ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่2 จักรพรรดิเทพสายฟ้าตื่นจากนิทรา

ตอนที่1 ผูกปมอาฆาต


ตอนที่1 ผูกปมอาฆาต

ณ ผืนพิภพบรรพกาลซวนหยวน ธำรงอยู่ด้วยดินแดนลึกลับทั้งแปดภายใต้มหาพันธนาการนับพันปี นี่คือมหากาพย์ตำนานที่เล่าขานกันไม่มีที่สิ้นสุด ภายในดินแดนเหล่านี้นกอปรไปด้วยเหล่าผู้มีจิตใจแรงกล้าปรารถนาต้องการที่จะมีชีวิต! ทั้งยอดฝีมือผู้สรรหาความแข็งแกล่งหาสรรพสิ่งใดเทียบเทียม นักพรตเต๋าผู้ละทางโลก เทพเซียนผู้ต้องการตำแหน่งจักรพรรดิสูงสุด และเผ่ามารปีศาจหวังขึ้นครองพิภพ!

ณ ดินแดนแห่งฑราวาส เมืองหลงเยวี่ย ตระกูลเย่

ยามเที่ยงวันของเดือนมิถุนายน ดวงตะวันสาดรัศมีไอร้อนแผดผลาญผืนแผ่นดิน

ในบริเวณสวนโล่งกว้างของตระกูลเย่ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเปลือยท่อนบนกำลังอาบพลังแสงตะวัน พยายามควบแน่นลมปราณกักเก็บทั่วกายา ไม่นานผิวเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง หยาดเหงื่อรินไหลทะลักออกมาดั่งโดนห่าฝนกระหน่ำเข้าใส่ นี่เป็นการฝึกที่เรียกกันว่า‘การควบก่อโลหิต’ซึ่งเป็นกลวิธีของการฝึกปรือในอาณาจักรก่อกายาระดับหนึ่ง

เด็กหนุ่มคนนี้นามว่าเย่เจวี๋ย เป็นหลานชายคนโตของเย่ซิงฉง ผู้ดำรงตำแหน่งประมุขตระกูลเย่คนปัจจุบัน ปีนี้เขาอายุได้สิบเจ็ดปีแล้ว และเขาก้าวขึ้นสู้เส้นทางแห่งการฝึกปรือมาตั้งแต่สิบปีก่อน กล่าวคือเขาพยายามฝึกเคล็ดวิชาควบก่อโลหิตมานานนับสิบปี

เขาสามารถปลุกเนตรจักรพรรดิสายฟ้าในตำนานได้ตอนอายุเจ็ดขวบ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด ร่างกายของเขากลับไม่ต่างจากขยะ นี่เปรียบเสมือนคำสาปก็มิปาน สิบปีมาแล้ว เขาก็ยังทนเจ็บทนปวดทรมานแบบนี้ตลอดทุกวี่วัน

ทุกคนในเมืองต่างทราบกันดี ถึงกระทั่งที่ว่ามีใครบางคนแต่งกลอนเสียดสีดั่งว่า ‘ดวงเนตรแสนล้ำค่านาม จักรพรรดิสายฟ้า พลันอับโชคได้เศษขยะเป็นเจ้าของ’

บทกวีดังกล่าวเปรียบเสมือนเข็มแหลมที่ทิ่มแทงหัวใจของเย่เจวี๋ยเรื่อยมา ถึงเขาจะพยายามฝึกปรืออย่างไร เขาก็ไม่สามารถทะลวงผ่านอาณาจักรก่อกายาได้สักระดับชั้นเดียว เนตรจักรพรรดิสายฟ้าคู่นี้คือสมบัติของตระกูลเย่ แต่เป็นสมบัติที่ติดอยู่กับเด็กไร้ความสามารถ ถือเป็นเรื่องอัปยศของคนในตระกูลโดยแท้

ทุกครั้งที่เย่เจวี๋ยไม่สามารถทะลวงข้ามระดับไปได้ เขามักจะคิดปลอบใจตัวเองเสมอว่า สวรรค์มีตาย่อมตอบแทนผู้ขยันหมั่นเพียรเสมอ นี่คือความเชื่อเดียวที่ฝั่งลึกภายในใจเขา!

เยาวชนของตระกูลเย่เริ่มฝึกปรือตั้งแต่เช้าตรู่ เย่เจวี๋ยจะเริ่มฝึกเร็วกว่าพวกเขาเสมอ

ไม่เพียงแค่นั้น เย่เจวี๋ยยังรู้อีกว่า ยามเที่ยงวันกลางห้วงอากาศจะมีพลังเข้มข้นที่สุด และอาจทำให้เขาสามารถทะลวงระดับชั้นพลังได้ง่ายขึ้น

“นายน้อย ถึงเวลาแล้ว กลับมาพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ”

เฉี่ยวเอ๋อ สาวใช้ของเย่เจวี๋ยเดินถือถ้วยชาสมุนไพรตรงเข้ามา จับจ้องผิวหนังอันแดงก่ำของนายน้อย แค่นางได้เห็นก็รู้สึกปวดใจแทนแล้ว

“อืม”

เย่เจวี๋ยหยิบชาสมุนไพรถ้วยใหญ่ขึ้นมาจิบและพาเฉี่ยวเอ๋อกลับไป

แต่ระหว่างทางกลับ เขาพบว่ามีเด็กหนุ่มอีกคนกำลังยืนอยู่บนรั้วข้างบ่อบัวของตระกูลเย่ ซึ่งบ่อนี้ลึกมากและมีคนเคยจมน้ำตายมาแล้ว

เมื่อเย่เจวี๋ยเห็นหน้าของเด็กหนุ่มผู้นั้น พลันอุทานขึ้นภายในใจด้วยความตะลึง นั่นหาใช่นายน้อยหยาง หยางอู๋ซินหรอกรึ? ไฉนเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?

ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า เมื่อวานนี้ท่านปู่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและกำลังเก็บตัวอยู่ในเรือนเพื่อรักษา ซึ่งประมุขตระกูลหยาง หยางติงเทียนก็มาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อมอบโอสถให้

หากเป็นคนอื่นยังพอทำเนา แต่หยางอู่ซินเป็นนายน้อยปัญญาอ่อน ถ้าเกิดเขาพลัดตกลงไปในบ่อบัวนั่น ตระกูลเย่จะไปพูดกับตระกูลหยางยังไง?

พอคิดได้แบบนั้น เย่เจวี๋ยจึงรีบเดินไปหาทันที แต่ขณะเดียวกัน หยางอู่ซินก็กระโดดลงมาจากรั้ว และเหลือบมองไปเห็นเฉี่ยวเอ๋อที่อยู่ด้านหลังเย่เจวี๋ย ทันใดนั้นมุมปากของเขาก็มีน้ำลายไหลเยิ้มออกมา พร้อมปริกปากพึมพำด้วยความกระหายไม่หยุดหย่อน

“มะ-แม่นาง แม่นาง...มีลูกกัน! มีลูกกัน!”

เพียงได้ยินดังนั้น หยางอู่ซินก็วิ่งเข้ามาทำท่าราวกับจะโผกอดเฉี่ยวเอ๋อ นางตกใจจนหน้าซีดเผือก ทำได้เพียงวิ่งไปหลบอยู่หลังเย่เจวี๋ย

หยางอู่ซินถอดเสื้อผ้าออกภายเวลาไม่ถึงสองอึดใจ ร่างเปลือยเปล่าวิ่งเข้ามาหาเฉี่ยนเอ๋อด้วยความหื่นกระหาย พุ่งเข้าใส่เย่เจวี๋ยโดยตรง

มิอาจทราบได้ว่า เจ้าโง่นี่ไปเอาพละกำลังมาจากไหนตั้งมากมาย แม้แต่เย่เจวี๋ยยังไม่สามารถหยุดเขาได้ ทั้งสามพัลวันยุ่งเหยิง

ในเวลานั้นเอง เย่เทียนซิง หลานชายของผู้อาวุโสใหญ่ก็เดินผ่านมาพอดี เหลียวไปเห็นว่าเย่เทียนซิงผ่านมา เย่เจวี๋ยที่กำลังยุ่งก็รีบตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เย่เทียนซิงจะยืนดูอยู่แบบนั้น ทั้งยังกอดแขนแน่นไม่มีท่าทีเข้ามาช่วยแต่อย่างใด ราวกับว่าเขากำลังดูชมละครอยู่

ปกจิเขามักจะชอบรังแกกลั่นแกล้งเย่เจวี๋ยเป็นอาจิน วันนี้พอได้พบเห็นภาพฉากท่าทางน่าสนุกในความโชคร้ายของอีกฝ่าย ก็เอ่ยขึ้นว่า

“เหอะ เจ้าปัญญาอ่อนได้กับสาวใช้? ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”

“เจ้า...”

เย่เจวี๋ยทราบดีอยู่ในใจ อีกฝ่ายไม่มีทางมาช่วยเขาแล้วแน่นอน แต่เวลานี้หยางอู๋ซินเองก็ดิ้นไม่หยุด เขาพยายามออกแรงผลักร่างหยางอู่ซินออกไปหลายสิบก้าว พลางเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจับจ้องตนด้วยสายตาแปลกประหลาด

เพิ่งสังเกตรู้ตัวหยางอู่ซินก็ถูกผลักเจียนจะตกบ่อบัวไปแล้ว เย่เจวี๋ยเห็นดังนั้นรีบดึงแขนเขากลับมาด้วยแรงทั้งหมด แต่น่าเศร้านักที่สายเกินไปเสียแล้ว

ในเวลานั้นเอง หยางติงเทียนที่กำลังจะเดินทางลาจากตระกูลเย่ออกไป ก็พลันพบเห็นภาพฉากนี้อย่างพอดิบพอดี เขารีบวิ่งไปช่วยหยางอู่ซินทันที แต่เวลานั้นเองอีกฝ่ายก็จมไปกว่าครึ่งตัวแล้ว พอลากร่างขึ้นมาเหนือน้ำ ทุกคนที่มาพบเห็นในภายหลังกลับต้องสูดไอเย็นแช่มลึก ตกใจเกินพรรณนา บริเวณดวงตาทั้งสองข้างของหยางอู่ซินเต็มไปด้วยเลือดสดที่ไหลทะลักออกมา หลังจากที่หมอของตระกูลหยางวินิจฉัยดูแล้ว เขาก็บอกได้ทันทีว่า หยางอู่ซินตาบอดถาวร

หยางติงเทียนโมโหอย่างมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขากระชากคอเสื้อหมอกรนเสียงเย็นกล่าวขู่ขึ้นว่า

“หากเจ้ามิสามารถรักษาดวงตาของลูกชายข้าได้ วันนี้ข้าจักเอาชีวิตสุนัขของเจ้ามาชดใช้!”

แต่จากนั้นเขาก็เริ่มปะติปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ที่ได้เห็น สีหน้าของหยางติงเทียนเย็นยะเยือกลงทันใด หันมาคำรามใส่เย่เจวี๋ยเสียงดังสนั่น

“ลูกชายของข้ารักใคร่ในตัวสาวใช้ของเจ้า นับว่าเป็นเกียรติของนางแล้ว แต่ด้วยความแค้น เจ้าถึงกับต้องผลักร่างของเขาลงในบ่อบัว ทั้งยังทำให้เขาตาบอดอีก วันนี้ข้ามีเจตนาดีเดินทางมามอบโอสถแสนล้ำค่าให้แก่ตระกูลเย่ แต่นี่หรือคือสิ่งที่ตระกูลเย่ตอบแทนให้ข้า! วันนี้ตระกูลเย่จักต้องพินาศ!”

ทันทีที่สิ้นเสียงหยางติงเทียน ทั่วอณูกายาพลันระเบิดพลังอาณาจักรก่อกายาระดับเก้าขั้นสุดออกมาในบัดดล คลื่นลมปราณอันรุนแรงที่ระเบิดออกมาประดุจเสียงอัสนีบาตลั่น ดังสนั่นไปทั่วฟ้าดิน นี่ต่างทำให้ทุกคนโดยรอบหวาดกลัวจนตัวสั่นเทา

ในตอนนี้ประมุขตระกูลเย่ซึ่งเป็นยอดฝีมือที่แกร่งกล้าที่สุดได้รับบาดเจ็บสาหัส แถมตระกูลเย่เองยังห่างชั้นด้อยกว่าตระกูลหยางมากนัก ถึงกระนั้นเย่เจวี๋ยก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายใส่ความโดยง่ายเช่นกัน เขารีบอธิบายตามความเป็นจริงทันทีว่า

“หยางอู่ซินพลาดตกบ่อบัวไปเอง ไฉนท่านถึงใส่ร้ายข้า? และอีกอย่างภาพฉากเมื่อครู่คือข้ากำลังช่วยเขาให้พ้นจากบ่อเพียงเท่านั้น ข้าไร้ซึ่งพละกำลังจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีแรงมากพอจะผลักตกไปได้?”

“หึ! แม้นลูกข้าจะตาบอด แต่หาใช่ว่าข้าจะตาบอดเช่นกัน! ข้าเห็นกับตาคู่นี้ว่าเจ้าผลักเขาและพยายามกดเขาให้จมน้ำตาย! แถมยังเล่นแง่แอบใช้บางสิ่งแทงตาระหว่างจมน้ำด้วยใช่ไหม! แต่เจ้าก็ยังพล่ามเหลวไหลหาข้อแก้ตัวอีกงั้นรึ?!”

หยางติงเทียนไม่เชื่อสิ่งที่เย่เจวี๋ยกล่าวอธิบายแม้สักนิด และมั่นใจอย่างยิ่งว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นคือ เย่เจวี๋ยที่พยายามจะฆ่าลูกชายเขา

ตอนนี้เย่เจวี๋ยเองก็โมโหอย่างยิ่งเช่นกัน ทั้งๆที่เขาหวังดีกลัวว่าหยางอู่ซินจะสำลักน้ำตาและพยายามลากเขาขึ้นมา แต่ตอนนี้เขากลับโดนใส่ร้ายจนกลายมาเป็นฆาตกรไปเสียแล้ว

“ตั้งแต่แรกเริ่มจนจบ เย่เทียนซิงเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ท่านสามารถถามหาความจริงกับเขาได้!”

ขณะนั้นเอง เย่เจวี๋ยก็นึกขึ้นได้ว่า เย่เทียนซิงเองก็เฝ้ามองเหตุการ์ทุกอย่างอยู่เคียงข้างด้วยตาตัวเอง ถึงแม้เย่เทียนซิงจะชอบรังแกเขาตลอดมา แต่ช่วงเวลาคับขันแบบนี้ อีกฝ่ายจักต้องช่วยเหลือคนในตระกูลเย่อย่างแน่นอน

แต่กลับคาดไม่ถึงเลยว่า เย่เทียนซิงจะตื่นตระหนกหนักยามเผชิญหน้ากับพลังอาณาจักรก่อกายาระดับเก้าขั้นสุดของหยางติงเทียน พอเห็นอีกฝ่ายเหลือบสายตามอง ใบหน้าของเขาพลันซีดเผือก ร่างกายสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวจัด เขารีบส่ายหน้ากล่าวโยนไปว่า

“ไม่...ข้าไม่เห็นอะไรเลย! ข้าไม่เห็นอะไรเลย! นี่ไม่ใช่เรื่องของข้า”

เวลาเดียวกัน หมอจากตระกูลหยางก็คุกเข่าลงกันพื้นแทบเท้าหยางติงเทียน เขาเรียนขึ้นว่า

“ดวงตาของนายน้อยถูกทำลายจนบอดไปแล้วก็จริง แต่ข้าเกรงว่ายังมีหนทางในการรักษา...”

“หนทางอันใด? ตราบเท่าที่ข้าทำได้ ข้าจักพยายามให้ถึงที่สุด!”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ เย่เจวี๋ยถึงกับใจสั่นระรัว ร้อนรนเสียยิ่งกว่าหยางติงเทียน เขาเป็นหลานรักของเย่ซิงฉง ประมุขตระกูลเย่ ทว่ายามนี้กลับเก็บตัวรักษาอาการอยู่ เรื่องต่อจากนี้ต้องให้บรรดาคนของตระกูลเย่จัดการ

“ทำได้เพียง...เปลี่ยนดวงตาคู่ใหม่ แต่หากเป็นดวงตาทั่วไป ยามถูกควักออกจากร่างแล้วจะทำให้สูญเสียพลังชีพถึงขั้นเสียชีวิตได้”

“อื้ม? นี่...”

เมื่อคำกล่าวนี้เปล่งดังออกมา บรรดาคนของตระกูลเย่ต่างมองหน้ากันทันที

“เปลี่ยนดวงตาคู่ใหม่?”

หยางติงเทียนอุทานขึ้นทันทีพลางเหลือบหางตาไปมองเย่เจวี๋ย ทันใดนั้นแววตาของเขาก็สว่างวาบ กล่าวว่า

“หากข้าจำไม่ผิด เจ้าเด็กนี่เกิดมาพร้อมกับเนตรจักรพรรดิสายฟ้า แต่น่าเสียดายนักที่มันเป็นแค่ขยะไร้ค่า ยามนี้เจ้าทำให้ลูกชายข้าตาบอด ดังนั้น...คงไม่มากเกินไปที่จะใช้ดวงตาเจ้าไปเปลี่ยนแทน!”

ทันควันที่หยางติงเทียนกล่าวจบ เขาก็พุ่งออกไปคว้าตีเย่เจวี๋ยจับไว้แน่นและใช้มือเตรียมจะควักลูกตาออกมาทันที

“หยุดก่อน!”

ทันทีทันใด ผู้อาวุโสตระกูลเย่ก็เร่งลงมือ พุ่งออกไปสกัดหวังหยุดการกระทำของหยางติงเทียน แต่ผู้อาวุโสท่านนี้หาใช่คู่ต่อสู้ของหยางติงเทียนไม่ หนึ่งฝ่ามือสวนตอบกลับไป ผู้อาวุโสท่านนั้นกระอักพ่นเลือดสดกระจาย ร่างกระเด็นตกบ่อบัวดังซ่า

หยางติงเทียนแผ่รัศมีขอบเขตพลังขั้นสุดกดดันทุกคนรอบข้าง กวาดสายตามองอย่างเลือดเย็นกล่าวขู่ขึ้นว่า

“วันนี้ใช้ดวงตาของเด็กนี่เพื่อทดแทนกับสิ่งที่ลูกข้าสูญเสีย หรืออยากให้ข้าล้างบางตระกูลเย่ก่อนค่อยชิงมา จะอย่างไรพวกเจ้าเลือกเองเถิด!”

“อาสองช่วยข้าด้วย...”

เมื่อได้ยินคำขู่เช่นนี้ เย่เจวี๋ยรู้ได้ทันทีว่า ยามนี้เหลือเพียงอาสองอย่างเย่ชุ่นซินเท่านั้นที่สามารถฝากความหวังไว้ได้ในยามที่ท่านปู่ไม่อยู่ คนเดียวที่สามารถพลิกสถานการณ์ทั้งหมดได้คือเขา!

“เฮ้ออ...”

เย่ชุ่นซินส่ายหัวอานพลางร่นถอยออกไปก้าวหนึ่ง ทุกคนในตระกูลเย่ไม่มีใครกล้าส่งเสียงเอ่ยกล่าวอีกต่อไป ขณะที่เฉี่ยวเอ๋อพยายามจะออกหน้าไปช่วยนายน้อย ทว่ากลับถูกสมาชอกคนอื่นๆของตระกูลเย่จับตัวไว้ไม่ให้ไปไหน

พบเห็นภาพฉากดังนั้น ภายในใจเย่เจวี๋ยสั่นสะท้านเยือกแข็งในบัดดล ตอนนี้ท่านปู่ไม่สามารถออกโรงมาช่วยเหลือได้ คนตระกูลเย่ตัวใหญ่มีพละกำลังซะเปล่า แต่เรื่องความใจเด็ด กลับสู้สาวน้อยนางนี้ไม่ได้เลย!

“หึ! นับว่าพวกเจ้ายังฉลาด!”

หยางติงเทียนระเบิดหัวเราะลั่น จากนั้นกระชับต้นคอเย่เจวี๋ยแน่นขึ้น

ขอบเขตพลังฝึกปรือของเย่เจวี๋ยอยู่แค่อาณาจักรก่อกายาระดับหนึ่ง เขาไม่แม้แต่ขยับตัวได้ด้วยซ้ำภายใต้การพัฒนาการของหยางติงเทียน

“เศษขยะอย่างเจ้า ครอบครองสมบัติไปแล้วจะเกิดประโยชน์อันใด? สู้เอามาให้ลูกชายข้าแทนเถอะ!”

ทันทีที่พูดจบ หยางติงเทียนก็ยื่นนิ้วทั้งสองออกมาพร้อมควักลูกตาคู่นั้นของเย่เจวี๋ยโดยตรง

ความเจ็บปวดทรมานเกินพรรณนาโฉบแล่นไปยังเบ้าตาทั้งสองของเย่เจวี๋ย กระจายไปทั่วร่างยันขั้วหัวใจ ทันใดนั้นโลกทัศน์ของเขาก็มืดสนิทในทันที

หากเป็นคนปกติทั่วไปแล้ว เมื่อสูญเสียดวงตาไปถือเป็นความเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าตาย แต่การที่เย่เจวี๋ยมีเนตรจักรพรรดิสายฟ้าอยู่กับตัว นั้นหมายความว่าดวงตานี้จะเชื่อมต่อไปถึงสมองและหัวใจโดยตรง ยามถูกควักออกไปจึงรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าคนทั่วไปนับร้อยพันเท่าทวี!

แต่การฝึกปรืออย่างหนักหน่วงนับสิบปี ทำให้เขาไม่ตัดใจยอมแพ้ เขาไม่สามารถล้มลงทั้งแบบนี้ได้ ไม่มีวัน!

เขากัดฟันแน่นทนต่อความเจ็บปวดที่ร้าวรานยังขั้วหัวใจ สีหน้าซีดขาวราวกับคนตาย เหงื่อเย็นพลั่งพรูท่วมทะลักออกมา

ท้ายที่สุดนี้คงเหลือแค่เบ้าตาอันว่างเปล่าที่มีเลือดสีสดย้อมทั่วใบหน้าเย่เจวี๋ยทรุดลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง แหกปากคร่ำครวญลั่น คำรามดุร้ายดั่งสัตว์ป่า สาปแช่งขึ้นทันใดว่า

“ไอ้พวกคนสกุลหยาง! ท่านปู่จักต้องออกมาแก้แค้นพวกแกในสักวัน! วันนี้...วันนี้ข้าจักไม่ตาย ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อสักวันจ้าจะทำให้ตระกูลหยางต้องหลั่งเลือดดุจธาราธาร ล้างความอัปยศของจ้าในวันนี้!!!”

“ข้าเกลียด...ข้าเกลียดพวกท่าน... เกลียด...”

เย่เจวี๋ยคำรามได้สามคำ ก่อนที่สติจะค่อยๆเลือนหายและสลบไป......

เขาเกลียดสวรรค์ที่ไร้ซึ่งตามอง แย่งชิงพรสวรรค์เพียงหนึ่งเดียวของเขาไป เขาเกลียดตระกูลหยางที่ไร้ยางอาย รังแกคนอ่อนแอไม่มีทางสู้อย่างเขา เขาเกลียดคนตระกูลเย่ที่ทั้งขี้ขลาดและเลือดเย็นเฉกเช่นนี้

สุ้มเสียงแสนอัปยศดังลั่นกังวานไม่หยุดภายในใจ ยามนี้ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้เย่เจวี๋ยที่นอนสลบคากองเลือด มีเพียงเฉี่ยวเอ๋อที่วิ่งเข้ามาโอบอุ้มร่างของเขา ทั้งยังร้องห่มร้องไห้อย่างเจ็บปวด

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด