309 - แผนการของขันทีเฒ่า
309 - แผนการของขันทีเฒ่า
“มีคนที่มีพลังเช่นนั้นจริงหรือ?”
เสวี่ยกงกงลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัวหลังจากฟังคำพูดของหลิวกงกง เขาจ้องไปที่หลิวกงกงด้วยท่าทางตกใจ และเสียงของเขาก็สูงขึ้นอีกสองระดับ
“เอี้ยนลี่เฉียงนั้นอายุแค่สิบห้าปีตามคำอธิบายก่อนหน้านี้ของท่านซุน…”
“ถ้าข้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองและสัมผัสมันด้วยตาตัวเอง ข้าก็ไม่มีวันเชื่อเช่นกัน เสาโลหะยาวสามสิบจ้างซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าหนึ่งพันจินดูเหมือนกับเสาไม้ธรรมดาในมือของเขา
แม้แต่ข้าก็ยังเกือบเสียท่าให้เขา พละกำลังดิบของเขานั้นไม่มีสิ่งอื่นเจือปน และความแม่นยำก็มีมหาศาลด้วย…” หลิวกงกงยกข้อมือขึ้นขณะอธิบายให้เสวี่ยกงกงฟัง จากนั้นเขาก็พับแขนเสื้อของตัวเองขึ้น
“ดูสิพี่ใหญ่. ข้อมือของข้ายังบวมอยู่บ้างตั้งแต่ปะทะกับกระบองของเขาใตตอนนั้น!”
หลิวกงกงเป็นผู้อาวุโสของวังหลวงดังนั้นเขาสามารถเข้าออกที่นี่ได้ตลอดเวลา
สิ่งที่คนนอกไม่รู้ก็คือหลิวกงกงและเสวี่ยกงกงเข้ามาในวังด้วยกันเมื่อพวกเขายังเด็ก แม้ว่าพวกเขาจะเป็นขันที แต่พวกเขาก็ช่วยเหลือและพึ่งพาอาศัยกันตลอดชีวิตในฐานะพี่น้อง
นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ถือว่าค่อนข้างพิเศษเช่นกัน
“เมื่อท่านซุนมาหาข้าในวันนั้น เขาพูดเพียงว่าเด็กคนนี้เป็นคนที่มีศักยภาพสูง มีพรสวรรค์ที่หายาก มีความพิถีพิถัน ซื่อสัตย์ และน่าเชื่อถือ ท่านซุนไม่ได้กล่าวว่าเด็กคนนี้จะมีความสามารถเช่นนี้…”
“ถ้าท่านซุนรู้เรื่องนี้เขาจะไม่พูดออกมาได้อย่างไร ข้าเชื่อว่าท่านซุนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเอี้ยนลี่เฉียงมีความสามารถดังกล่าว ไม่เช่นนั้นท่านซุนจะไม่มีทางส่งตัวเขาให้ฝ่าบาทแน่นอน…”
“แล้วเจ้าต้องการอะไร…”
“ข้าพูดมายืดยาวขนาดนี้ท่านยังไม่รู้อีก? ตอนนี้คณะเสนาบดีที่นำโดยหลิงชิงเทียนกำลังกดดันฝ่าบาทอย่างหนักท่านก็เห็นอยู่ ในเวลานี้ฝ่าบาทต้องการคนที่มีความสามารถมารับใช้
พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง หากท่านใดเห็นเขาแล้วท่านจะรู้ว่าไม่มีคนอายุสิบห้าปีในโลกจะมีพรสวรรค์ทัดเทียมกับเขาได้
เราต้องทำให้เด็กคนนี้มีความจงรักภักดีต่อพระบาทให้ถึงที่สุด ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเขาจะกลายเป็นแขนขาของฝ่าบาทที่ใช้จัดการเสนาบดีพวกนั้น
“ที่เจ้ากล่าวมาก็นับว่าถูกต้องแล้ว หากพวกเสนาบดีมีอำนาจมากกว่านี้และทำการเปลี่ยนตัวจักรพรรดิ์ พวกเราเหล่าขันทีคงต้องตายอย่างไร้ที่กลบฝัง!” เสวี่ยกงกงพยักหน้าอย่างจริงจัง
“เอี้ยนลี่เฉียงมีตำแหน่งอะไรในคฤหาสน์กวาง?”
“เขาเป็นผู้กำกับการสนามยิงธนู มีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการหยิงหยาง!”
“อย่างที่เจ้าพูด ตำแหน่งผู้บัญชาการหยิงหยางต่ำเกินไปจริงๆ พวกเราต้องหาตำแหน่งใหม่ให้เขา!” เสวี่ยกงกงขมวดคิ้วและเดินไปรอบๆห้องก่อนจะพูดว่า
“ด้วยความสามารถของเราทั้งสอง มันจะไม่มีปัญหาในการเลื่อนตำแหน่งเอี้ยนลี่เฉียงให้สูงขึ้นสองสามขั้น อย่างไรก็ตามหากเราปรารถนาที่จะเอาชนะใจเขาข้าคิดว่าเราต้องแสดงให้เห็นว่าเราเอาใจใส่เขามากกว่านี้…”
“ไม่ว่าเราจะให้อะไรแก่เขา หลินชิงเทียนแลคนของเขาจะทำเช่นเดียวกันหรืออาจจะมากกว่าที่เราสามารถทำได้
เด็กน้อยคนนี้มากน้ำใจ แม้แต่สุนัขของเขาที่นำมาจากแคว้นกานเขาก็ยังมาขอร้องข้าเพื่อขอให้มันอาศัยอยู่ในคฤหาสน์กวาง ในตอนที่เขาไม่มีอะไรในตอนนี้ข้าคิดว่าพวกเราควรซื้อใจเขาไว้ก่อน!” เมื่อถึงจุดนี้หลิวกงกงก็กัดฟันก่อนจะพูดต่อ
“ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อขอร้องให้พี่ใหญ่พูดกับฝ่าบาทขอให้พระองค์ดำเนินการเป็นการส่วนตัว เขาเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งหากฝ่าบาทแสดงความเอาใจใส่เขาข้าเชื่อว่าเขาจะต้องภักดีต่อฝ่าบาทอย่างแน่นอน!”
……
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เสวี่ยกงกงก็ตระหนักว่าจักรพรรดิมีการแสดงสีหน้าที่แปลกประหลาดขณะที่เขากำลังเล่าเรื่องของเอี้ยนลี่เฉียง
เขาไม่รู้ว่าจักรพรรดิมีอารมณ์แบบใดขณะฟังรายงานของเขา ขณะที่เสวี่ยกงกงมองดูสีหน้าจักรพรรดิ์ เขาก็รู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นดังนั้นเขาจึงหยุดพูดเพียงแค่นี้
ท้ายที่สุดชายที่นั่งข้างหน้าเขาก็เป็นถึงจักรพรรดิ แม้ว่าเสวี่ยกงกงจะกล้าหาญ แต่เขาก็ยังไม่กล้าเสนอแนะให้จักรพรรดิทำสิ่งต่างๆเพราะจะถือเป็นการลบหลู่เดชานุภาพอย่างร้ายแรง
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว…”
ในที่สุดจักรพรรดิก็พูดด้วยน้ำเสียงที่สงบ
“ข้ารู้สึกดีใจที่เจ้าและหลิวเถาซื่อสัตย์ต่อข้า ตลอดเวลาพวกเจ้ายังพยายามมองหาผู้คนที่มีพรสวรรค์มาทำงานให้ข้าอีกด้วย!”
“มันเป็นหน้าที่ของกระหม่อม!”
เสวี่ยกงกงจ้องมองที่ลายไม้ของพื้นเคลือบเงาในห้องทรงอักษรโดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
“ข้าคือหูตาของฝ่าบาท ย่อมรับใช้ฝ่าบาทอย่างเต็มที่!”
“เข้าใจแล้วเจ้าไปได้…”
จักรพรรดิมีสีหน้าเฉยเมยในขณะที่เขาโบกมือเบาๆ
“กระหม่อมทูลลา!”
เสวี่ยกงกงเดินถอยหลังและมุ่งหน้าไปที่ประตูเพื่อออกจากห้องทรงอักษร
"รอสักครู่!"
จักรพรรดิกวาดสายตาไปที่เส้นผมสีขาวของเสวี่ยกงกงจากนั้นก็ถอนหายใจกล่าวว่า
“ในตอนที่เจ้าและหลิวเถาเข้าวังมาครั้งแรกข้ายังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งส่วนพวกเจ้าก็ยังหนุ่มแน่น ตอนนี้พวกเจ้ากลับกลายเป็นคนแก่ชราแล้ว
ข้าจะให้หมอหลวงนำยาชิงอู่ไปมอบให้เจ้า เจ้าก็แบ่งปันให้หลิวเถาบางส่วนเมื่อพบเขา พวกเจ้าต้องดูแลร่างกายของตัวเอง ตอนนี้ข้ายังแข็งแรงแล้วพวกเจ้าจะชิงตายไปก่อนได้อย่างไร…”
ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลอาบแก้มของเสวี่ยกงกงอย่างกะทันหัน เขาคุกเข่าลงคำนับจักรพรรดิอย่างสุดซึ้งและสะอื้นไห้
“บ่าวเฒ่าขอบพระทัยฝ่าบาท…”
……
จนกระทั่งขันทีเสวี่ยกงกงออกจากห้องไป การแสดงออกที่สงบของจักรพรรดิก็เริ่มเปลี่ยนไป บางทีอาจด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย สิ่งที่เสวี่ยกงกงไม่เห็นก็คือมือของจักรพรรดิที่กำแน่นอยู่ใต้โต๊ะ
จักรพรรดิหันหน้าไปทางหน้าต่างทิศใต้ ซึ่งเป็นทิศทางของคฤหาสน์กวาง เขารำพึงกับตัวเองว่า
“ผ่านไปเพียงแค่เดือนเดียวเจ้าก็ฉสยแสงออกมาแล้ว ในตอนแรกข้าคิดจะไปพบเจ้าในอีกสามเดือนแต่ดูเหมือนข้าจะต้องไปพบเจ้าก่อนเวลาแล้ว…” ใบหน้าของจักรพรรดิเผยรอยยิ้มจางๆ
……
ขณะที่รถม้าของหลิวกงกงกำลังเคลื่อนออกจากเมืองหลวง ลู่เปียนเพิ่งเปิดม่านของรถม้าของเขาเพื่อมองดูกำแพงเมืองขนาดใหญ่ของเมืองหลวงจากนั้นเขาก็สั่งคนขับรถม้าว่า
“หลังจากที่เข้าไปในเมืองแล้วให้เลี้ยวขวาแล้วไปที่ศาลาชุมนุมแคว้นกานก่อน…”