ตอนที่แล้ว348 - การลุกฮือของนิกายบัวขาว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป350 - ความคุ้นเคย

349 - พยัคฆ์บ้าในฝูงแกะ


349 - พยัคฆ์บ้าในฝูงแกะ

“หัวหน้าของเราช่างโหดเหี้ยมจริงๆ…”

หน่วยองครักษ์ซีไห่ที่มองเห็นเหตุการณ์อยู่ไกลๆต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องออกมา

นี่เป็นเพราะว่าตลอดการเดินทางเอี้ยนลี่เฉียงไม่เคยต่อสู้ระยะประชิดกับใคร ไม่ว่าจะเจอศัตรูมากแค่ไหนเขาก็จะใช้เพียงลูกศรของเขาปลิดชีพมันทันที

ในขณะนี้เอี้ยนลี่เฉียงเพียงคนเดียวกลับทำการไล่ล่ากลุ่มโจรนิกายบัวขาวนับร้อยอย่างบ้าคลั่ง

“ฮุ่ยเผิง เจ้าจะไปไหน…?”

ในขณะที่ทุกคนกำลังโห่ร้องด้วยความยินดี กู่เจ๋อซวนก็ส่งเสียงร้องพร้อมกับกระชากบังเหียนม้าของจ้าวฮุ่ยเผิง

“ข้าจะกลับไปช่วยหัวหน้า…!”

“เจ้ากลับไปไม่ได้ แทนที่เจ้าจะช่วยเหลือหัวหน้าเจ้าจะไปเป็นภาระของเขาเปล่าๆ…!”

“เจ๋อซวนพูดถูก ข้าแน่ใจว่าลี่เฉียงต้องไม่ทำการโดยประมาท เขารู้อยู่แล้วว่าเขาสามารถจัดการโจรพวกนี้ดังนั้นเขาจึงออกไปเพียงคนเดียว…” หวังฮุ่ยอธิบาย

“ข้ากลัวว่าหัวหน้าจะได้รับอันตราย อย่างน้อยๆข้าก็ต้องอยู่ร่วมเป็นร่วมตายกับเขา!” จ้าวฮุ่ยเผิงซึ่งปกติไม่ค่อยชอบพูดจากับมีความดื้อรั้นไม่ฟังคำเตือนของทุกคน

“พวกเจ้าอยู่ที่นี่เดี๋ยวข้าจะไปเอง ไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็เป็นนักสู้ขั้นสูงสุด ข้าจะอยู่ระวังหลังกับลี่เฉียง!” หวังฮุ่ยกล่าวจบก็ขับมาออกไปโดยไม่รอฟังคำตอบจากทุกคน

……

ระหว่างทางที่อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ เอี้ยนลี่เฉียงดึงประสบการณ์ของเขาในการพาซุนปิงเฉินกลับสู่เมืองหลวง ลูกธนูที่เขาพกพามาด้วยมีจำนวนมากมายมหาศาล

ดังนั้นเอี้ยนลี่เฉียงจึงยังคงสามารถไล่ยิงโจรนิกายบัวขาวได้อย่างเมามันโดยไม่ต้องกังวลว่าลูกธนูของเขาจะหมด

คันธนูสามต้านแม้ว่าจะอ่อนด้อยอยู่บ้างแต่ก็สามารถจัดการกับโจรพวกนี้ได้เหลือเฟือ ด้วยคันธนูที่เบาขนาดนี้เอี้ยนลี่เฉียงจึงสามารถยิงออกได้ด้วยความเร็วสูง

เมื่อเขาควบม้าผ่านศพที่อยู่บนพื้นเขาก็หยุดแล้วหยิบเอาทวนเหล็กกองทหารม้าขึ้นมาถือไว้ในขณะที่คันธนูของเขาถูกเก็บไว้ข้างอานม้าจากเขาก็นั้นก็กระโดดขึ้นหลังม้าแล้วไล่ตามโจรต่อไป

ทวนที่เขาหยิบขึ้นมานี้เห็นได้ชัดว่าเป็นทวนที่สร้างขึ้นเพื่อทหารม้าจักรวรรดิไม่ใช่ของกระจอกงอกง่อยอย่างที่พวกโจรปกติใช้

ทวนเล่มนี้มีขนาดยาวถึงเกือบสองวา และมีใบมีดอยู่ที่ด้านปลายยาวกว่าหนึ่งจ้าง ทวนยาวเล่มนี้แม้จะไม่สามารถเทียบได้กับทวนกระดูกสันหลังมังกรของเขาแต่ก็นับเป็นของดีอย่างยิ่ง

เมื่อทหารม้าของนิกายบัวขาวเห็นว่าเอี้ยนลี่เฉียงเลิกยิงธนูแล้วพวกเขาก็ชักดาบและหยิบทวนของตัวเองออกมาก่อนจะหันม้ากลับเข้าหาเอี้ยนลี่เฉียง

“ลูกศรของมันหมดแล้ว กลับไปฆ่ามัน…!”

คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของคนที่เหลือตะโกนออกมาเพื่อรวบรวมความกล้าแล้วไสม้าเข้าหาเอี้ยนลี่เฉียงด้วยความโกรธแค้น

เอี้ยนลี่เฉียงยังคงมีลูกธนูเหลือเฟือ เพียงแต่ว่าเขาเบื่อที่จะยิงลูกธนูจากคันศรเบาๆแบบนี้แล้ว

อีกอย่างหนึ่งเขาตั้งใจว่าจะใช้วิชาทวนที่ได้ร่ำเรียนมาสังหารโจรที่เหลืออีกประมาณ 20 30 คนในครั้งเดียว

เมื่อได้ยินว่าเอี้ยนลี่เฉียงหมดลูกธนูแล้ว ทหารที่หลบหนีอยู่ประมาณสิบคนก็หยุดม้าทันที พวกเขาหันม้ากลับ กวัดแกว่งอาวุธ และพุ่งเข้าใส่เอี้ยนลี่เฉียงพร้อมเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อเห็นผู้คนหันหลังกลับ ทหารม้าจำนวนมากที่ถูกไล่ตามราวกับกระต่ายก็มีปฏิกิริยาที่สอดคล้องกัน พวกเขาชักดาบชักทวนหันกลับมาเช่นกัน

ทหารม้าของนิกายบัวขาวที่เต็มไปด้วยความกลัวต่อลูกศรของเอี้ยนลี่เฉียก็รวบรวมความกล้าของตัวเองขึ้นใหม่พร้อมที่จะล้างความอัปยศอดสูจากการถูกไล่ล่าเมื่อสักครู่…

ทั้งสองฝ่ายต่างพุ่งเข้าหากันอย่างบ้าคลั่ง ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเอี้ยนลี่เฉียงก็ปะทะกับทหารม้าเจ็ดหรือแปดคน

เอี้ยนลี่เฉียงส่งเสียงคำรามราวกับสัตว์ร้าย ทวนในมือของเขากลายเป็นภาพธรรมของดอกไม้ขนาดใหญ่ซึ่งบานสะพรั่งบนทางหลวงที่กว้างหลายวา

ภายในเวลาไม่ถึง 2 ลมหายใจเอี้ยนลี่เฉียงก็ทิ่มแทงทวนของเขาออกไป 7-8 ครั้ง…

เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงควบม้าผ่านคนเหล่านั้น ร่างของทหารม้านิกายบัวขาวก็แกว่งไปแกว่งมาจากหลังม้าและตกกระแทกพื้นเสียชีวิตโดยที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งเสียงร้อง

ฉากนี้ทำให้คนที่เหลือซึ่งกำลังควบม้ามาในทิศทางนี้ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว

ใครจะคาดคิดว่าเอี้ยนลี่เฉียงที่เก็บธนูไปแล้วจะมีความน่ากลัวมากกว่าตอนที่เขายิงธนูเสียอีก คนที่บุกเข้าไปจู่โจมเอี้ยนลี่เฉียงเมื่อสักครู่ไม่มีคนรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว

ด้วยเหตุนี้ความกล้าหาญที่พวกเขาเพิ่งรวบรวมกลับมาได้ใหม่ก็ถูกทำลายอยากดู พวกเขาหันหลังกลับและหนีไปอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่บางคนตกจากหลังม้าก็ไม่ได้มีความพยายามที่จะกระโดดกลับขึ้นม้าด้วยซ้ำ พวกเขาส่งเสียงกรีดร้องออกมาแล้ววิ่งไปข้างหน้าราวกับเสียสติ

เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกตกตะลึงกับการโจมตีของตัวเองอยู่เล็กน้อย เขาไม่คิดว่าการเคลื่อนไหวทวนของเขาจะส่งพลังถึงขนาดนี้ สิ่งนี้เกินขอบเขตจากตอนที่เขาฝึกฝนครั้งล่าสุดอยู่มาก

เอี้ยนลี่เฉียงจำความรู้สึกที่เขาลงมือสักครู่ได้เป็นอย่างดี ทันใดนั้นการตระหนักรู้ก็เกิดขึ้นกับเขา เมื่อเขาเหวี่ยงทวนออกไปด้านหน้ามันก็มีเสียงฝ่าอากาศราวกับมังกรส่งเสียงคำราม

เรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับระดับบ่มเพาะของทั้งสองร่างกายของเขาที่อยู่สองโลก

แม้ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ในอาณาจักรสวรรค์แต่สิ่งที่เขารู้แจ้งได้เขาก็สามารถนำมันไปใช้ได้ทั้งสองอาณาจักรโดยไม่ต้องฝึกฝนใหม่

สิ่งที่ร่างกายของทั้งสองอาณาจักรของเขาแตกต่างกันมีเพียงพลังปราณฟ้าดินที่เขาสะสมไว้ในร่างกายเท่านั้น แต่ประสบการณ์และความเข้าใจสามารถนำมาใช้ร่วมกันได้ทันที

การฝึกฝนเช่นนี้จะทำให้เขาสามารถพัฒนาตัวเองไปอย่างรวดเร็วมากกว่าที่เขาเคยทำถึงสองเท่า

……

เอี้ยนลี่เฉียงฟาดฟันศัตรูที่อยู่ด้านหน้าเหมือนมีดร้อนผ่าเนย ไม่มีใครสามารถต่อต้านเขาได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว

หลังจากไล่ตามเข้ากลางฝูงของโจรนิกายบัวขาวเขาก็เป็นเหมือนพยัคฆ์คุ้มคลั่งที่อยู่ท่ามกลางฝูงแกะ เงาทวนของเขาโบกสะบัดไปทุกทิศทางสังหารผู้คนนับสิบอย่างต่อเนื่อง

เอี้ยนลี่เฉียงหักม้าเลี้ยวออกจากทางหลวงและไล่ตามกลุ่มชนที่กำลังหลบหนีโดยไม่คิดชีวิต

เนื่องจากพวกเขาขี่ม้าธรรมดามันทำให้ความเร็วการเคลื่อนที่ของเขาช้ากว่าตอนที่เขาขี่เมฆพายุหิมะเป็นอย่างมากมันจึงทำให้การไล่ล่าของเขาไม่ได้ดั่งใจเท่าที่ควร

นอกจากนี้ ความเร็วและความอดทนของม้าธรรมดานั้นด้อยกว่าม้าพันธุ์แรดอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเอี้ยนลี่เฉียงก็แทบจะสังหารกลุ่มโจรนิกายบัวขาวที่ไล่ตามเขาในตอนแรกจนหมดสิ้น

ผู้คนที่ถูกกวาดต้อนมาและยังคงนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นต่างก็เห็นเหตุการณ์ครั้งนี้ เมื่อพวกเขาเห็นกลุ่มโจรนิกายบัวขาวถูกสังหารอย่างต่อเนื่องพวกเขาก็ฉวยโอกาสวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง

กองทหารม้าจากนิกายบัวขาวที่กำลังควบคุมผู้คนเหล่านั้นพวกเขาก็เห็นการกระทำของเอี้ยนลี่เฉียงเช่นกัน ฝ่ายตรงข้ามมีความดุร้ายเป็นอย่างมากพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นได้แต่ปลีกตัวออกมาต่อสู้กับเอี้ยนลี่เฉียง

ทหารม้าจากนิกายบัวขาวไม่สามารถควบคุมฝูงชนนับพันที่คุกเข่าอยู่บนพื้นได้ พวกเขารวมตัวกันเพื่อจะทำการสังหารเอี้ยนลี่เฉียงเป็นการตัดปัญหาที่ร้ายแรงก่อน

น่าเสียดายทหารม้าธรรมดาจะต้านทานกำลังของเอี้ยนลี่เฉียงผู้เป็นยอดนักรบได้อย่างไร แม้ว่าพวกเขาจะมีคนนับร้อยแต่ขอเพียงทวนของเอี้ยนลี่เฉียงยื่นออกมาก็จะปิดชีวิตพวกเขาทันที

กลุ่มทหารมาจากนิกายบัวขาวเต็มไปด้วยความหวาดกลัวหลังจากที่พวกเขาสูญเสียกำลังไปร้อยกว่าคนแล้ว

ในขณะเดียวกันกลุ่มชนที่ถูกควบคุมไว้ก็กำลังก่อจลาจลขึ้นพวกเขาได้แต่ส่ายศีรษะและถอนกำลังออกจากที่นี่อย่างรวดเร็ว ก่อนที่มัจจุราชจะยื่นมือเข้าหาพวกเขา

……

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด