325 - หัวหน้าขบวนคนใหม่
325 - หัวหน้าขบวนคนใหม่
เอี้ยนลี่เฉียงกล่าวต่ออย่างใจเย็นว่า
“ตอนนี้ภัยพิบัติลุกลามไปทั่วอาณาจักร เจ้าคิดว่านอกจากอาหารแล้วผู้คนยังต้องการอะไรอีก เจ้ารู้หรือไม่ว่าสินค้าที่พวกเราคุ้มครองคืออะไร
การที่เจ้าจะนำมันออกมาเจ้าคิดว่าด้วยคนจำนวนนี้พวกเราสามารถคุ้มครองมันได้หรือไม่ ด้วยสิ่งของที่ล่อตาล่อใจขนาดนั้นพวกเจ้าคิดว่าเราจะสามารถมีชีวิตรอดไปได้หรือไม่…”
สีหน้าของทุกคนบิดเบี้ยวทันทีที่ได้ยินคำพูดของเอี้ยนลี่เฉียง รวมถึงหวังฮุ่ยที่เหงื่อไหลออกมาทันที
ทุกคนในหน่วยรู้ว่าสินค้าที่พวกเขาส่งไปยังกองทัพวายุเป็นอาวุธที่สร้างขึ้นโดยยอดเขาเทียนเฉียวโดยใช้เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อาวุธพิเศษและสามารถหาซื้อได้ง่ายในตลาด
อย่างไรก็ตาม ด้วยภัยพิบัติที่เพิ่งปะทุขึ้น เมืองจะวุ่นวาย ทุกคนคงอยากได้อาวุธ สินค้าที่พวกเขามีกลายเป็นของสะดุดตาราวกับคบเพลิงในความมืดมิด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ทุกคนก็รู้สึกหนาวสั่นด้วยความหวาดกลัว
พวกเขาไม่ได้คิดอะไรมากเมื่อหวังฮุ่ยออกคำสั่งให้ไปขนสินค้ากลับมาและเตรียมออกเดินทาง อย่างไรก็ตามได้ยินคำพูดของเอี้ยนลี่เฉียงพวกเขาก็รู้แล้วว่าการกระทำนั้นเป็นการรนหาที่ตาย
หวังฮุ่ยถูกครอบงำด้วยความละอาย ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและตบหน้าตัวเองอย่างแรงสองครั้ง จากนั้นเขาก็ปประสานมือให้กับเอี้ยนลี่เฉียงเป็นการขอโทษ
“น้องลี่เฉียง ข้าหวังฮุ่ยเป็นสัตว์เดรัจฉานที่รู้จักแตกการต่อสู้เท่านั้น ข้าขอโทษในสิ่งที่ทำกับเจ้า หากไม่ใช่เจ้าชี้ทางสว่างให้เห็นข้าคงพาทุกคนเดินลงนรกไปแล้ว ขอให้เจ้าเป็นผู้นำของเราและช่วยบอกพวกเราด้วยว่าต้องทำอย่างไรนับจากนี้”
คนอื่นๆในหน่วยก็หันมามองเอี้ยนลี่เฉียงด้วยความหวัง พวกเขาส่วนมากแล้วรู้จักแต่การต่อสู้เท่านั้น พวกเขาอาจจะแข็งแกร่งเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู แต่ความคิดความอ่านของพวกเขาล้วนไม่แตกต่างจากหวังฮุ่ย
"พวกเจ้ายินยอมเชื่อถือข้าหรือไม่?" เอี้ยนลี่เฉียงถามทุกคนด้วยเสียงเบา
“น้องชายพวกเราต่างก็เป็นศิษย์ของนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะทำร้ายพวกเรา ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะออกคำสั่งอะไรมาพวกเราจะปฏิบัติตามทุกอย่าง…” หวังฮุ่ยเป็นคนแรกที่ประกาศความไว้วางใจของเขา และทุกคนก็พยักหน้า
“ในเมื่อทุกคนไว้วางใจข้า ข้าก็ขอเสนอว่าพวกเราต้องเล่นละครก่อน แล้วเรื่องอื่นพวกเราค่อยพูดกันทีหลัง…”
“ละคร?”
หวังฮุ่ยสับสน คนอื่นๆก็เช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าเอี้ยนลี่เฉียงหมายถึงอะไร
แต่ในขณะที่คนอื่นกำลังคิดวิเคราะห์ เอี้ยนลี่เฉียงก็เริ่มตะโกนใส่หวังฮุ่ยด้วยเสียงอันดังขณะที่กระทืบเท้าด้วยความโกรธ…
"ดี! เจ้าคิดจะฆ่าข้าจริงๆ! โถเครื่องลายครามเหล่านี้เป็นสินค้าสั่งทำพิเศษที่เราสั่งซื้อจากแคว้นกาน และมีมูลค่าหลายพันตำลึงทอง!
พวกเราชี้แจงตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นหน่วยผู้พิทักษ์สี่ทะเลต้องรับผิดชอบทั้งหมด! ตอนนี้มีไหหลายใบที่แตกแล้ว แต่เจ้ากลับโทษว่าเป็นความผิดของแผ่นดินไหวเมื่อวาน!
เจ้าคิดจะบ่ายเบี่ยงไม่จ่ายเงินเพียงเพราะว่าหัวหน้าของเจ้าไม่อยู่ที่นี่ เจ้าคิดว่าจะปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นใคร!”
ในตอนแรกสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความเงียบสงบ แต่เมื่อเกิดการทะเลาะกันขึ้นในบริเวณนี้ก็ทำให้หน่วยคุ้มกันสินค้าอื่นๆที่กำลังขนสินค้าของตัวเองจากโกดังต่างก็หันมามองทางนี้ด้วยความสนใจ
ขบวนของผู้พิทักษ์สี่ทะเลมาถึงที่นี่เมื่อคืนนี้ ดังนั้นทุกคนจึงไม่รู้ว่าพวกเขาคุ้มครองสินค้าอะไรมา แต่เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเอี้ยนลี่เฉียงทุกคนก็รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาคุ้มครองมาก็คือเครื่องลายคราม
ในเวลาเช่นนี้ผู้ใดจะไปสนใจเครื่องลายครามที่พวกเขาคุ้มครอง
"ใช่! นายน้อยของเราพูดถูก! ยังไงพวกเจ้าก็ต้องชดใช้! โถอยู่ในสภาพสมบูรณ์เมื่อเรามอบมันให้กับเจ้า ดังนั้นในเมื่อพวกเจ้าไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของมันได้ พวกเจ้าก็ต้องชดใช้! เจ้าคิดจะรังแกพวกเราเพราะว่าพวกเรามีคนน้อยอย่างนั้นหรือ!”
กู่เจ๋อซวนซึ่งยืนอยู่ข้างเอี้ยนลี่เฉียงก็ช่วยแสดงละครเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
“เราไม่ได้บอกว่าเราจะไม่ชดเชย? มันเป็นแค่แจกันไม่กี่ชิ้น! เราเสียคนไปมากมายเราจึงไม่มีเวลามาชดเชยให้พวกเจ้า มิหนำซ้ำหัวหน้าของพวกเรายังไม่อยู่ที่นี่ ข้าเป็นเพียงคนคุ้มกันจะพูดเรื่องเงินทองได้อย่างไร!”
หวังฮุ่ยก็ไม่ใช่คนสมองทึบโดยสิ้นเชิง เมื่อเห็นท่าทางของเอี้ยนลี่เฉียงเขาก็เข้าใจได้ทันทีและรับลูกต่ออย่างรวดเร็ว
หลังจากโต้เถียงกันสักพักจนผู้คนที่อยู่รอบๆเลิกสนใจ พวกเขาก็เดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อค้นหาอาหารรวมทั้งเงินทองที่อาจจะต้องใช้ประโยชน์ในอนาคต
เอี้ยนลี่เฉียงไม่รู้ว่าเมืองนี้หน้าตาเป็นอย่างไรก่อนเกิดแผ่นดินไหว แต่ภาพตรงหน้าทำให้เขานึกถึงภาพที่เขาเห็นทางออนไลน์หลังจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ถังซานและเหวินฉวน
นอกจากแผ่นดินไหวแล้ว อุกกาบาตสองสามลูกได้ตกลงสู่เมืองเมื่อคืนนี้โดยตรง ลูกอุกกาบาตกระแทกลงสู่พื้นสร้างหลุมขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าสิบลี้
ทุกอย่างภายในรัศมีหนึ่งพันวาจากหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่กลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่มีอะไรจะอยู่รอดได้
เมืองที่เคยเป็นเมืองแห่งความฝัน บัดนี้กลายเป็นเมืองร้าง นอกจากซากปรักหักพังแล้ว มีเพียงฝุ่นและกลิ่นของเลือดที่ยังหลงเหลืออยู่ในอากาศ
ผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติถูกปกคลุมไปด้วยเลือด ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยเขม่า
พวกเขาเร่ร่อนราวกับซอมบี้ที่ไร้วิญญาณ ค้นหาซากของคนที่พวกเขารัก หรือนั่งอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังเสียใจกับทุกสิ่งที่พวกเขาได้สูญเสียไปในชั่วข้ามคืน
มีศพอยู่เต็มเมืองและพวกเขามาจากทุกวัยและทุกสาขาอาชีพ มันเป็นภาพที่น่าสยดสยองเกินกว่าที่จะมองได้
ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ อาคารราชการและสำนักงานบังคับใช้กฎหมายถูกกวาดล้างออกจากแผนที่เมื่ออุกกาบาตตกลงใส่สถานที่ราชการทั้งสองแห่งจนพังยับเยินไม่มีผู้รอดชีวิต
ค่ายทหารที่ตั้งอยู่ในเมืองไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากลูกอุกกาบาตตกลงมา แต่ค่ายของพวกเขาตั้งอยู่ติดกับกำแพงใหญ่ดังนั้นเมื่อกำแพงถล่มทุกคนในค่ายจึงถูกฝังอยู่ใต้ซากของกำแพง
เมื่อเข้าไปในเมืองเอี้ยนลี่เฉียงก็เห็นทหารคนหนึ่งที่ยังอยู่ในเครื่องแบบ เขายืนอยู่ข้างกำแพงที่พังทลายด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า ดูเหมือนว่าสติของเขาจะหลุดลอยไปแล้ว
เอี้ยนลี่เฉียงพยายามเรียกหาเขาสองครั้ง แต่ทหารไม่ตอบ เขายังคงยืนอยู่ที่นั่นและพึมพำเบาๆ
“หายไปหมดแล้ว! หมดแล้วหมดเลย!”
หวังฮุ่ยและคนอื่นๆที่อยู่เบื้องหลังในคลังและไม่เคยเหยียบเข้าไปในเมืองต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็น ในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่าสิ่งที่เอี้ยนลี่เฉียงพูดนั้นเป็นความจริง
กฎหมายและระเบียบไม่มีอยู่อีกต่อไป พวกเขาไม่มีใครให้พึ่งพานอกจากตัวเอง การเอาชีวิตรอดเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ภารกิจคุ้มกันสามารถดำเนินต่อไปได้ก็ต่อเมื่อพวกเขารอดชีวิต
ใบหน้าของหวังฮุ่ยซีดเผือดเมื่อเขาเห็นหลุมอุกกาบาตที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหลายลี้
“ข้าเคยมาที่เมืองจินหลิงมาก่อน นี่เป็นเมืองที่คึกคักไม่เป็นรองเมืองหลวงแม้แต่น้อย หัวหน้าเฟิงบอกว่าจะมาหาเพื่อนที่จัตุรัสที่สิบแปด ถ้าอย่างนั้น…”
หากหัวหน้าเฟิงมาที่จตุรัสที่สิบแปดเมื่อคืนนี้ นั่นหมายความว่าต่อให้เป็นซากศพของเขาก็ไม่มีทางหาพบอีกแล้ว
ก่อนที่หวังฮุ่ยจะพูดจบประโยค ทุกคนก็เข้าใจความหมาย สายตาของพวกเขามองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงด้วยความยกย่อง นี่เป็นอีกสิ่งที่เอี้ยนลี่เฉียงได้คำนวณถูกต้อง
ตอนนี้สายตาที่ทุกคนมองไปยังเอี้ยนลี่เฉียงมันเต็มไปด้วยความหวัง การพึ่งพา รวมทั้งความเคารพเทิดทูน
เอี้ยนลี่เฉียงก็มองเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเคารพของทุกคน นี่คือสิ่งที่เขาคาดหวังไว้ ขบวนคุ้มกันจะอยู่รอดได้ก็ต่อเมื่อมีเขาเป็นผู้นำเท่านั้น
หากเขาไม่ได้เป็นผู้นำขบวนนี้เขาจะแยกตัวออกจากขบวนทันทีเพราะเขาจะไม่มีทางยอมตายไปกับทุกคนอย่างแน่นอน
เขาละสายตาจากอุกกาบาตที่ลุกโชนบนพื้นและจ้องมองบุคคลที่ติดตามเขาเข้ามาในเมืองแล้วกล่าวว่า
“พี่หวัง ท่านนำคนไปที่เขตซึ่งเคยเป็นตลาดแล้วกวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถกินได้มาให้ได้มากที่สุด”
"ข้าจำได้ว่าตลาดอยู่ใกล้ประตูทิศตะวันตก”
"ยอดเยี่ยม ท่านรีบจัดการให้เร็วที่สุดแล้วพวกเราจะต้องออกจากเมืองก่อนเที่ยง เมืองนี้เต็มไปด้วยซากศพมันจะเกิดโรคระบาดอย่างรวดเร็ว พวกเราต้องไม่อยู่ที่นี่นานนัก”
ทุกคนพยักหน้า และหวังฮุ่ยก็นำทางผ่านซากปรักหักพังไปยังที่ซึ่งเคยเป็นประตูด้านตะวันตก
ขณะที่ทุกคนกำลังเดินทางไปประตูตะวันตกหวังฮุ่ยซึ่งรออยู่กับเอี้ยนลี่เฉียงก็พูดขึ้นว่า
“หัวหน้า อาจยังมีผู้รอดชีวิตบางส่วนอยู่ใต้ซากปรักหักพัง”
“ข้ารู้…”
เอี้ยนลี่เฉียงพยักหน้าขณะที่มองดูกู่เจ๋อซวนแล้วกล่าวว่า
“เมื่อคืนเราได้ช่วยคนมาพอแล้ว สิ่งที่เราต้องทำคือเอาชีวิตรอดให้ได้ เราไม่มีน้ำและอาหาร เมืองจินหลิงจะปะทุขึ้นด้วยความโกลาหลและโรคภัยในไม่ช้า
เราต้องประกันการอยู่รอดของเรา ก่อนที่เราจะนึกถึงการช่วยเหลือพวกเขา ทุกคนในหน่วยคุ้มกันต่างก็ต้องพึ่งพาข้า ข้าไม่อาจปล่อยให้พวกเขาเสียชีวิตได้!”
กู่เจ๋อซวนมองไปรอบๆเมืองที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังและหลุมอุกกาบาตในขณะที่เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
……
ที่ไหนสักแห่งในใจกลางซากปรักหักพังในเมือง ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งก็มุดขึ้นมาจากซากปรักหักพังแล้วใครบางคนในกลุ่มของพวกเขาก็ตะโกนบอกเพื่อนๆว่า
“เรารวยแล้ว! มีสมบัติซ่อนอยู่ที่นี่จริงๆ! ตอนนี้เงินทั้งหมดนี้เป็นของเรา! พวกเรามาช่วยกันเร็ว!”
ขณะที่กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้นกำลังฉลอง เอี้ยนลี่เฉียงและคนของเขาก็เดินเข้ามาพร้อมกับอาวุธครบมือ ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นตกใจรีบลุกขึ้นคว้าอาวุธและตะโกนออกมาว่า
“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร….”
(ตอนนี้เปิด VIP ใหม่แล้วนะครับใครสนใจก็ติดต่อทางเพจได้เลย)