตอนที่2 จักรพรรดิเทพสายฟ้าตื่นจากนิทรา
ตอนที่2 จักรพรรดิเทพสายฟ้าตื่นจากนิทรา
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ห้วงอากาศอุ่นริเริ่มแปรผัน จากฤดูร้อนกลายมามีเหมันต์ควบแน่นเป็นเกล็ดโปยปรายลงจากฟากฟ้า ภูเขาถูกย้อมเป็นสีขาวโพลน นี่เป็นสัญญาณว่าฤดูหนาวได้มาถึงแล้ว
ณ เมืองหลงเย่ ลานกว้างตระกูลเย่
ภายในเรือนพักห้องหนึ่ง บรรยากาศอบอวลไปด้วยไอร้อนจากเตาไฟที่ลุกโชน เย่เจวี๋ยกำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียง ใช้ผ้าแพรสีขาวปิดบังดวงตา สีหน้าซีดเซียวดุจขี้ผึ้งขาว
เนตรจักรพรรดิสายฟ้าที่ก่อกำเนิดขึ้นเพื่อล่อเลี้ยงร่างกายยามนี้ถูกควักออกไป พลังชีวิตของเย่เจวี๋ยดิ่งจมลงถึงจุดต่ำสุดใกล้เคียงความตาย โชคยังดีที่ยังพอหลงเหลือลมหายใจอยู่บ้าง
เป็นเวลาสามวันสามคืนเต็มแล้วที่เขาสลบไป เฉียวเอ๋อไม่ได้หลับพักผ่อนตลอดจวบจนวันนี้เลย ท้ายที่สุดความเหนื่อยล้าเข้ามาเยี่ยมเยือจนนางมิอาจทานทนได้ไหว นางสลบลงบนพื้นทั้งแบบนั้น
และเวลานั้นเอง เย่เจวี๋ยก็ค่อยๆฟื้นสติกลับมา เขาได้ยินเสียงสายลมพัดผ่านเล็ดลอดหน้าตาดังวิ้ว เสียงบางสิ่งที่คล้ายฝนแต่มันคือหิมะโปรยปราย พลางคิดดูไปแล้วนี่คล้ายกับภาพฉากที่เขาฝันเห็นตลอดสามวันที่ผ่านมา
เขาฝันว่าตนเองกลายมาเป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทาน ยืนตระหงานเหนือพิภพเคว้งคว้างกลางนภาหาว ประดุจเทพเฝ้ามองผืนพิภพ ถึงตาเขาจะบอดสนิททว่าภากฉากในฝันกลับชัดเจนยิ่ง รอบกายมีหมู่ดาราควงโคจร เขาโบกมือสะบัดรวนหัวเราะอย่างสนุกสนาน สุ้มเสียงที่เปล่งดังสะบั้นได้แม้กระทั้งเก้าสวรรค์
“ท้ายที่สุดนี้มันก็เพียงความฝันเท่านั้น ช่างน่าหดหู่ยิ่งกว่าตายทั้งเป็นที่ข้าตื่นมาและทุกอย่างกลับกลายเป็นฝัน”
บางทีการหลั่งน้ำตาสักหยดสองหยดอาจจะช่วยบรรเทาความปวดร้าวภายในใจได้ แต่จะอย่างไร ตอนนี้เบ้าตาของเขาว่างเปล่า ไม่แม้แต่หลั่งน้ำตาระบายความทุกข์โศกได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาพลันรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นกลางใจ ลึกลงไปในชั้นศีรษะ สมองของเขาราวกับถูกคมเข็มนับหมื่นแสนกระหน่ำทิ่มแทงไม่หยุด ราวกับจิตวิญญาณของเขากำลังแตกสลาย ทันทีทันใดเสมือนมีกำลังมีอะไรบางอย่างผุดขึ้นมาจากเบ้าตาอันว่างเปล่า
ทว่ากลับมิอาจทราบได้ เจ้าสิ่งนี้คืออะไร? เสี้ยวอึดใจนั้นเอง ภายในเบื้องลึกสุดของจิตใจของเขา ปรากฏประกายอัสนีบาตสีม่วงโฉบแล่นก็ก่อเกิดเป็นเปลวไฟลุกโชน สิ่งนี้คือจิตวิญญาณอีกดวงที่เปล่งประกายวชิระสีม่วงจ้าจรัส ทันใดนั้นมันก็แบ่งตัวเองออกเป็นสองส่วน เข้าไปควบแน่นบริเวณเบ้าตาที่ว่างเปล่าทั้งสอง หลอมสร้างกลายมาเป็นคู่ดวงเนตรอัสนีบรรพกาลขึ้นมา!
ทุกอย่างเกิดขึ้นชั่วขณะคล้ายสะเก็ดไฟเสียดสีเป็นประกายวูบวาบ และทุกอย่างพลันหายไปกลับสู่ความเงียบสงบอีดครั้ง แต่ถ้ามีใครสักคนมองดูเหตุการณ์จากภายนอก พวกเขาอาจตกตะลึงจนกัดลิ้นตาย!
เพราะเบ้าตาอันว่างเปล่าของเย่เจวี๋ยตอนนี้ จู่ๆก็ปรากฏดวงตาคู่หนึ่งขึ้นมาอย่างเป็นปริศนา และดวงตาคู่นี้เปล่งประกาย ลึกล้ำ ดูทรงพลังจนสรรพสิ่งต้องจำนน...
“ข้า...ตื่นจากการหลับใหลเสียที?”
มุมปากเยเจวี๋ยพลันแสยะยิ้มกระตุกขึ้นเล็กน้อย ทั่วร่างกายปลดปล่อยจิตสังหารอันรุนแรงออกมา จนเกือบทำให้เตาไฟในห้องดับลงได้
“ความผูกผันระหว่างคู่สามีภรรยากลับเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น คงเทียบไม่ได้กับสิ่งล่อลวงที่มาแย่งชิงหัวใจของเจ้าไป ชิงเยว่...ตอนที่เจ้ากักขังจิตวิญญาณนับหมื่นปีของข้าได้สำเร็จ แต่เจ้าหารู้ไหมว่า ศพของจักรพรรดิเทพสายฟ้าผู้นี้ไม่มีดวงตาอยู่แล้ว...”
เย่เจวี๋ยถอนหายใจเสียงหนึ่งอย่างแผ่วเบา
เดิมทีเขาเป็นหนึ่งในจักรพรรดิเทพสูงสุดแห่งพิภพบรรพกาลซวนหยวน แต่แล้ววันหนึ่ง ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า เขาจะถูกสตรีที่รักและไว้ใจที่สุดหักหลังโดยสมคบคิดกับชู้ ร่ายคำสาปพันธนาการจิตวิญญาณเป็นเวลาหมื่นปี จากเส้นทางชีวิตที่ต่อจากนี้กำลังจะได้อยู่สุขชั่วนิรันดร์ กลับเป็นนางที่ทำลายทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตของเขาลง ช่างเป็นอะไรที่น่าหดหู่เสียจริง
โชคยังดีที่มีใครบางคนขุดศพของเขาขึ้นมาและขโมยดวงตาของเขาไป จึงทำให้เขาสามารถมองเห็นแสงตะวันได้อีกครั้ง จนมาวันนี้ความทรงจำก็ได้ฟื้นคืนในท้ายที่สุด
น่าเสียดายที่พลังความแกร่งกล้าในชาติที่แล้วของเขาดันสูญสิ้นไม่เหลือแล้ว เมื่อเย่เจวี๋ยได้เห็นร่างกายของเขาในปัจจุบัน ก็อดยิ้มขื่นใจมิได้ ร่างกายที่เขาอยู่นี่มัน...อ่อนแอสิ้นดี
ในอดีตจิตวิญญาณของเขาถูกสาปและพันธนาการเอาไว้ และไม่มีทางที่ได้ฟื้นคืนกลับมาได้ โชคยังดีที่จิตสำนึกของเขาได้หนีออกมาอยู่ในร่างนี้ทัน และต้องคอยดูดซับลมปราณที่เจ้าของร่างฝึกเพื่อฟื้นปลุกตัวเองขึ้นจากห้วงนิทรา
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเย่เจวี๋ยถึงติดอยู่ในอาณาจักรก่อกายาระดับหนึ่งเป็นเวลาสิบปีเต็ม
“น่าสนใจดีหนิ ข้าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ชีวิตนี้จักได้กลับมาในพิภพบรรพกาลซวนหยวนอีกครั้งจริงๆ ที่นี่คือสถานที่ที่ข้าเคยผงาดขึ้นสู่สวรรค์ เอยนามขาน จักรพรรดิเทพสายฟ้าเย่หยิน บัดนี้ได้กลายมาเป็น เย่เจวี๋ย จะว่าไปเจ้าเด็กนี่มีสายเลือดของตระกูลไท่กู่เหล่ยด้วย แต่จะให้ไปหาพวกนั้นและบอกให้เรียกข้าว่าท่านทวดอย่างงั้นน่ะรึ?”
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เย่เจวี๋ยก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เทียบตามศักดิ์แล้ว เขาถือได้เป็นบรรพบุรุษของตระกูลไท่กู่เหล่ย แต่ใครจะไปคิดว่า หลายหมื่นปีต่อมา ตระกูลทไท่กู่เหล่ยในพิภพซวนหยวนจะอ่อนแอลงขนาดนี้ ถึงขั้นที่ว่าระเห็จออกมาอยู่ชนบทเมืองอันห่างไกลได้เท่านี้
แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่สายบเกินแก้ รอจนกว่าความแข็งแกร่งของเขาจะฟื้นคืนกลับสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง ค่อยไปตามล่าคิดบัญชีกับพวกที่กระทำกับตระกูลเขาแบบนี้ ต่อแต่นี้ไม่มีอีกแล้ว จักรพรรดิเทพสายฟ้า มีเพียงเย่เจวี๋ยเท่านั้น
ในขณะนั้นเองเย่เจวี๋ยก็เหลือบไปเห็นเฉี่ยวเอ๋อที่กำลังนอนสลบอยู่บนพื้น เห็นว่านางนอนหลับปุ๋ยอยู่แบยนั้น เขาก็คลี่ยิ้มอ่อนออกมาและอุ้มนางไปนอนบนเตียงแทนเขา สาวน้อยคนนี้คอยดูแลเขาเสมอมา และไม่มีทางแน่นอนที่เย่เจวี๋ยจะปล่อยให้ใครอื่นมารังแกนาง
พอครุ่นนึกถึงเหตุการณ์ณ์ก่อนหน้าที่เกิดขึ้นกับตัวเจ้าของร่างคนเก่า แววตาอันคมลึกของเย่เจวี๋ยพลันเย็นยะเยือกลงทันทีอย่างผิดหูผิดตา ฉายแววอาฆาตออกมาทันใด
“แม้ข้าจะตื่นจากนิทราได้เพราะโดนควักลูกตาเก่าออกไป แต่นี่มิได้หมายความว่าข้าจะขอบคุณพวกเจ้า ดวงตาคู่นั้นที่พวกเจ้าเอาไปมันไม่จำเป็นอีกต่อแล้ว”
ในเวลานั้นเองใบหน้าของหยางติงเทียนและคนอื่นๆก็เผยปรากฏขึ้นในความคิดของเย่เจวี๋ย นอกจากนี้จากประสบการณ์ที่ผ่านมานับหมื่นปีของจักรพรรดิเทพสายฟ้า แค่มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่า เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ถูกวางแผนมาแล้วเป็นอย่างดี!
จะมีเด็กปัญญาอ่อนที่ไหน จู่ๆก็แก้เสื้อผ้าพุ่งเข้าจู่โจมเฉี่ยวเอ๋อ? แล้วไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอที่หยางต้าเทียนดันเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี? หลังจากตกบ่อบัวลงไป แทนที่จะสำลักน้ำแต่กลับตาบอด? เห็นได้ชัดว่า อีกฝ่ายมีเจตนามาตระกูลเย่เพื่อแย่งชิงเนตรจักรพรรดิสายฟ้าของเขาไปอยู่แล้ว น้ำหน้าอย่างหยางติงเทียนที่เป็นถึงประมุขตระกูล จะอาสาเดินทางมามอบโอสถเป็นการส่วนตัวได้อย่างไร?
ภายใต้สถานการณ์ตอนนี้ เห็นได้ชัดแล้วว่า นอกเสียจากท่านปู่ของเขา ทุกคนในตระกูลเย่ไม่มีใครน่าเชื่อถืออีกแล้ว หากเย่เจวี๋ยต้องการทวงคืนความยุติธรรมกลับคืนมา คงต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเองแล้ว แต่ปัญหาในตอนนี้คือ ระดับพลังของเขาต่ำมาก
“ดูเหมือนว่า...เรื่องที่เร่งด่วนที่สุดคือ การยกระดับความแข็งแกร่ง!”
เย่เจวี๋ยงลุกขึ้นจากเตียง เดินไปหยิบกล่องไม้ออกมาจากตู้ทันที ภายในกล่องมีหินลมปราณอยู่มากมาย นี่คือหินลมปราณที่เขาเก็บออมมาตลอดสิบปี แม้ว่าเขาจะไม่สามารถดูดซับพวกมันเหล่านี้ได้ แต่เขาก็ยังคงเก็บไว้โดยหวังว่าสักวัน สิ่งเหล่านี้จะจำเป็นขึ้นมา
เสี้ยวขณะอึดใจ แววตาของเขาพลันหรี่เล็กลงฉับพลัน และหยิบหินชิ้นหนึ่งที่เป็นผลึกสีเข้มกว่าอันอื่นๆขึ้นมา
หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป จะไม่ทันสังเกตแน่นอน นี่มันแกนอสูรชัดๆ ไฉนถึงมาอยู่ในนี้ได้? หรือมีใครบางคนจงใจแสร้งทำเป็นให้หินลมปราณมา?
แกนอสูรเป็นแหล่งกักเก็บลมปราณทั้งหมดของสัตว์อสูรตัวนั้นๆ และภายในนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังวิญญาณที่เกรี้ยวกราดและรุนแรงอย่างยิ่ง หากคนธรรมดาดูดซับแกนอสูรนี้เข้าไป อาจถูกธาตุไฟเข้าแทรกและตายได้ทันที
เห็นได้ชัดแจ้งยิ่ง มีคนต้องการจะลอบฆ่าเขา แกนอสูรก้อนนี้ถูกล่ามาจากสัตว์อสูรแห่งดินแดนวชิระราตรี มีพลังเทียบเท่าได้กับอาณาจักรก่อกายาระดับเก้าของเผ่ามนุษย์
อย่างไรเสีย เย่เจวี๋ยไม่ได้วางมันลงแต่อย่างใด ในทางตรงข้ามเขารีบวางมันบนฝ่ามือราวกับกำลังจะดูดซับเข้าร่างกาย
การกระทำเช่นนี้แม้นดูเหมือนว่ากำลังจะหาเรื่องตาย แต่การที่เย่เจวี๋ยต้องการทำแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าเขาวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว
เคล็ดหลอมจักรวาล เป็นเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวตนของเขาในอดีตอย่างจักรพรรดิเทพสายฟ้า สัประยุทธ์เดือดกับศัตรูผู้แกร่งกล้าอย่างที่สุดคนหนึ่ง และเขาได้รับเจ้าสิ่งนี้มาจากอีกฝ่าย กล่าวคือ มันเป็นเคล็ดวิชาที่สามารถดูดซับพลังฟ้าดินได้ทุกชนิด นับเป็นวิชาที่ลึกล้ำอย่างยิ่งยวด แต่น่าเสียดายที่เขาตายก่อนที่จะได้ฝึกปรือ จึงถือวิสาสะ ใช้เจ้าวิชานี้ในชาติปัจจุบันเสียเลย
ทันทีที่เขาเริ่มโคจรลมปราณในร่างกาย เขาก็โพลงลืมตาขึ้นทันทีด้วยความประหลาดใจยิ่ง
เจ้าเด็กนี่มันโชคดีอะไรเสียกระนั้น ไม่เพียงมีเนตรจักรพรรดิสายฟ้า แต่ยังมีกายวิญญาณเขมือบสวรรค์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ตามตำนานกล่าวไว้ว่า สมัยบรรพกาลยุคก่อกำเนิด มีผู้ครอบครองกายวิญญาณเขมือบสวรรค์ เขาผู้นั้นสามารถเขมือบได้แม้กระทั่งดวงตะวันและจันทรา ดาราที่เปล่งประกายบนฟ้ายังมิอาจรอดพ้น
“มีทั้งเคล็ดวิชาหลอมจักรวาล ทั้งกายวิญญาณเขมือบสวรรค์ ชิงเยว่ เจ้าคิดผิดแล้วที่ลอบสังหารข้า คงนึกไม่ถึงเลยกระมังว่าข้าจะได้กลับชาติมาเกิดใหม่พร้อมกับมหาสมบัติเหล่านี้ ฮ่าฮ่าๆๆ....”
เย่เจวี๋ยบ่นพึมพำกล่าวกับตนเองจนสมใจแล้ว ก็เริ่มทำการดูดซับแกนอสูรก้อนนั้นทันทีและเริ่มฝึกปรือ
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา แม้เย่เจวี๋ยจะฝึกปรือลมปราณไม่ได้ แต่เขาก็หมั่นออกกำลังกายจนกายเนื้อแข็งแกร่งทนทานอย่างมาก นอกจากนี้ความทรงจำของจักรพรรดิเทพสายฟ้าก็ตื่นขึ้นมาแล้ว ด้วยเคล็ดวิชาหลอมจักรวาลนี้ และกายวิญญาณเขมือบสวรรค์ เขาจักทยายขึ้นสู่สวรรค์ผงาดให้ผืนพิภพได้รับรู้ว่า ข้านี่แหละ ผู้ไร้เทียมทาน!
รากฐานการบ่มเพาะพลังที่หยุดนิ่งมากว่าสิบปี ในที่สุดก็เริ่มพุ่งสูงขึ้นสู่อาณาจักรก่อกายาระดับสองโดยตรง กลืนกินแก่นสารลมปราณฟ้าดิน เสริมความแกร่งกร้าวจากภายใน รวบรวมรากฐานให้เสถียร ทันใดนั้นเขาทะลวงขึ้นสู่ระดับสองได้ทันที!
กระแสไออุ่นของลมปราณโคจรไปทั่วกายาผ่านเส้นลมปราณ บำรุงทั่วอวัยวะร่างกาย อาณาจักรก่อกายาระดับสามทะลวงผ่านได้โดยตรง!
ตามเกณฑ์ระดับขั้นพลัง อาณาจักรก่อกายาระดับสามจะมีพละกำลังเทียบเท่ากับ กระทิงคลั่งหนึ่งตัว แต่พละกำลังของเขาในเวลานี้เป็นสี่เท่าของคนทั่วไป! หรือเทียบเท่าได้กับกระทิงคลั่งสี่ตัว!
ทันใดนั้น รากฐานพลังบ่มเพาะก็พัฒนาขึ้นอีกครั้งและทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรก่อกายาระดับสี่ในเสี้ยวพริบตา ร่างกายของเย่เจวี๋ยสมแล้วที่ได้ชื่อว่าเขมือบสวรรค์ ไม่ว่าจะดูดซับลมปราณไปมากเท่าไหร่ก็เหมือนกับว่าร่างกายของเขาก็ยังไม่เพียงพอ ไม่นานนัก หินลมปราณทั้งหมดภายในกล่องก็กลายเป็นฝุ่นผงไป ปัจจุบันกลายนี้มานี่มาถึงขีดสุดของร่ายกาย ถึงมีหินลมปราณมากกว่านี้เขาก็ไม่กล้าดูดซับต่อแล้วเช่นกัน พละกำลังตอนนี้เทียบเท่าได้กับกระทิงคลั่งเก้าตัว!
พละกำลังของกระทิงคลั่งเก้าตัว นี่ถือขุมพลังอันน่าสะพรึงที่มีเฉพาะผู้ฝึกยุทธ์ที่มีอยู่ในอาณาจักรก่อกายาระดับเจ็ดขึ้นไป แต่นั้นเป็นเกณฑ์ของคนธรรมดาทั่วไป เพราะตอนนี้เย่เจวี๋ยอยู่แล้วอาณาจักรก่อกายาระดับสี่เท่านั้น นี่ถือว่าทรงพลังเกินคนธรรมดาอย่างมากแล้ว!
รุ่งเช้าวันถัดมา เย่เจวี๋ยค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นพลางกล่าวขึ้นว่า
“น่าเสียดาย ถ้าตอนนี้มีแกนอสูรอีกสักสองสามก้อน ข้าน่าจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรก่อกายาระดับห้าได้”
ถ้าใครมาได้ยินประโยคนี้ของเย่เจวี๋ยเข้า ดูท่าต้องหัวเสียไม่เบากับความหยิ่งผยองนี้
ท้องฟ้าแจ่มใส แสงจากดวงตะวันอ่อนตกกระทบบนใบหน้าอันงดงามของเฉียวเอ๋อ ขนตาเรียวยาวค่อยๆเปิดขึ้นอย่างแช่มช้า ดวงเนตรคู่สวยประดุจหยกดำคู่นั้น เข้าประจันกับสายตาของเย่เจวี๋ยเข้าอย่างจัง
ชั่วขณะต่อมา เธอสะดุ้งโหยงด้วยความตื่นตกใจยิ่ง ชั่วครู่ขณะเธอเอ่ยอุทานดังลั่น เพราะในเวลานี้เย่เจวี๋ยอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าโดยไม่ใส่อะไรปกปิด
เย่เจวี๋ยเพิ่งมานึกออกว่า เมื่อคืนเขาตั้งใจฝึกปรืออย่างหนัก เลยถอดเสื้อผ้าทิ้งไป ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาในอดีตคงจะดูดซับพลังโดยใช้แค่มือ แต่เขาในตอนนี้ไม่ใช่ เปิดทุกสัมผัสอณูร่างกายเพื่อดูดซับอย่างหิวกระหาย
เขาฝึกปรือในสภาพแบบนั้นยันเช้าตรู่ พอเฉี่ยวเอ๋อตื่นขึ้นมาและมาเห็นภาพฉากนี้ ก็คงไม่แปลกที่นางจะตกใจ แต่สิ่งที่ทำให้เธอตกใจที่สุดคือ ดวงตาของนายน้อย เพราะสิ่งที่นางเห็นอยู่ต่อหน้าคือดวงตาที่ดูเฉียบคมและลึกล้ำเกินหยั่งถึงกว่าแต่ก่อนเป็นล้นพ้น
พอนางรู้สึกตัวอีกทีเธอก็อดกลั้นน้ำตาไม่ไม่อยู่อีกต่อไป นางรีบกล่าวอย่างตื่นเต้นทั้งน้ำตาคลอเบ้าว่า
“นะ-นาย...นายน้อย...ดวงตาของนายน้อย...ดวงตาของนายน้อย... เฉี่ยวเอ๋อคนนี้กำลังฝันอยู่กระมัง? ข้าคงฝันไป...”
“นี่ไม่ใช่ฝันไป”
เย่เจวี๋ยเดินเข้ามาตีบั้นท้ายของเฉี่ยวเอ๋อไปทีหนึ่ง เขายิ้มกล่าวว่า
“อย่าอู้สิ ไปเตรียมเสื้อผ้าให้ข้า!”
เฉี่ยวเอ๋อรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างหาที่เปรียบไม่ นางรีบวิ่งออกไปเตรียมเสื้อผ้าให้ทันที ทว่าทันใดเย่เจวี๋ยก็กล่าวหยุดนาง สั่งการอีกคราว่า
“ไปเตรียมผ้าขาวให้ข้าอีกอัน”
เฉี่ยวเอ๋อนางเป็นคนฉลากหัวไวมาก และเข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งที่เย่เจวี๋ยกล่าวไปหมายถึงอะไร โดยปกติแล้วไม่มีใครสามารถงอกดวงตาคู่ใหม่ขึ้นได้ ถ้าคนอื่นรู้เรื่องนี้เข้า มีหวังกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่น นางจึงรีบไปหยิบเสื้อผ้าและผ้าแพรสีขาวที่ใช้ปิดตาอันใหม่มาให้ทันที
ขณะที่เย่เจวี๋ยกำลังแต่งตัว เฉี่ยวอ๋อก็หันหน้าหนีหลบมุมอยู่ด้านหนึ่งด้วยความเขินอาย นางคิดกับตัวเองขึ้นว่า
“ไฉน...ข้าถึงนอนบนเตียงของนายน้อยได้? ยิ่งไปกว่านั้น...นายน้อยยังเปลือยกายอีก? หรือ...หรือเป็นไปได้ไหมว่า...”
ก่อนที่นางจะจินตนาการไปถึงจุดนั้น ใบหน้าของเธอพลันร้อนผ่าวขึ้นทันทีรีบยกมือปิดหน้าปิดตาด้วยความเขินอาย
“ไปเตรียมข้าวเช้าให้ข้าที ข้าเริ่มหิวแล้ว”
เย่เจวี๋ยที่ฝึกปรืออย่างหนักตลอดทั้งคืนย่อมหิวเป็นธรรมดา และเขาต้องการกินอะไรสักอย่างเพื่อเติมเต็มพลัง