316 - วีรบุรุษคู่หญิงงาม
316 - วีรบุรุษคู่หญิงงาม
“ลี้เฉียงเจ้าค้นพบตัวคนร้ายได้อย่างไร? ลูกธนูนั้นถูกยิงกระทันหันเกินไป ข้ารู้เพียงทิศทางของลูกธนูแต่ไม่รู้ว่ายิงมาจากตรงไหน!”
ทุกคนในห้องหันไปมองใบหน้าของเอี้ยนลี้เฉียง
"ในเวลาว่างข้ามักจะวิเคราะห์เส้นทางการเคลื่อนที่ของลูกธนู ดังนั้นข้าจึงเข้าใจลูกธนูมาก เมื่อข้าสัมผัสได้ว่ามีลูกธนูยิงเข้ามาข้าก็รู้ว่ามันถูกยิงออกมาจากตรงไหนทันที…” เอี้ยนลี้เฉียงตอบอย่างใจเย็น
ในช่วงเวลาเช่นนี้เอี้ยนลี้เฉียงไม่มีทางยอมรับว่าเขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลมของเขา
แต่เขาพยายามให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลโดยใช้ทฤษฎีการเคลื่อนที่ของลูกธนูที่เขาเคยอ่านมาก่อนในชีวิตก่อนหน้านี้ และมันก็ฟังดูสมเหตุสมผลเช่นกัน
"น่าเหลือเชื่อจริงๆ?"
เหมียวอู๋เซิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขากำลังพยายามทำความเข้าใจคำพูดของเอี้ยนลี้เฉียง
“โอ้ น้องลี่เฉียง ข้าก็เป็นมือธนูคนหนึ่งเช่นกันเหตุไฉนข้าจึงไม่มีสัญชาตญาณเหมือนเจ้า” จางหยุนต้วน ก็จ้องมองมาที่เขาเช่นกัน
“เมื่อลูกธนูออกจากสายธนู มันอาจจะดูเหมือนกำลังเดินตรงไปในระยะทางสั้นๆ แต่ถ้าเจ้าสังเกตมันในระยะไกลมันจะเคลื่อนที่ตามวิถีโคจร กระแสลม อุณหภูมิ ความชื้น ตราบใดที่เจ้าศึกษามันอย่างจริงจังเจ้าก็จะรู้เรื่องนี้!”
เอี้ยนลี่เฉียงพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทุกคนที่อยู่บนโต๊ะดูเหมือนจะคิดทันทีที่ได้ยินคำอธิบาย
“อย่าสงสัยในคำพูดของลี่เฉียง ทุกคนพลังการสังเกตของเขานั้นยอดเยี่ยมเสมอ…” เหลียงอี้เจี๋ยพูดขึ้น “เมื่อข้าพบลี่เฉียงครั้งแรก นายท่านได้ทดสอบความสามารถในการสังเกตของเขาแล้ว…”
เมื่อเหลียงอี้เจี๋ยเล่าสั้นๆว่าซุนปิงเฉินทดสอบเอี้ยนลี่เฉียงด้วยวิธีใดทุกคนก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ และเลิกสงสัยในความสามารถในการสังเกตของเขา
“อย่างไรก็ตามตามที่ข้าสังเกตแล้วมีผู้คนจำนวนมากท่ามกลางฝูงชนจงใจสร้างความวุ่นวายเพื่อโจมตีเจ้าเป็นการส่วนตัว เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างถูกวางแผนไว้ เจ้าควรจะหาสถานที่หลบซ่อนตัวสักระยะหนึ่ง…” อิ๋นหยาเจี๋ยแนะนำเหลียงอี้เจี๋ยอย่างจริงจัง
"ถูกต้อง เจ้าควรพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง!” จางรุ่ยพยักหน้าเห็นด้วยที่ด้านข้าง
“ก็…” เหลียงอี้เจี๋ยเริ่มพึมพำกับตัวเองอย่างไม่เด็ดขาด
“เห็นได้ชัดว่าซูหลางต้องการกำจัดเจ้าเ ข้ากังวลว่าแม้ว่าพวกเขาจะล้มเหลวในครั้งนี้ พวกเขาจะหาวิธีอื่นที่จะฆ่าเจ้าอีกครั้งเรื่องนี้ไม่เพียงเกี่ยวกับเจ้าเท่านั้นแม้แต่เจ้ากรมซุนก็ยังถูกร้องเรียนถึงสิบเอ็ดครั้ง
และในขณะเดียวกันผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนก็พยายามจะกล่าวโทษเจ้ากรมซุน อี้เจี๋ยเจ้ารับใช้เจ้ากรมซุนการทำให้ชื่อเสียงของเจ้ามัวหมองย่อมหมายถึงการทำให้เจ้านายของเจ้ามัวหมองเช่นกัน ข้อเสนอของข้าเจ้าต้องพิจารณาให้ดี…” คนอื่นก็เต็มไปด้วยความกังวลเช่นกัน
“ขอบคุณที่เตือน ข้าจะพิจารณาให้รอบคอบ!”
“ข้าได้ยินมาว่าทิวทัศน์ที่จินหลิงนั้นสวยงามมากในช่วงสองสามวันนี้ ข้าคิดว่าจะไปที่นั่นสักสองสามวัน เจ้าสนใจร่วมเดินทางไปจินหลิงด้วยกันกับข้าไหมพี่เหลียง”
จู่ๆเฟิงถิงก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่แดงก่ำ นางจับจ้องไปที่เหลียงอี้เจี๋ยด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
เอี้ยนลี่เฉียงตกตะลึง เมื่อมองไปที่ใบหน้าของทุกคนเขาก็เห็นว่าทุกคนล้วนแล้วแต่อมยิ้มลึกลับ.
“แน่นอนว่าพี่เหลียงสนใจเดินทางไปกับเจ้าอย่างแน่นอน!” เอี้ยนลี่เฉียงยิ้มก่อนที่เหลียงอี้เจี๋ยจะตอบ
“ตอนที่ข้าเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมพี่เหลียง เขากล่าวสรรเสริญพี่สาวเฟิงถิงให้ข้าฟังอยู่ทั้งวัน เขาบอกว่าเจ้าเป็นคนร่าเริง ไม่เพียงแต่เป็นหญิงงามแต่ยังมีความเฉลียวฉลาดอีกด้วย
เมื่อพี่เหลียงอยู่ที่แคว้นกาน เขาพาข้าไปซื้อปิ่นปักผมมาให้พี่สาวเฟิงถิงมันเป็นของหายากที่ขึ้นชื่อของบ้านเกิดข้า
น่าเสียดายที่ปิ่นปักผมอันนั้นหายไปเมื่อเราพบกับโจรวายุทมิฬระหว่างทางมาที่นี่ พี่เหลียงอารมณ์เสียอยู่นานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ใช่ไหมพี่เหลียง?”
เหลียงอี้เจี๋ยจ้องที่เอี้ยนลี่เฉียงด้วยท่าทางที่ตกตะลึง เขาไม่คิดว่าเอี้ยนลี่เฉียงจะสร้างเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมา
ในเวลานี้ดวงตาของหญิงสาวที่ชื่อเฟิงถิงเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น เธอมองไปที่เหลียงอี้เจี๋ยอย่างเขินอายและมีความสุข
……………….
“ลี่เฉียง เมื่อกี้เจ้าทำอะไร? …”
เหลียงอี้เจี๋ยมองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงด้วยสีหน้าราวกับว่าเขาไม่แน่ใจว่าเขาควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เมื่อทุกคนออกจากร้านอาหารเอี้ยนลี่เฉียงก็กล่าวคำอำลากับคนอื่นๆ
ด้วยข้ออ้างในการอำลาเอี้ยนลี่เฉียง เหลียงอี้เจี๋ยจึงฉวยโอกาสดึงเขาไปด้านข้างและโพล่งคำพูดที่เขาเก็บกดไว้มาตลอด
“พี่เหลียง เจ้าไม่ชอบพี่สาวเฟิงถิงเหรอ? ดวงตาของท่านไม่อาจหลอกข้าได้ วันนี้พี่สาวเฟิงถิงรวบรวมความกล้าชักชวนท่านแล้วท่านยังต้องลังเลอะไรอีกพี่เหลียง? ในเมื่อท่านไม่กล้าพูดข้าก็พูดแทนให้แล้วไง…”
เหลียงอี้เจี๋ยแม้ว่าจะเป็นคนที่กล้าหาญ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องความรักเขาก็อดรู้สึกที่จะอับอายไม่ได้
“ข้าสงสัยจริงๆว่าทำไมคนอายุน้อยอย่างเจ้าถึงมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้มากกว่าพวกเรา?”
เหลียงอี้เจี๋ยส่ายหัวในขณะที่ยิ้มอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม เขาไม่สามารถคาดเดาความคิดของเอี้ยนลี่เฉียงได้
“ไม่ใช่ว่าข้ารู้มากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเมื่อคนสองคนมีความรู้สึกตรงกันก็ควรจะพูดเรื่องนี้ออกมาให้ชัดดีกว่าปล่อยให้เวลาสูญเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์…”
“ตัวข้าเป็นเพียงเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง แม้แต่ชีวิตของตัวเองก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ ข้าไม่ต้องการดึงนางให้ตกต่ำลง” เหลียงอี้เจี๋ยถอนหายใจขณะที่เขาถ่ายทอดความในใจออกมา
“พี่เหลียง นั่นเป็นความคิดฝ่ายเดียวของท่าน ท่านรู้ได้ยังไงว่าพี่สาวเฟิงถิงใส่ใจเรื่องนี้!”
“แต่เกี่ยวกับการออกจากเมืองหลวง…” เหลียงอี้เจี๋ยยังคงลังเลเล็กน้อย
“ข้าคิดว่าสหายของท่านพูดถูก แทนที่จะรอความตายอยู่ในเมืองหลวงบางทีท่านควรจะออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน!” เอี้ยนลี่เฉียงมองไปรอบๆแล้วลดเสียงลงเล็กน้อย
“ถ้าสิ่งที่พี่อิ๋นพูดเป็นความจริง ข้ามีความรู้สึกว่านายท่านอาจจะกำลังฟ้องร้องคนผู้นั้นต่อหน้าฝ่าบาทแล้ว และนายท่านก็คงเตรียมรับการตอบโต้จากคนผู้นั้นเช่นกัน ดังนั้นนายท่านน่าจะคิดวิธีหลบภัยออกจากเมืองหลวงแล้ว…?”
"ฮะ. อะไรทำให้เจ้าคิดแบบนั้น”
เหลียงอี้เจี๋ยมองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงด้วยความประหลาดใจ
“มันง่ายมาก ด้วยอำนาจและอิทธิพลของบุคคลนั้นในราชสำนัก มันเป็นไปไม่ได้ที่นายท่านจะกล่าวโทษเขาแม้ว่าจะมีหลักฐานเพียงพอก็ตาม” เอี้ยนลี่เฉียงยิ้มและกล่าวต่อว่า
“การที่นายท่านไม่เข้าประชุมที่ท้องพระโรงมาถึงสองปีแล้วย่อมเป็นการพิสูจน์คำพูดของข้าได้
บางทีนายท่านอาจจะต้องออกไปตั้งตัวที่นอกเมืองหลวง เรื่องนี้จะสามารถทำประโยชน์ให้กับฝ่าบาทได้มากกว่าอยู่ในเมืองหลวงอย่างแน่นอน!”
“ลี่เฉียง สมองของเจ้าบรรจุอะไรอยู่กันแน่!”
หยานลี่เฉียงหัวเราะแล้วกล่าวว่า
“พี่ใหญ่ไม่ต้องไปส่งข้าที่คฤหาสน์กวาง พี่สาวเฟิงถิงและคนอื่นๆยังคงรอท่านอยู่ที่นั่น!”
“ก็ได้ เจ้าก็ต้องระวังตัวเช่นกัน คนแซ่เกาดูเหมือนเตรียมตัวจะหาเรื่องเจ้าบางอย่าง เรื่องนี้ข้าพอได้ยินมาบ้าง!” เหลียงอี้เจี๋ยเตือนเอี้ยนลี่เฉียงอย่างจริงจัง
หยานลี่เฉียงยิ้ม
“ให้มันมาเถอะพี่เหลียง แล้วข้าจะตบมันให้บี้แบนเลย!”
“ก็ได้ ดูแลตัวเองด้วย!”
"แล้วเจอกันใหม่!” เอี้ยนลี่เฉียงโบกมือให้เหลียงอี้เจี๋ยแล้วก้าวออกไป