ตอนที่แล้ว343 - นายท่าน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป345 - หนังสือพิมพ์

344 - ข้ารักเจ้าชุ่ยฮัว


344 - ข้ารักเจ้าชุ่ยฮัว

เอี้ยนลี่โวยวายออกมาทันที

“เฮ้ เฮ้ เฮ้ สิ่งแรกข้ามีเงินจำนวนน้อยนิดอย่าคิดว่าข้าจะเสียเวลามาจ้างคนรับใช้แก่ๆแบบเจ้า อีกเรื่องคือไม่มีทางที่ข้าจะทำตามเจตนารมณ์ของอาจารย์เจ้า อย่ามาบังคับข้า…”

“หมายความว่าท่านจะเต็มใจมองดูผู้คนหลายร้อยล้านต้องตายไปต่อหน้าโดยที่ไม่ช่วยเหลือ?” ฟางเป่ยโต้วยืนขึ้นและจ้องเขม็งไปที่เอี้ยนลี่เฉียง

เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงเห็นการแสดงออกที่กระวนกระวายใจบนใบหน้าของเขา เอี้ยนลี่เฉียงก็ตระหนักถึงความแน่วแน่ของฟางเป่ยโต้ว ดังนั้นเขาจึงได้แต่ส่ายศีรษะ

“ข้าจะกลับแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไรข้าก็ไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้ ข้าเป็นเพียงผู้บัญชาการหยิงหยาง ไม่ใช่เสนาบดีที่จะสามารถดลบันดาลอาณาจักรนี้ให้เป็นไปตามใจของข้าใด…”

เอี้ยนลี่เฉียงกล่าวขณะเดินต่อไปที่ทางออกของวิหารเต๋า

“ใครจะรู้ว่าเจ้าแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกข้าหรือเปล่า…”

ทันใดนั้นฟางเป่ยโต้วก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขารีบวิ่งมาขวางทางเอี้ยนลี่เฉียงและคุกเข่าอยู่ที่พื้นพร้อมกับตะโกนว่า

“นายท่านต้องการให้ข้าทำอะไรท่านถึงจะยอมเชื่อข้า?”

“เจ้าเต็มใจที่จะยอมรับข้าเป็นเจ้านายจริงๆ” เอี้ยนลี่เฉียงถามกลับ

"ใช่!" ฟางเป่ยโต้วพยักหน้าอย่างจริงจัง

“ในเมื่อข้าเป็นเจ้านายเจ้า เจ้าจะยอมทำตามคำพูดของข้าหรือไม่” เอี้ยนลี่เฉียงถามอีกครั้ง

"ใช่!"

ฟางเป่ยโต้วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมอีกครั้งและกล่าวว่า

“เพื่อให้คนหลายร้อยล้านมีชีวิตรอด ต่อให้นายท่านต้องการเอาชีวิตข้าเดี๋ยวนี้ข้าก็จะทำ!”

“ตกลง ถ้าอย่างนั้นข้าก็มีงานให้เจ้าทำ!” รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเอี้ยนลี่เฉียงขณะที่เขาพูดต่อ

“ให้เจ้าถอดเสื้อผ้าของตัวเองโดยไม่สวมอะไรและไม่ปิดบังใบหน้า จากนั้นเจ้าก็วิ่งจากที่นี่ไปที่เมืองหลวงพร้อมกับตะโกนคำว่า 'ข้ารักเจ้า ชุ่ยฮัว' ตะโกนคำนี้อย่าหยุดจนกว่าเจ้าจะกลับมาที่นี่'”

ฟางเป่ยโต้วตัวแข็งทันที ...

คำสั่งของเอี้ยนลี่เฉียงเป็นการจำลองฉากโดยตรงใน 'The God of Cookery'(คนเล็กกุ๊กเทวดา) ซึ่งตัวละครของโจวซิงฉือท้าให้ถังหนิวขับถ่ายต่อหน้าทุกคนที่อยู่นอกลิฟต์ถึงจะรับเข้าทำงาน

เมื่อเห็นสายตาที่น่าเบื่อของฟางเป่ยโต้วและริมฝีปากที่สั่นเทา เอี้ยนลี่เฉียงก็ส่ายหัวและถอนหายใจ

“นับแต่นี้พวกเราไม่ยุ่งเกี่ยวกัน เจ้าก็ใช้ชีวิตแบบเทพเซียนของเจ้าอยู่ที่นี่ ในขณะที่ข้าก็จะเป็นผู้บัญชาการหยิงหยางและใช้ชีวิตร่วมกับหญิงคนรักของข้าเช่นกัน…”

เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงพูดจบ เขาก็ออกจากวัดเต๋าและลงเขาไป

เอี้ยนลี่เฉียงกลับมาที่โรงเตี๊ยมซึ่งเขาฝากม้าเมฆพายุไว้ที่นี่ ก่อนจะขี่ม้าและออกจากภูเขามังกรขาว

ในขณะที่เขากำลังขี่ม้าไปเรื่อยๆก็ได้ยินเสียงความโกลาหลดังมาจากด้านหลัง หญิงสาวมากมายต่างก็กรีดร้องออกมาคล้ายกับพบเจอความน่าสยดสยองถึงขีดสุด

เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงหันศีรษะกลับไป เขาเห็นชายเปลือยกายที่มีผมกระเซิงวิ่งตามเขามาอย่างรวดเร็วสร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนที่อยู่รอบๆ

“ข้ารักเจ้า ชุ่ยฮัว! ข้ารักเจ้าชุ่ยฮัว…!” ชายเปลือยกายกรีดร้องขณะที่เขาวิ่งผ่านเอี้ยนลี่เฉียงราวกับสายลม เขายังใช้วิชาตัวเบาเพื่อให้สามารถไปกลับเมืองได้อย่างรวดเร็ว

แม่งเอ๊ย! เขาทำจริงๆ…

เอี้ยนลี่เฉียงเกือบจะตกจากหลังม้าเมื่อเห็นภาพที่อุจาดตาวิ่งผ่านไป

………..

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความโกลาหลจนข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงในเวลาเพียงวันเดียว

วันรุ่งขึ้นในคฤหาสน์กวางเอี้ยนลี่เฉียงได้ยินคนพูดถึงเรื่องนี้เป็นสามเวอร์ชั่น

หนึ่งในรุ่นคือยอดฝีมือที่ฝึกฝนอยู่บนภูเขาเพียงลำพังได้เดินลมปราณผิดขั้นตอนทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกและเกิดเสียสติก่อนจะวิ่งลงมาจากเขา

อีกเวอร์ชั่นหนึ่งบอกว่าชายคนนั้นเสียสติไปเพราะความรัก

อย่างไรก็ตาม เวอร์ชันที่สามกลับเป็นข่าวที่ถูกเผยแพร่มากที่สุด

มันเป็นการผสมผสานระหว่างเวอร์ชันแรกและเวอร์ชันที่สอง กล่าวคือยอดฝีมือคนหนึ่งที่ตกหลุมรักหญิงสาวชื่อชุ่ยฮัว

ในขณะที่เขาฝึกฝนอย่างสันโดษอยู่บนภูเขา เขากลับทราบข่าวว่าหญิงสาวคนนั้นแต่งงานไปกับคนอื่นจึงทำให้เขาเกิดธาตุไฟเข้าแทรกและวิ่งลงมาจากเขาอย่างที่ทุกคนเห็น

ไม่ว่าในกรณีใดการแสดงของฟางเป่ยโต้วเมื่อวานนี้ก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนในเมืองหลวงเป็นอย่างมาก

สิ่งเดียวที่ทำให้เอี้ยนลี่เฉียงโล่งใจคือฟางเป่ยโต้วไม่ถูกจับตัวได้แม้จะวิ่งไปรอบๆเมืองหลวงในสภาพเปลือยเปล่า

ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครรู้ว่าชายที่เสียสติคนนั้นคือฟางเป่ยโต้วต่อให้ผู้คนแทบทั้งเมืองจะเคยพบเขามาแล้วก็ตาม

อย่างไรก็ตามเอี้ยนลี่เฉียงก็รู้สึกหงุดหงิดจากเหตุการณ์ครั้งนี้มาก เนื่องจากฟางเป่ยโต้วกล้าทำตามคำสั่งของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะบอกปัดคำพูดของฟางเป่ยโต้ว

ในขั้นต้น เหตุผลที่เอี้ยนลี่เฉียงพูดสิ่งเหล่านั้นกับฟางเป่ยโต้วก็เพราะเขารู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเกิดขึ้น ดังนั้นนี่จึงเป็นการปฏิเสธของเขาแบบอ้อมๆ

อย่างไรก็ตามเอี้ยนลี่เฉียงไม่เคยคิดว่าฟางเป่ยโต้วจะกล้าเปลือยกายวิ่งไปรอบๆเมืองหลวงจริงๆ

จนกระทั่งถึงเวลานี้เองที่เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกว่าเขากลายเป็นคนโง่ที่ขุดหลุมดักคนอื่นแต่กลับเป็นตัวเองที่กระโดดลงไป

สามวันต่อมาเอี้ยนลี่เฉียงใช้ประโยชน์จากเวลาพักกลางวันของเขากลับมาที่ภูเขามังกรขาวอีกครั้ง

แสงแดดในวันนี้เต็มไปด้วยความสดใส นกร้องเจี๊ยกๆทั่วภูเขา ในขณะที่อากาศก็สดชื่นคล้ายคลึงกับแชงกีล่าที่อยู่ในทิเบต

เส้นทางนี้เป็นเส้นทางเดียวกับที่เขาเคยเดินขึ้นมาเมื่อสามวันก่อน ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับเส้นทางนี้เป็นอย่างดี

เอี้ยนลี่เฉียงเดินต่อไปและมาถึงวัดมังกรขาวที่ทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว

ประตูสู่วัดมังกรขาวถูกปิดอย่างแน่นหนา เอี้ยนลี่เฉียงเดินเข้ามาใกล้ประตูและเคาะประตูเบาๆสองสามครั้ง

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันละเอียดอ่อนดังมาจากวิหารกลาง ตามด้วยดวงตาคู่หนึ่งที่มองผ่านรอยแตกที่ประตู

เมื่ออีกฝ่ายรู้ว่าเป็นเอี้ยนลี่เฉียงมาที่นี่เขาก็รีบเปิดประตูอย่างรวดเร็ว

คนที่ปรากฏตัวต่อหน้าเอี้ยนลี่เฉียงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฟางเป่ยโต้ว อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับฟางเป่ยโต้วเมื่อหลายวันก่อนฟางเป่ยโต้ววันนี้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

เสื้อผ้าที่ฟางเป่ยโต้วสวมอยู่ไม่ใช่เสื้อคลุมเต๋า แต่เป็นชุดยาวปกติ ทรงผมมวยเต๋าบนศีรษะของเขายังถูกคลี่คลาย ซึ่งกลายเป็นทรงผมปกติ แม้แต่เครายาวของเขาก็ถูกเล็มออก

เอี้ยนลี่เฉียงอยากจะหัวเราะหลังจากมองดูการเปลี่ยนแปลงของฟางเป่ยโต้วอย่างไรก็ตาม เขาบังคับตัวเองให้กลั้นหัวเราะและพูดคำแรกด้วยน้ำเสียงไม่แยแส

“การเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเจ้าแทบจะทำให้ข้าจำไม่ได้”

“นายท่านคำสั่งของท่านข้าได้ทำเสร็จสิ้นแล้ว ยังมีคำสั่งอื่นอีกหรือไม่” ฟางเป่ยโต้วมองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงด้วยสายตาแหลมคมและเต็มไปด้วยความฉุนเฉียว

“ก็… ไปคุยกันข้างในเถอะ!”

เอี้ยนลี่เฉียงเข้าไปในวิหารเต๋า ขณะที่ฟางเป่ยโต้วล็อกประตูแล้วรีบตามเขาไป

ภายใต้ต้นสนต้นเดียวกันและโต๊ะเดียวกัน เอี้ยนลี่เฉียงนั่งลงและตั๋วแลกเงินกองหนึ่งออกมากระแทกโต๊ะเสียงดัง

ตั๋วเงินมาจากสำนักการเงินต้าถง ธนบัตรแต่ละใบมีมูลค่าหมื่นตำลึงและมีอยู่ 10 ฉบับ พวกมันเป็นของที่เอี้ยนลี่เฉียงปล้นมาจากชาตูซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 490,000 ตำลึง

ดังนั้นตัวแรกเงินพวกนี้จึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

ตั๋วแลกเงิน 100000 ตำลึงเป็นจำนวนเงินมหาศาลที่อาจทำให้คนบ้าคลั่งได้ แม้แต่ในสถานที่อย่างเมืองหลวงก็เพียงพอที่จะซื้อบ้านหลังใหญ่และใช้ชีวิตเยี่ยงมหาเศรษฐีไปตลอดชีวิต

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด