14 - เส้นทางของเทพเจ้า
14 - เส้นทางของเทพเจ้า
ผังป๋อรู้สึกหดหู่ที่สุด ทุกคนล้วนแล้วแต่ได้วัตถุโบราณเป็นของตัวเอง เขาเป็นคนแรกที่เดินเข้าไปในวิหาร แต่กลับไม่ได้อะไรเลย
เขายืนอยู่หน้าวัดสายตาของเขากวาดไปทั่วทุกที่ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย เขาก้าวถอยหลังและหยิบเอาแผ่นป้ายที่สลักคำว่า"วัดต้าเล่ยหยิน" ขึ้นมา
การกระทำของเขาทำให้ทุกคนต่างก็ประหลาดใจ
จากนั้นทุกคนก็ตระหนักว่าแผ่นทองแดงนี้ต้องไม่ธรรมดา มันอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานอาจจะถึง 2,500 ปีแต่ว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่มีแม้แต่ฝุ่นละอองที่เกาะมันอยู่
“หนักจริงๆ...”
ผังป๋อลากแผ่นทองแดงแล้วเดินกลับมา เขาเพิ่งออกจากวิหาร และทั้งวิหารก็สั่นสะเทือน ทันใดนั้นพระพุทธรูปที่อยู่ด้านในวัดก็พังทลายลง
"คลิก"
จากนั้นเสียงสวดมนต์ก็ดังกึกก้องไปทั่ววัด
"โอ ฮะ ฮะ ปัง มิ ฮู ...
เสียงอันอันสง่างามดังกึกก้องเขย่าท้องฟ้าและสวรรค์ปฐพีให้เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่!
เสียงสวดมนต์นี้เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ เคร่งขรึม ประเสริฐ และลึกลับ
วัดที่เคยอาบไปด้วยสิ่งสกปรกรวมทั้งฝุ่นละอองถูกชะล้างออกไปทันที
ครั้งนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา ไม่เพียงแต่เย่ฟ่านและผังป่อเท่านั้นที่ได้ยิน คนอื่นๆต่างก็ตกใจและพูดไม่ออก
ในเวลาเดียวกัน สิ่งประดิษฐ์ทั้งหมดที่ผู้คนพบในวัด ไม่ว่าจะสมบูรณ์หรือเสียหาย ทั้งหมดก็เปล่งแสงที่นุ่มนวล และแสงจ้าก็ส่องลงมา ซึ่งทำให้ทุกคนประหลาดใจ
อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด ด้วยเสียงที่ดัง พระพุทธรูปหินในวัดโบราณก็แตกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นเถ้าธุลีและลอยออกจากวัดไปกับสายลม
"แย่แล้ว"
ในเวลาเดียวกัน ต้นโพธิ์โบราณที่อยู่ด้านหน้าวัดก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่มีเศษไม้ ไม่มีกิ่งก้านที่ตาย ต้นไม้ขนาดใหญ่กลายเป็นเถ้าถ่านและล่องลอยขึ้นไปบนฟ้า
เย่ฟ่านมองดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า
“ของที่พวกเรานำมาจากวัดน่าจะเป็นสิ่งของที่ทำให้วัดยังคงดำรงอยู่ได้ การที่พวกมันจะพังทลายหลังจากที่พวกเราออกมาก็น่าจะเป็นแบบนี้”
โจวยี่รู้สึกตื่นเต้นมากในขณะนี้ และดวงตาของเขาก็เปล่งประกายแบบแปลกๆ
"หรือว่าแท้ที่จริงแล้วโลกนี้มีเทพเจ้าอยู่จริงๆ หากพวกเราเดินไปตามเส้นทางเหล่านี้ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะได้เป็นเทพเจ้าก็ได้ "
เทพเจ้า พุทธะ ความเป็นอมตะ ... ความจริงเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ แต่มันกลับดูจริงจังขึ้นมาเมื่อพวกเขาเห็นมันด้วยตาของตัวเอง
"การเป็นเทพเจ้าแม้จะพูดง่ายแต่มันไม่มีทางเป็นไปได้" ผังป๋อเหลือบมองโจวยี่และกล่าวว่า
“สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องหาทางเอาชีวิตรอด ทะเลทรายแห่งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิต ไม่มีอาหาร หากเวลาล่วงเลยไปอีก 7-8 ชั่วโมงพวกเราจะตายอย่างแน่นอน”
"ทุกสัญญาณบ่งชี้ว่าดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นดาวอังคาร และเราทุกคนรู้ว่าดาวอังคารไม่มีสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอด" หลี่เสี่ยวม่านวิเคราะห์ออกมา
"ถ้ามีพระเจ้าจริงๆ บางทีมันอาจจะสามารถอธิบายทั้งหมดนี้ได้ เพราะนี่อาจจะเป็นเพียงพื้นที่ที่บริสุทธิ์เล็กๆภายในดาวอังคาร"
ทันทีที่คำพูดของเธอจบลง ก็มีเสียงดังก้องกังวานมาจากดินสีน้ำตาลแดง และแผ่นดินที่ว่างเปล่าก็สั่นสะเทือนราวกับมีม้าหลายพันตัววิ่งอยู่ และดูเหมือนว่ามีคลื่นทะเลโหมกระหน่ำ
"พายุทราย ... ซุปเปอร์พายุบนดาวอังคาร!" ใบหน้าของเคดเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงและตะโกนออกมาเป็นภาษาจีนที่คล่องแคล่ว
เวลา 1 ใน 4 ของดาวอังคารจะเต็มไปด้วยพายุทะเลทรายอันบ้าคลั่ง ในขณะที่มันเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 180 เมตรต่อวินาที พายุใหญ่สามารถกวาดโลกทั้งใบได้
อย่าว่าแต่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นรถถังขนาดใหญ่ก็จะถูกบดขยี้อย่างรุนแรง!
ในเวลาเพียงครู่เดียว ดวงดาวและดวงจันทร์ทั้งหมดก็หายไป ทรายสีน้ำตาลแดงที่ไม่มีที่สิ้นสุดปกคลุมท้องฟ้าจนหมด และพายุลูกใหญ่ที่กวาดล้างดาวอังคารทั้งหมดก็เปิดออกอย่างรวดเร็ว
"มันหายไปไหน ... "
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา หลายคนตกใจกลัวโดยคิดว่าหายนะครั้งใหญ่กำลังจะมาถึง แต่ในเวลานี้ ทุกคนพบว่าพายุในดาวอังคารนั้นหายไปแล้ว
คำพูดของหลี่เสี่ยวม่านเป็นจริง นี่เป็นดินแดนเล็กๆที่มีความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์สามารถสกัดกั้นพายุทะเลทรายอันบ้าคลั่งได้ ซึ่งพิสูจน์โดยอ้อมว่าเทพเจ้าอาจมีอยู่จริง และที่นี่อาจเป็นที่หลบภัยของเหล่าทวยเทพ
"ไม่ ดูที่โดมท้องฟ้าสิมันกำลังพังทลายลงแล้ว!" ใบหน้าของนักเรียนหญิงที่มองขึ้นไปบนฟ้ากลายเป็นสีขาว
แสงสีทองที่ปกคลุมทั่วทั้งโดมท้องฟ้าอยู่กำลังจะพังทลายลงเรื่อยๆ หลังจากเห็นฉากนี้ใบหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนสี เมื่อความตายกำลังจะมาถึงใครจะสงบลงได้
“เราควรทำอย่างไร เรา ... จะตายที่นี่จริงๆเหรอ?” คำพูดของบางคนสั่นคลอน
“ฉันไม่อยากตาย...” นักเรียนหญิงบางคนร้องออกมา
"ถ้าแสงสีทองที่ปกคลุมท้องฟ้าอยู่หายไปพวกเราจะตายภายใต้พายุของทะเลทราย!"
แม้แต่กลุ่มที่เป็นผู้ชายก็ยังหวาดกลัวเช่นกัน ที่นี่เป็นดินแดนอันบริสุทธิ์แห่งเดียวในดาวอังคารนี้ ถ้ามันหายไปพวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
“บูม…”
พายุโหมกระหน่ำเหมือนวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึง โลกทั้งใบดูเหมือนจะสั่นสะเทือน ทรายอันบ้าคลั่งถูกหอบขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นฉากที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง
ในเวลานี้ดวงตาของเย่ฟ่านยังคงชัดเจน เขามองดูพายุทรายที่ท่วมท้นและพูดอย่างใจเย็น
"บางทีตอนนี้อาจมีทางเดียวเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอด"
“พวกเราจะหนีไปที่ไหน!”
“ดินแดนอันบริสุทธิ์นี้จะไม่มีอีกต่อไปแล้ว จะมีที่ไหนอีกที่จะอยู่รอดได้?”
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตและความตาย ทุกคนกังวลอย่างมาก และหลายคนสับสน
“แท่นบูชาห้าสี” เย่ฟ่านกล่าว
ทันใดนั้นบางคนก็เข้าใจความคิดของเย่ฟ่าน แต่หลายคนก็ยังงง
“ใช่ นี่อาจเป็นทางออกเดียว” โจวยี่พยักหน้าและตกลง
ตามข้อสันนิษฐานของเย่ฟ่านในอดีตอันไกลโพ้น เหล่าทวยเทพได้เปิดเส้นทางโบราณสู่ดวงดาว และมันอาจจะเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อโลกและดาวอังคาร
แต่เขาคิดว่านี่เป็นเพียงจุดเคลื่อนย้ายแห่งหนึ่งเท่านั้นไม่น่าจะใช่ปลายทาง
นอกจากนี้ยังมีแท่นบูชาห้าสีบนดาวอังคาร ซึ่งน่าจะเชื่อมต่อกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่อยู่ไกลออกไป นี่คือเส้นทางที่เหล่าทวยเทพได้เดินทางไป
ตอนนี้พวกเขาจะถูกบังคับให้สิ้นหวัง มีเพียงเดินไปตามเส้นทางที่เทพเจ้าโบราณทิ้งไว้เท่านั้นพวกเขาจึงจะมีโอกาสรอด
ในเวลานี้ ทุกคนต่างก็รีบวิ่งไปยังแท่นบูชาห้าสีอย่างรวดเร็ว
แม้ว่ามันจะอยู่ห่างออกไปเพียงกิโลเมตรเดียว แต่ทุกคนก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขาอยู่ห่างจากมันสุดขอบฟ้า ระยะทางนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตและความตาย
หากพวกเขาไปไม่ถึงแท่นบูชาห้าสีก่อนที่โดมท้องฟ้าจะพังลงพวกเขาจะตายอย่างแน่นอน
ในเวลานี้ซากปรักหักพังที่อยู่ด้านหน้าพวกเขาเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการที่พวกเขาจะไปให้ถึงแท่นบูชา หลายคนได้รับบาดเจ็บจากการสะดุดล้ม แต่พวกเขาก็ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าทุกคนจะไปถึงแท่นบูชาห้าสีได้อย่างปลอดภัย แต่ก็ยังไม่แน่ว่าพวกเขาจะเดินทางไปตามเส้นทางของเทพเจ้าที่ทิ้งไว้ได้หรือไม่
นี่คือเงามหึมาที่ปกคลุมอยู่ในใจของทุกคน เราต้องรู้ว่าแม้ว่าบนภูเขาไท่ซานจะมีแท่นบูชาที่ส่งพวกเขามาที่นี่ แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจเงื่อนไขที่เปิดใช้งานมันแม้แต่น้อย
"อา ... "
ทันใดนั้นเพื่อนนักเรียนหญิงคนหนึ่งก็กรีดร้องออกมาในขณะที่วิ่งผ่านซากปรักหักพัง
ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสยดสยองและบริเวณหว่างคิ้วของเธอมีรูเลือดเหมือนกับว่าใครบางคนใช้นิ้วเจาะเข้าไป
"เกิดอะไรขึ้น ?!"
ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว หญิงสาวคนนั้นวิ่งมาพร้อมกับพวกเขาชัดๆแต่ตอนที่เธอตายพวกเขากลับมองไม่เห็นอะไรเลย
“อย่าเข้าใกล้เธอ!”
เย่ฟ่านหยุดเพื่อนร่วมชั้นชายสองคนที่ต้องการเข้าใกล้ร่างกายของเพื่อนผู้หญิงคนนั้น เขาจำได้ถึงหัวกระโหลกที่มีร่องรอยถูกแทงกลางหน้าผากในตอนที่มาที่นี่ครั้งแรกได้
เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก