330 - การทำลายล้าง
330 - การทำลายล้าง
ในฐานะประตูด้านใต้ของเมืองหลวงของจักรวรรดิฮั่นอยู่ห่างจากเมืองจินหลิงเพียงไม่กี่ร้อยลี้
เมืองหลวงของจักรวรรดินั้นโดยพื้นฐานแล้วเป็นพื้นที่ราบที่มีประชากรสูงซึ่งเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นถนนของเส้นทางที่ทอดยาวสู่เมืองหลวงนั้นจึงไม่ขรุขระเป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง
เอี้ยนลี่เฉียงและหวังฮุ่ยขี่ม้าแรดในความมืด ควบม้าไปทางเหนืออย่างรวดเร็ว เสียงกีบเหล็กดังก้องกังวานไปทั่วคืนที่เงียบสงัด
พวกเขาเดินผ่านสะพานที่พังทลายและถนนที่ถูกตัดขาด หมู่บ้าน เมือง และชุมชนต่างๆทั้งสองข้างของถนนถูกทำลายจนกลายเป็นซากปรักหักพัง
ภายใต้ใต้แสงจันทร์บางครั้งพวกเขาจะเห็นหลุมอุกกาบาตตั้งแต่หลายสิบถึงหลายร้อยวาในเขตชานเมือง พื้นรอบหลุมอุกกาบาตเหล่านั้นแห้งแล้งและมืดสนิท
ท่ามกลางซากปรักหักพังของหมู่บ้าน เสียงร้องที่บีบคั้นหัวใจและเจ็บปวดของผู้ที่โชคดีพอที่จะรอดชีวิตได้ล่องลอยไปกับสายลมยามค่ำคืน
พวกเขาสามารถมองเห็นเลือกสวนไร่นาที่ถูกเผาผลาญในเขตชานเมือง ควันคลุ้งหนาทึบ แต่ไม่มีใครสนใจ ทั้งสองสบตากันและเร่งม้าให้ออกจากพื้นที่นี้ให้เร็วที่สุด.
ยิ่งพวกเขาเดินทางไปทางเหนือมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งร้างเปล่ามากขึ้นเท่านั้น ดินแดนแห่งนี้ถูกทำลายยิ่งกว่าเมืองจินหลิงเสียอีก และพวกเขาก็จะพบกับผู้รอดชีวิตน้อยลง
การพบเห็นหลุมอุกกาบาตขนาดมหึมาก็เกิดขึ้นบ่อยขึ้น ทั้งเอี้ยนลี่เฉียงและหวังฮุ่ยรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังขี่เข้าไปในพื้นที่ที่ไม่มีคนอาศัยอยู่
ในบางครั้งถนนและสะพานถูกทำลายไปแล้วดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องพาม้าลอยข้ามน้ำไปยังจุดหมาย
อารมณ์และการแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาเริ่มหนักขึ้นในสถานะปัจจุบันของหัวใจที่เจริญรุ่งเรืองอย่างที่สุดครั้งหนึ่งของอาณาจักฮั่นกลับเปลี่ยนเป็นสภาพเช่นนี้
พูดตามตรงเอี้ยนลี่เฉียงมีลางสังหรณ์ในใจอยู่แล้วเมื่อเขาเห็นอุกกาบาตที่ใหญ่ที่สุดตกลงไปที่เมืองหลวงของจักรวรรดิและเหตุการณ์ต่อเนื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้
แม้ว่าเอี้ยนลี่เฉียงจะไม่มีความรู้ด้านฟิสิกส์ควอนตัมในชีวิตก่อนหน้านี้ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้เรื่องการระเบิดของนิวเคลียร์ แม้ว่าเขาจะไม่เคยไปที่รัสเซียมาก่อน
แต่เขาเคยได้ยินทฤษฎีบางอย่างในอินเทอร์เน็ต ไม่เพียงเท่านั้น เขายังได้เห็นภัยพิบัติที่อุกกาบาตอาจนำมาสู่โลกในภาพยนตร์อีกด้วย
ต้องขอบคุณความรู้และการอ่านที่เขาสะสมมาในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ เขาจึงสามารถระบุความสำคัญของภัยพิบัตินี้ได้ทันที
เนื่องจากเขาอยู่ที่ชายแดนของเมืองจินหลิง เขาจะรู้สึกไม่พอใจจนกว่าเขาจะตรวจสอบผลที่ตามมาด้วยตาของเขาเอง ในตอนนี้เขาต้องการให้เกิดปาฏิหาริย์ในเมืองหลวงอยู่บ้าง
หากว่าอาณาจักรฮั่นล่มสลาย ไม่ทราบว่าจะมีผู้คนมากมายเท่าใดที่ได้รับความเดือดร้อนจากศัตรูภายในและภายนอก
หลังจากเดินทางเกือบทั้งคืน พวกเขาพบว่าถนนข้างหน้าถูกปิดอีกครั้งก่อนรุ่งสาง ในครั้งนี้ภูเขาถล่มลงมาปิดเส้นทางมันเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะไปต่อได้…
“พวกเราใช้อีกเส้นทางหนึ่งมันอยู่ห่างจากเส้นทางนี้เพียงเจ็ดถึงสิบลี้…” หวังฮุ่ยกลืนน้ำลายขณะที่เขามองทิวทัศน์ต่อหน้าต่อตาขณะขี่ม้า
“เราไปดูที่นั่นกันเถอะ…”
“ตกลง…”
หวังฮุ่ยหันม้าไปรอบๆแล้วควบม้าไปทางทิศใต้อย่างรวดเร็วตามตีนเขา ในเวลาเพียงไม่นาน พวกเขาสามารถครอบคลุมระยะทางประมาณสิบลี้
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขามาถึงสถานที่ที่หวังฮุ่ยกล่าวถึง พวกเขาก็ตระหนักว่าเมืองนี้หายไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงถนนก็หายไปเช่นกัน ดินถล่มได้ฝังทุกสิ่งทุกอย่าง เหลือเพียงคนคนหนึ่งที่เดินไปตามเส้นทางราวกับว่าวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง
เอี้ยนลี่เฉียงลงจากหลังม้าเพื่อไปสนทนากับชายคนนั้น
เขาเป็นชายในวัยสี่สิบ สวมชุดเครื่องแบบผู้บังคับใช้กฎหมายขาดๆหายๆโดยไม่มีหมวก เขามองดูซากปรักหักพังอย่างว่างเปล่าขณะที่เดินไปรอบๆที่นั่น
“ขอโทษที่รบกวนนะพี่ใหญ่ แต่พวกเราต้องการไปเมืองหลวงท่านพอจะทราบเส้นทางหรือไม่?” เอี้ยนลี่เฉียงถาม
ในที่สุดชายคนนั้นก็หันศีรษะช้าๆไปตามเสียงของเอี้ยนลี่เฉียงเขาจ้องไปที่เอี้ยนลี่เฉียงอย่างไร้ชีวิตชีวาขณะที่รอยยิ้มเยาะเย้ยผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา
“ไป… ไป… ไปหมดแล้ว… ฮั่วน้อยหายไป… หนิงน้อยก็หายไปด้วย… เมืองก็หายไป… ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปแล้ว…” บุคคลนั้นหันศีรษะอีกครั้งแล้วจึงเดินต่อไปรอบๆซากปรักหักพัง
“ลี่เฉียง เกรงว่าคนๆนี้จะเสียสติไปแล้ว…”
เอี้ยนลี่เฉียงเหลือบมองไปที่บุคคลและถอนหายใจ
“พี่หวัง มีวิธีอื่นไหม”
“ข้ารู้เพียงเส้นทางนี้เท่านั้น พวกเราคงต้องตามหาไปเรื่อยๆ…”
เอี้ยนลี่เฉียงเงยหน้าขึ้นมองภูเขาที่ขวางทางพวกเขา
“เราทิ้งม้าของเราไว้ที่นี่แทน แล้วข้ามภูเขาไปดู…” เขาพูดเพียงสั้นๆ
"น่าจะได้!" หวังฮุ่ยมองไปรอบๆแล้วกล่าวเสริมว่า
“แต่ไม่ใช่ที่นี่ มันจะสะดุดตาเกินไป ถ้าใครผ่านไปมาพวกเขาจะแย่งชิงเอาม้าของเรา พวกเราต้องหาที่ที่ลับตาคนกว่านี้!”
“ความเห็นของท่านถูกต้องแล้วพี่หวัง!”
“ยกย่องเกินไปน้องชาย นี่เป็นเพียงประสบการณ์เล็กๆน้อยๆของเขาเท่านั้น…”
ทั้งสองขี่ม้าไปอีกสองสามลี้จนเห็นลำธารเล็กๆ ม้าแรดของพวกเขาถูกมัดไว้ใกล้ๆลำธารซึ่งค่อนข้างห่างไกลจากผู้คน
จากนั้นพวกเขาก็ปลดกระสอบอาหารจากม้าแรดและใส่เข้าไปในปากเพื่อที่พวกเขาจะได้มีพละกำลังในการเดินทาง หลังจากทำทุกอย่างแล้ว ทั้งสองก็เริ่มไต่ภูเขาจากก้นลำธาร
ทั้งคู่มีร่างกายที่แข็งแรงมาก พวกเขาใช้เวลาน้อยกว่าสองชั่วยามในการไปถึงยอดเขาในที่สุด
เมื่อไปถึงยอดเขา ดวงอาทิตย์เพิ่งจะขึ้นจากขอบฟ้าด้านตะวันออก แสงแรกแห่งรุ่งอรุณส่องมาที่แผ่นดิน เมื่อยืนอยู่บนยอดเขา ทั้งสองเห็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ…
แม้ว่าเมืองหลวงของจักรวรรดิจะอยู่ห่างออกไปประมาณเจ็ดสิบหรือแปดสิบลี้ แต่ก็ยังสามารถเห็นทิวทัศน์ทางเหนือของภูเขาได้อย่างชัดเจน
ผืนดินก็รกร้างว่างเปล่า…
เมืองหลวงของจักรวรรดิได้หายไป...
เมืองได้หายไปหมดสิ้น
ผู้คนหายสาบสูญ…
หมู่บ้านต่างๆก็ไม่หลงเหลือ
แม้แต่แม่น้ำก็ยังถูกทำลายไปแล้ว
ต่อให้เป็นเทพเจ้าที่อยู่บนฟ้าเมื่อเจอกับสถานการณ์นี้ก็ไม่อาจรอดชีวิต นับประสาอะไรกับมนุษย์