ตอนที่ 21 เธอถามมากไป
ตอนที่ 21 เธอถามมากไป
อวี่หนานเฉิงได้ยินคนตะโกนและเหลือบมองโดยไม่รู้ตัว พอเขาเห็นโลลิน้อยกำลังโบกมือให้เขา เขาก็ผงะและรู้สึกคุ้น ๆ
ขณะกำลังมึน อวี่จิงซีก็ได้สลัดมือเขาและวิ่งออกไป
เขาจำต้องตามไป
เซิ่งอั้นหรานกำลังปิดหน้า และพลันรู้สึกว่าน่องขาเธอหนักขึ้น พอเธอลดหัว เธอก็เห็นดวงตาดำคู่โต เด็กชายตัวน้อยกำลังเกาะขาเธอข้างหนึ่ง
“คุณลุง! เราเจอกันอีกแล้ว!”
โลลิน้อยยืนข้างโต๊ะ กะพริบตามองอวี่หนานเฉิงด้วยดวงตาดำคู่โต
อวี่หนานเฉิงนึกย้อน จากนั้นภาพของเด็กสาวตัวน้อยที่วิ่งมาหาเขาที่สนามบินกับเด็กสาวตรงหน้าเขาก็ซ้อนทับกัน สีหน้าของเขาอ่อนลงเล็กน้อย
“ทั้งสองคนไปเจอกันได้ไง?” เซิ่งอั้นหรานยังสับสน
“แม่! คุณลุงคนนี้แหละที่ให้ช็อกโกแลตหนูที่สนามบินวันนั้น!”
เซิ่งเสี่ยวซิงหันไปอธิบายให้เซิ่งอั้นหรานฟัง ดวงตาของเธอเป็นประกาย“บังเอิญจังเลย ดันมาเจอคุณลุงที่นี่ด้วย แม่ แม่รู้จักคุณลุงด้วยงั้นเหรอ?”
หลังได้ยิน ใบหน้าของเซิ่งอั้นหรานก็เปลี่ยนไป“นี่คือ..เจ้านายของแม่”
อวี่หนานเฉิงยืนตรงโต๊ะ วางท่าเล็กน้อย“นี่คือลูกสาวของเธองั้นเหรอ?”
“ค่ะ”
หลังได้ยินคำตอบ อวี่หนานเฉิงก็รู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย เธอแต่งงานและมีลูกแล้ว? ตอนนี้เขารีบเปลี่ยนเรื่องและถาม
“มือเป็นไงบ้าง?”
สิ่งที่กลัวมาถึงแล้ว เซิ่งอั้นหรานปวดหัว จากนั้นก็ลอบดึงอวี่จิงซีมาเป็นโล่ขณะพูด
“อืม มันก็ยังไม่ค่อยดีนัก มันยังเจ็บ ๆ”
“งั้นก็พักต่อเถอะ ไม่ต้องกังวลเรื่องการกลับมาทำงาน”
คำพูดของอวี่หนานเฉิงทำให้เซิ่งอั้นหรานตกตะลึง
เขากลายเป็นคนช่างพูดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
“แม่หนูหายดีแล้ว! แม่สามารถกลับไปทำงานได้ตั้งแต่พรุ่งนี้เลย!”
เซิ่งเสี่ยวซิงพูดแทรกขึ้นมา
“เสี่ยวซิง!” เซิ่งอั้นหรานจ้องเธอ เธอไม่เคยหน้าตายับเยินแบบนี้มาก่อน
อวี่หนานเฉิงดูเหมือนจะไม่ใส่ใจ มองมันเป็นแค่คำพูดตลกของเด็ก เขาเปลี่ยนเรื่อง
“ขอบคุณที่ช่วยจิงซีไว้ ฉันไม่มีเวลาไปเจอเธอในโรงพยาบาล พอฉันมีเวลา ฉันก็ได้ยินว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันยังอยากพาจิงซีไปขอบคุณเธออยู่พอดี”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เซิ่งอั้นหรานรีบส่ายหัว“ยังไงซะคุณก็ให้วันหยุดฉันแล้ว ฉันขอบคุณมาก และมันก็เป็นหน้าที่ของฉันในฐานะพนักงานบริษัทที่จะดูแลความปลอดภัยของแขก”
“วันหยุดเป็นอีกเรื่อง” จากหางตาของอวี่หนานเฉิง เขาเหลือบเห็นเซิ่งเสี่ยวซิงด้านข้าง สีหน้าของเขาขุ่นลงเล็กน้อย“แต่อย่าลืมเรื่องการเดิมพัน สามเดือน ฉันไม่เลื่อนให้หรอกนะ”
หลังได้ยิน ใบหน้าของเซิ่งอั้นหรานก็เปลี่ยนสี
หมายความว่าไงว่าจะไม่เลื่อนให้? งั้นเวลาที่เธอใช้ไปตอนนี้ก็เท่ากับเวลาที่เธอเสียไปสิ? ตอนนี้คะแนนสามแต้มที่เธอมอบให้อวี่หนานเฉิงหายไปจนหมดแล้ว
ชายคนนี้เก่งจริง ๆ ในเรื่องการเพิ่มอุปสรรคให้
โดยไม่รอให้เซิ่งอั้นหรานได้สติ อวี่หนานเฉิงโบกมือเรียกอวี่จิงซี
“จิงซี ไปกัน อย่าไปรบกวนคนอื่น”
ราวกับเจอศัตรู อวี่จิงซีกอดแขนของเซิ่งอั้นหรานแน่น
“จิงซี!” อวี่หนานเฉิงขมวดคิ้ว
พอเห็นใบหน้าดื้อรั้นของเจ้าตัวน้อย และใบหน้าของอวี่หนานเฉิงที่ยืนอยู่ตรงข้าม เซิ่งอั้นหรานก็รีบห้ามปราม
“ถ้าคุณไม่ว่าอะไรก็นั่งด้วยกันสิ โต๊ะนี้มีตั้งสี่ที่”
ร้านคนไม่เยอะ พนักงานจึงจัดโต๊ะใหญ่ให้เธอได้
พอเห็นว่าอวี่จิงซีไม่ยอมจริง อวี่หนานเฉิงจึงนั่งลง แต่ใบหน้าหดหู่นั่นก็ทำให้เซิ่งอั้นหรานรู้สึกว่ามันตลกมาก
อวี่หนานเฉิง ประธานแห่งกลุ่มเซิ่งถังเองก็มีจุดอ่อน
เซิ่งเสี่ยวซิงไม่อยากให้อวี่หนานเฉิงไป เธอจึงลุกออกจากเก้าอี้อย่างกระตือรือร้น“ลุงอวี่นั่งลงก่อนสิ หนูจะไปเอาผลไม้ให้”
พอกำลังจะไป เธอก็เหลือบมองอวี่จิงซีอีกครั้งและพูดชวน
“พี่ชายอยากไปด้วยกันไหม?”
พอเห็นหน้าตาเริงร่าของเซิ่งเสี่ยวซิง อวี่จิงซีก็ลังเลสักพัก จากนั้นก็ปล่อยมือที่จับเซิ่งอั้นหราน และวิ่งตามไป เขาอยากเป็นเพื่อนกับลูกสาวของป้าเซิ่ง
อวี่หนานเฉิงแปลกใจ
จิงซีเต็มใจไปกับเด็กสาวคนนี้
ลูกชายแสนล้ำค่าของเขาเป็นนอารมณ์ร้อน เขาไม่มีเพื่อนวัยเดียวกันเลย เขายังพยายามหาลูกของเพื่อนเขาในแวดวงเดียวกัน แต่จิงซีก็ไม่อยากคุยกับใครเลย นี่ทำให้เขาเจ็บปวดใจมาตลอด
“ลูกสาวของเธอร่าเริงมาก”
“เสี่ยวซิงซิงนะเหรอ?” เซิ่งอั้นหรานยิ้ม“เธอฉลาดเป็นกรด บางครั้งฉันก็ไม่รู้ว่าหัวน้อย ๆ ของเธอเก็บซ่อนแผนการไว้มากแค่ไหน ดีจังที่เธอเข้ากับเพื่อนวัยเดียวกันได้ ทั้งสองคนควรเข้ากันได้ดี คุณไม่ต้องกังวลหรอกประธานอวี่”
อวี่หนานเฉิงอยากอธิบายว่าเขาไม่ได้กังวลเรื่องนี้ แต่ก็ขี้เกียจพูด
“เธอไม่ต้องสุภาพขนาดนี้ก็ได้ จิงซีชอบเธอมาก ถ้าเธอเรียกเขาว่านายน้อย เขาคงอาละวาด”
พอพูด เขาก็ก้มหัว สั่งอาหารเพิ่มและส่งเมนูให้พนักงาน
เด็กสองคนกลับมาพร้อมผลไม้ พอเห็นว่าอาหารยังไม่มา ทั้งคู่ก็วิ่งไปพื้นที่เด็กเพื่อเล่น พื้นที่ที่ทั้งสองเล่นยังมองเห็นได้ ดังนั้นเขาจึงโล่งใจ
บรรยากาศผ่อนคลายอย่างหาได้ยาก หลังคุยกันเล็กน้อย เซิ่งอั้นหรานก็รู้สึกว่าอวี่หนานเฉิงไม่ได้วางท่าเหมือนในบริษัท เขาพูดคุยอย่างปกติ พอคิดถึงอารมณ์ร้อนของจิงซีก่อนหน้านี้ เธอจึงถาม
“คือ ที่จิงซีพูดไม่ได้นั้นเป็นแต่กำเนิดเหรอคะ? แม่ของเขาสุขภาพไม่ดี?”
พอได้ยิน สีหน้าราบเรียบของอวี่หนานเฉิงก็พลันหายไป ดวงตาของเขาเลื่อนจากพื้นที่เด็กมายังเซิ่งอั้นหราน แผ่ความเย็นชาออกมา
“ขอโทษค่ะ” เซิ่งอั้นหรานตื่นตระหนก และพลันตระหนักว่าเธอล้ำเส้น เธอจึงรีบอธิบาย“ฉันแค่ถามเฉย ๆ ค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
อวี่หนานเฉิงมองเธออย่างไม่แยแส
“เธอถามมากไป เธอควรระวังคำพูดมากกว่านี้”
พอได้ยิน เซิ่งอั้นหรานก็กำมือใต้โต๊ะอย่างประหม่า เธอรู้สึกกระดากปากตัวเองมากที่จู่ ๆ ก็ไปถามเรื่องความพิการของลูกคนอื่น ไม่ต้องพูดถึงกับคนเย็นชาอย่างอวี่หนานเฉิง
บรรยากาศเย็นลงไปชั่วขณะ
อวี่หนานเฉิงละสายตาจากพื้นที่เด็กไปเล็กน้อยเพราะคำพูดเหล่านี้
การที่จิงซีพูดไม่ได้นั้นไม่ใช่โรคแต่กำเนิด เขาสามารถพูดได้หลายประโยคตั้งแต่อายุสองขวบ เขาฉลาดกว่าเด็กหลายคนในวัยเดียวกัน ถ้ามันไม่ใช่เพราะความประมาทเลินเล่อของเขาตอนนั้น ซึ่งทำให้ลูกของเขาเป็นไข้สูงและเกือบตาย มันคงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้
เขาไม่รู้ว่าเขาเรียกหมอมาดูลูกเขากี่คนแล้ว แต่ทุกคนได้ข้อสรุปเป็นเสียงเดียวกันว่า เส้นเสียงของเขาไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน แต่เป็นเขาเองที่ไม่อยากพูด