228 - วางแผน
238 - วางแผน
หลังจากเคลียร์สนามรบแล้ว ทุกคนก็กลับไปที่ตำแหน่งเดิมและหยิบกระสอบข้าวเปลือกที่พวกเขาทิ้งไว้ที่ริมถนนอีกครั้งก่อนจะเดินทางกลับคลัง
พวกเขาเพิ่งประสบกับการต่อสู้และทุกคนไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังได้รับผลประโยชน์มากมายมหาศาลรวมไปถึงสิ้นสงครามอีกด้วย
มิหนำซ้ำพวกเขายังได้ช่วยผู้หญิงคนหนึ่งในกระบวนการนี้ เมื่อพวกเขากลับไปที่โกดังและขนของออกมาพวกเขาเตรียมตัวจะเดินทางออกจากเมืองจินหลิง
ผู้หญิงที่ชื่อหยูชิงติดตามทุกคนอย่างเงียบ ๆ
สำหรับพวกอันธพาลที่ตายไปนั้น ไม่มีใครสนใจพวกเขาแม้ว่าพวกเขาจะเน่าเปื่อยท่ามกลางซากปรักหักพังในเวลาเช่นนี้ก็ตาม
……
เมื่อพวกเขากลับไปที่คลัง อีกกลุ่มก็กลับมาเช่นกัน
ก่อนหน้านี้กลุ่มของพวกเขาถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกติดตามเอี้ยนลี่เฉียงเข้าไปในเมืองเพื่อสำรวจสถานการณ์ อีกกลุ่มค้นหารอบๆ ริมฝั่งแม่น้ำฉินฮุ่ยเพื่อค้นหาพรรคพวกที่เหลือรอดชีวิต
เมื่อเทียบกับกลุ่มของเอี้ยนลี่เฉียงที่กลับมาจากการเดินทางที่คุ้มค่า กลุ่มที่ออกตามหาเพื่อนที่หายไปคนอื่นๆ พวกเขากลับมาพร้อมกับศพที่ถูกลากจูงและสหายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงไม่กี่คน
ศพเปียกแฉะและร่างกายที่ดูเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฉินหู ทีมค้นหานำศพของเขาออกมาจากกลางแม่น้ำ
มีทหารคุ้มกันอีกเจ็ดหรือแปดคนที่โชคดีที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติเมื่อคืนนี้ แม้ว่าพวกเขาจะบาดเจ็บสาหัสก็ตาม
จำนวนคนสุดท้ายของผู้ที่รอดชีวิตในขบวนนี้มีเพียงสี่สิบหกคนเท่านั้น รวมถึงหยูชิงที่พวกเขาได้ช่วยชีวิตไว้ก่อนหน้านี้...
เมื่อเล่าถึงเหตุการณ์ของเมื่อคืนนี้กลุ่มคนที่รอดชีวิตต่างก็ร้องไห้ออกมาไม่หยุด
ศพของเฉินหูถูกฝังอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าใกล้กับคลังสินค้า พวกเขาขุดหลุมในดิน ห่อศพของเขาด้วยเสื่อฟางสองสามผืน
ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ขุดหลุมอีกหลุมหนึ่งซึ่งไม่มีศพของผู้เสียชีวิตก็เพื่อระลึกถึงผู้ที่จากไปคนอื่น
……
คนตายไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้ แต่คนเป็นจะต้องเข้มแข็งและก้าวต่อไป
ในตอนเย็น กองไฟขนาดใหญ่ถูกจุดขึ้น ในขณะที่หน่วยคุ้มกันของผู้พิทักษ์ซีไห่ตั้งใจจะพักอยู่ที่นี่อีกคืนหนึ่งเพื่อให้กลุ่มต่างๆขนย้ายสินค้าของตัวเองออกไปทั้งหมดแล้วพวกเขาจึงค่อยจากไป
หม้อใบใหญ่ถูกวางบนกองไฟขนาดใหญ่ กระสอบข้าวที่เอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆพบในเมืองจินหลิง ถูกเทลงไปในหม้อพร้อมกับเกลือ
บางทีบางคนในหน่วยคุ้มกันยังคงสงสัยในการตัดสินใจของเอี้ยนลี่เฉียงในตอนกลางวัน แต่ตอนนี้ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของเอี้ยนลี่เฉียงอย่างไม่ต้องสงสัย
เอี้ยนลี่เฉียงเบียดเสียดรอบกองไฟเล็กๆกับหวังฮุ่ยและคณะที่เหลือ เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการในอนาคตของพวกเขา
“ข้าเชื่อว่าทุกคนตระหนักถึงสถานการณ์ปัจจุบัน พวกเราต้องปรึกษากันเพื่อกำหนดทิศทางของแผนการที่จะดำเนินต่อไป…”
เอี้ยนลี่เฉียงเป็นคนแรกที่พูดขึ้น…
แสงจากไฟสะท้อนบนใบหน้าของหวังฮุ่ยและคนของเขา คนเหล่านี้อยู่บนเส้นทางนี้มานานมากจนใบหน้าของพวกเขาหยาบกร้าน
ตอนนี้ ภายใต้แสงสีส้มของไฟ ใบหน้าของพวกเขาดูเหมือนทำจากทองแดง และดูแข็งแกร่งกว่าที่เคย
โครงสร้างของหน่วยคุ้มกันนั้นเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพสูง พูดง่ายๆก็คือ มันเป็นไปตามระบบราชการ หัวหน้าหน่วยงานคือหัวหน้า รองลงมาก็คือหัวหน้าคุ้มกัน ต่ำกว่านั้นจะเป็นผู้คุ้มกันธรรมดา
ตอนนี้หัวหน้าหน่วยคุ้มกันเฟิงหายไปแล้ว มีเพียงสามหัวหน้าคุ้มกันที่รอดชีวิตรวมถึงหวังฮุ่ย อีกสองคนคุ้มกันคือหวังเซิ่ง และชายอีกคนหนึ่งที่มีหนวดเคราชื่อกงเต๋อฉวน ที่เพิ่งกลับมาในตอนเที่ยงวันนี้
เขาไม่ค่อยสบายใจกับสถานะที่สูงขึ้นอย่างกะทันหันของเอี้ยนลี่เฉียงในหน่วยงานคุ้มกัน อย่างไรก็ตามในไม่ช้าเขาก็เคารพในการตัดสินใจของเอี้ยนลี่เฉียงเมื่อเห็นสิ่งที่เอี้ยนลี่เฉียงทำ
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงและหัวหน้าคุ้มกันทั้งสามคนยังคงเงียบ ในที่สุด หวังฮุ่ยก็ทำลายความเงียบ
“ในเมื่อไม่มีใครต้องการจะพูด ให้ข้าเสนอความคิดเห็นของข้า ข้าคิดว่าเราไม่สามารถทำภารกิจได้สำเร็จในครั้งนี้ ขณะนี้เรามีคนเพียงสี่สิบคนเท่านั้น และไม่มีทางที่เราจะส่งมอบสินค้าที่ต้องใช้กำลังคนหลายร้อยคนได้
แม้ว่าเราจะรอความช่วยเหลือจากสำนัก แต่เราคงต้องรอมากกว่าครึ่งปีด้วยซ้ำ และในระหว่างนี้จะไม่มีใครสามารถรับรองความปลอดภัยของเราได้
วันนี้เราไปเมืองจินหลิง และน้องลี่เฉียงพูดถูก เมืองจินหลิงตอนนี้กลายเป็นสถานที่ไร้กฎระเบียบ โจรและโจรก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
และตอนนี้อากาศร้อนแล้วเมืองจินหลิงจะเต็มไปด้วยโรคระบาดหรือความโกลาหลอย่างรวดเร็ว”
“และไม่ใช่แค่ในเมืองจินหลิงเท่านั้น เราทุกคนเห็นภัยพิบัติเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ มันเป็นเรื่องใหญ่มาก บางทีอาจยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
แม้แต่ในเมืองจินหลิงเอง ผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตจนคนทั้งเมืองหายไป และเราไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในที่อื่น ข้าคิดว่าแม้แต่เมืองหลวงก็อยากจะประคองสถานการณ์ไว้ได้…”
หวังเซิ่งกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“แม้ว่าเราไม่ต้องการจะอยู่ที่นี่แต่หากคิดจะส่งสินค้าออกไปพวกเราก็ไม่รู้ว่าสะพานที่อยู่ข้างหน้าจะใช้การได้หรือไม่…”
“วันนี้ข้าผ่านสะพานจินหลานมา มันพังไปแล้ว หากเราต้องการส่งสินค้าไปเราต้องผ่านเส้นทางอื่น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าเส้นทางอื่นจะใช้การได้หรือไม่…” กงเต๋อฉวนถอนหายใจและพูดด้วยความผิดหวัง
“ดูเหมือนว่าสวรรค์ไม่ต้องการให้เราทำงานให้เสร็จในครั้งนี้ แม้ว่าหัวหน้าจะอยู่ที่นี่ แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำงานให้เสร็จได้ งานนี้ถึงวาระที่จะล้มเหลว…”
“ไม่เพียงแต่เราไม่สามารถส่งสินค้าไปยังกองทัพวายุได้ เราไม่อาจขนสินค้าไปได้ด้วยซ้ำ สินค้าพวกนี้เป็นเผือกร้อนหากพวกเรานำพามันไปด้วยพวกเราจะต้องตายอย่างแน่นอน…” หวังเซิ่งกล่าวเสริม
ทุกคนต่างมองหน้ากันแล้วหันไปทางเอี้ยนลี่เฉียง
“น้องชาย พวกเราทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นคนไร้การศึกษา หากเจ้ามีหนทางก็ช่วยชี้ให้พวกเราเห็นด้วย”
เอี้ยนลี่เฉียงรู้อยู่แก่ใจว่างานที่พวกเขาทำไม่มีทางประสบผลสำเร็จ นี่เป็นยุคที่การคมนาคมขนส่งยังคงขึ้นอยู่กับกำลังคนและม้าเป็นส่วนใหญ่
ภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ใหญ่ใดๆที่สูญเสียกำลังคนเป็นจำนวนมากจะไม่มีทางประสบผลสำเร็จได้เลย
อย่างไรก็ตามเขาก็ต้องรอให้หัวหน้าผู้คุ้มกันทั้งสามปรึกษากันก่อน ไม่เช่นนั้นหากเขาเสนอความคิดอะไรออกไปแล้วเกิดความผิดพลาดเขาจะกลายเป็นแพะรับบาปทันที
“เมื่อพี่ใหญ่ทั้งสามเห็นพ้องต้องกันว่างานนี้ไม่สามารถทำได้สำเร็จข้าก็เห็นด้วยกับพวกท่าน!” เอี้ยนลี่เฉียงมองดูทั้งสามและกล่าวเสริมว่า
“สิ่งสำคัญตอนนี้คือเราต้องหารือกันสามเรื่อง”
“น้องลี่เฉียง ได้โปรดบอกเรา สามเรื่องนี้คืออะไร?” กงเต๋อฉวนถาม
“ประการแรก เนื่องจากงานนี้ไม่สามารถทำให้เสร็จได้ เราจึงต้องหาวิธีลดการสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุด เราต้องเข้าใจว่ายอดเขาเทียนเฉียวใช้ความพยายามอย่างมากในการผลิตอาวุธเหล่านี้
มีอาวุธดังกล่าวอยู่สองหมื่นชิ้น ก็เพียงพอแล้วสำหรับทหารทั้งกองทัพ อาวุธเหล่านี้ต้องไม่ตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่ประสงค์ดี ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถส่งพวกมันไปยังกองทัพวายุได้ก็ตาม!”
"ถูกต้อง! เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้เมื่อเราต่อสู้กับโจรเหล่านั้นในเมืองจินหลิง อาวุธเหล่านี้จะต้องไม่ตกไปอยู่ในมือของพวกเขา มิฉะนั้น มันจะเป็นความโชคร้ายของเรา!”
หวังฮุ่ยพยักหน้าขณะที่หวังเซิ่งและกงเต๋อฉวนก็ไม่โต้แย้ง
“เรื่องที่สองคืออะไร?” หวังเซิ่งถาม
“เรื่องที่สองคือการเอาชีวิตรอด เราต้องหาทางเอาตัวรอดและทำให้แน่ใจว่าทุกคนในขบวนของเราต้องสามารถกลับไปยังนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์แบบมีชีวิต!”
คุ้มกันทั้งสามพยักหน้าทันที มันเป็นปาฏิหาริย์สำหรับพวกเขาที่ยังมีชีวิตอยู่ และความตั้งใจที่จะมีชีวิตอยู่ของพวกเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นในตอนนี้
“เรื่องที่สามคืออะไร” กงเต๋อฉวนถาม
“สำหรับเรื่องที่สาม พวกเราต้องสวมบทบาทเป็นตัวแทนของนิกายเข้าสู่เมืองหลวง เพื่อสำรวจสถานการณ์ของเมืองหลวงและอาณาจักร
เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราไม่เพียงจะไม่ถูกลงโทษที่ทำภารกิจไม่สำเร็จเท่านั้นแต่ยังได้รับรางวัลอีกด้วย”
คำพูดของเอี้ยนลี่เฉียงทำให้ทั้งสามผู้คุ้มกันตกตะลึง พวกเขาจ้องมองเอี้ยนลี่เฉียงด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“เมื่อพวกเราทำภารกิจล้มเหลวพวกเราจะสูญเสียอาวุธเพียงสองหมื่นชิ้นเท่านั้น แต่สถานการณ์ในเมืองหลวงของจักรวรรดิจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของทั้งอาณาจักร
พวกเจ้าทุกคนก็เห็นแล้วว่าลูกไฟขนาดใหญ่ที่ปรากฏเป็นลุกสุดท้ายจะต้องตกลงไปในเมืองหลวงอย่างแน่นอน
ดังนั้นพวกเราจึงต้องเป็นตัวแทนของนิกายเพื่อสืบทราบสถานการณ์ของจักรวรรดิและจะได้เตรียมการในอนาคตได้ทันท่วงที
ทั้งสามคนต่างพูดไม่ออก นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ พวกเขาพยักหน้าอย่างหนักแน่นแล้วกล่าวว่า…
“น้องลี่เฉียง บอกเรามาว่าต้องทำอย่างไร!” หวังฮุ่ยเต็มไปด้วยความคึกคัก