บทที่ 1 การสำรวจซากโบราณสถานที่ผิดพลาด!
"ก้นฉันลุกเป็นไฟ!"
"ก้นฉันกำลังไหม้!!!"
"F*CK หยุดนะ!!"
ใบหน้าที่ไม่น่าดูเต็มไปด้วยน้ำตาและน้ำมูก เฟลิกซ์กำตูดแน่นขณะที่กลิ้งไปมาอยู่บนพื้น ทิ้งรอยเลือดที่ไหลออกมาจากทวารหนักไว้ข้างหลัง
เสียงกรีดร้องของเขายังคงดังก้องไม่หยุดในห้องโถงใหญ่โตที่ปูพื้นด้วยกระเบื้องประดับอัญมณีหลากสีสัน ผนังที่ย้อมด้วยสีเหลืองอำพัน ส่องประกายภายใต้แสงประดิษฐ์ของอัญมณีสีขาวขุ่นที่ติดอยู่บนเพดาน
ที่สว่างไสวไม่ได้มีเพียงแค่ผนังเท่านั้น แต่ทุกอย่างที่อยู่ในห้องโถงเปล่งแสงได้
เริ่มจากรูปปั้นทหารที่ยืนตรงมุมห้องโถง แต่ละคนถืออาวุธประเภทต่าง ๆ ด้วยแขนข้างหนึ่ง ในขณะที่แขนอีกข้างมีโซ่สีม่วงม้วนอยู่ที่ปลายแขน ราวกับกำลังพยายามรั้งบางอย่างไว้ด้วยชีวิต
โซ่สีม่วงทั้ง 4 เส้นนั้นเชื่อมต่อกับแท่นขนาดเล็กที่อยู่ตรงกลางห้องโถง
มันถูกล็อกแน่นจนลอยอยู่กลางอากาศโดยไม่มีอะไรค้ำยัน!
ที่บนแท่น เปลวไฟไร้สีขนาดเท่ากำปั้นเหมือนหยดน้ำกำลังลุกโชนอยู่เหนือมัน ขณะที่ข้างใต้นั้นมีศพ 2 ศพนอนนิ่งไม่ไหวติง
อันที่จริงมีแค่ศพเดียว อีกศพเป็นโครงกระดูกดำ ๆ ไหม้ ๆ
โครม!
ในที่สุดการกลิ้งอย่างไม่หยุดยั้งของเฟลิกซ์ก็หยุดลงเมื่อเขาชนเข้ากับศพ ถ้าดวงตาของเขาไม่พร่ามัวจากการร้องไห้ เขาจะเห็นว่าเขาเพิ่งชนกับศพของเคธี่ เพื่อนร่วมแคลนของเขาที่เข้าร่วมปาร์ตี้สำรวจซากโบราณสถานเช่นเดียวกับเขา เพื่อค้นหาขุมทรัพย์และทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อพัฒนาเส้นทางสายเลือดของเธอให้ดียิ่งขึ้น
อนิจจา ที่นี่เธอนอนเป็นศพเย็นโดยมีลูกตาข้างหนึ่งถูกขุดออกมาจากเบ้า
ก่อนหน้านี้ ดวงตาของเธอถูกเข็มที่ทำจากเปลวไฟไร้สีซึ่งส่งมาจากบนแท่นแทง เธอจึงขุดตาของตัวเอง พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเอาเข็มนั้นออก และหยุดความทุกข์ทรมานอันเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเธอ
น่าเศร้าที่ระดับสายเลือดปัจจุบันของเธอ ทำให้ความพยายามของเธอล้มเหลวอย่างน่าสังเวช
มองในแง่ดี อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้รับชะตากรรมเดียวกับเฟลิกซ์ ที่ยังคงกรีดร้องเหมือนเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งถูกขโมยอมยิ้มไป
แม้ว่าเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดของเขาจะดูเกินจริง แต่เฟลิกซ์ก็สติหลุดไปแล้ว เนื่องจากรูก้นของเขาเพิ่งถูกเข็มไฟอันเดียวกันแทงทะลุทะลวง!
ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว เขากรีดร้องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเป็นลมไปพร้อมกับดวงตาที่กรอกขึ้นฟ้า
เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ ก่อนอื่นคงต้องย้อนกลับไปก่อนหน้านี้
***
7 วันก่อน ทีมสำรวจของเฟลิกซ์ได้รับสัญญาณพลังงานจำนวนมหาศาล ที่มาจากดาวเคราะห์ที่ถูกทำลายในบริเวณใกล้เคียง ขณะที่พวกเขากำลังเดินทางกลับหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ แต่หลังจากที่พวกเขาสังเกตเห็นสัญญาณนั้น ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะเพิกเฉยและเดินหน้าต่อไป
ดังนั้น พวกเขาจึงเปลี่ยนเส้นทางและมุ่งตรงไปยังดาวเคราะห์ดังกล่าว
หลังจากลงจอด พวกเขาก็ค้นพบทันทีว่า สัญญาณมาจากใต้เมืองอันงดงามที่ถูกทำลาย ซึ่งมีโครงสร้างครึ่งหนึ่งถูกฝังอยู่ใต้ดินลึก
เช่นเดียวกับทีมสำรวจอื่น ๆ ประสาทสัมผัสของพวกเขารู้สึกเสียวซ่าน ว่าวันนี้เป็นวันโชคดีของพวกเขา
ท้ายที่สุด พวกเขาก็เพิ่งพบเมืองร้างที่อาจเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ระดับสูงของจักรวาล แม้มันจะถูกทำลาย แต่ความงดงามของเมืองก็เพียงพอให้พวกเขาได้ข้อสรุปดังกล่าว
แทนที่จะรายงานสิ่งที่พวกเขาพบไปยังแคลน เหมือนที่พวกเขาได้รับการสั่งสอนมา ความโลภได้บดบังพวกเขาและทำให้พวกเขาลงคะแนนไปสำรวจซากปรักหักพังด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม เมืองนี้มีขนาดใหญ่มาก และต้องใช้เวลาหลายปีในการสำรวจครึ่งหนึ่งของเมือง ดังนั้นกัปตันจึงเสนอให้แยกออกเป็น 3 ทีม
เฟลิกซ์ เคธี่ และเจย์เดน (ที่กลายเป็นโครงกระดูกไหม้เกรียมอย่างน่าเศร้า) ได้ตั้งทีมและออกสำรวจฝั่งตะวันตกของเมือง
เห็นได้ชัดว่าวันแรก ปาร์ตี้ของเฟลิกซ์ไม่พบสิ่งใดที่คู่ควรกับความสนใจของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ พวกเขายังคงค้นหาเส้นทางที่นำไปสู่ใต้ดิน โดยหวังว่าจะเป็นคนแรกที่ไปถึงที่ที่มีสัญญาณส่งออกมา
แต่วันที่ 2 ก็ยังคว้าน้ำเหลวเช่นกัน
แล้ววันที่ 3 ก็มาถึง ผลลัพธ์ยังคงน่าผิดหวังเหมือนเดิม วันที่ 4 ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง วันที่ 5 พวกเขาเริ่มหมดความอดทน ในวันที่ 6 เมื่อพวกเขาหมดหวัง เจย์เดนก็สังเกตเห็นรูลึก 2 เมตรที่ซ่อนอยู่ใต้อิฐอาคารที่ถูกทำลาย ในขณะที่เขากำลังยิงกระต่าย
อย่างไรก็ตาม แทนที่จะบอกเพื่อนร่วมทีม เขาตัดสินใจสำรวจอุโมงค์แบบโซโล ด้วยความคิดที่ว่า ‘มาก่อนได้ก่อน’
โชคไม่ดีที่สิ่งที่เขาพบในชั้นใต้ดินไม่ใช่มรดก สมบัติ หรืออะไรก็ตามที่เขาคาดหวัง แต่เป็นเส้นทางสลัวที่ทอดยาวและนำไปสู่จุดหมายที่ไม่รู้จัก เขาไม่คิดอะไรอีกต่อไป และปีนขึ้นไปบอกเฟลิกซ์กับเคธี่
เส้นทางสลัวทำให้เขาหวาดกลัว เขาไม่มีความกล้าที่จะเหยียบมันคนเดียว
หลังจากได้ยินข่าวนี้ เฟลิกซ์จึงตัดสินใจไม่รายงานสถานการณ์ให้คนอื่น ๆ ทราบเช่นกัน
ใครจะตำหนิเขาได้ คณะสำรวจมี ‘บลัดไลน์’ อย่างน้อย 54 คน โดยทุกคนมีเป้าหมายที่จะเป็นคนแรกที่ค้นพบสมบัติ
เฟลิกซ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่อ่อนแอที่สุดในทีม ไม่ปัญญาอ่อนที่จะละทิ้งข้อได้เปรียบดังกล่าวเพื่อตบหัวเจย์เดนที่คิดเหมือนเขาเลย
สำหรับเคธี่? เธอไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะไปกับพวกเขาเพียง 3 คน
แต่คำพูดที่ดึงดูดใจไม่กี่คำจากเฟลิกซ์ ก็ทำให้เธอทิ้งความกังวล และไปสำรวจเส้นทางกับพวกเขา
พวกเขาเดิน เดิน และเดินต่อไปเรื่อย ๆ เป็นเวลา 12 ชั่วโมง ก่อนที่พวกเขาจะพบประกายแสงสีทองที่ปลายเส้นทางในที่สุด หากร่างกายของพวกเขาไม่ได้รับการเสริมพลังจากการรวมสายเลือด พวกเขาคงจะเหนื่อยตายกลางทางไปแล้ว
พวกเขาวิ่งเข้าหามันด้วยท่าทางกระตือรือร้น อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาไปถึงสุดทางและเห็นแสงสีทองนั้นฉายออกมา พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมันตาถล่น แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
ประตูขนาดใหญ่ที่พังทลายมีหินอำพัน วัสดุที่หรูหราที่สุดชิ้นหนึ่งในจักรวาล ที่สามารถสกัดได้จากแกนชั้นนอกของดาวเคราะห์เท่านั้น และมีเงื่อนไขที่รุนแรงในการสร้าง
ทว่าอัญมณีล้ำค่าที่มีโอกาสเสี่ยงโชคเพียง 1 เดียวในดาวนี้ กลับถูกใช้ประดับประตูขนาดใหญ่ที่มีความสูง 50 เมตร ไม่ต้องพูดถึงความใหญ่ของมันเลย
พูดตรง ๆ พวกเขาเกือบจะตั้งคำถามกับตรรกะของตัวเอง
พวกเขาเพิ่งสรุปไปก่อนหน้านี้ ว่าดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นเมืองของเผ่าพันธุ์ระดับสูงในสมัยโบราณ
พวกเขารู้ว่าเผ่าพันธุ์เหล่านั้นเป็นลีกที่เหนือกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นในด้านความแข็งแกร่ง วัฒนธรรม ความมั่งคั่ง หรือแม้แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ไม่มีการเปรียบเทียบที่ยุติธรรมระหว่างทั้งสองฝ่าย
ข่าวนี้ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกขุ่นเคือง แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาตื่นเต้นมาก! ตื่นเต้นที่สิ่งที่อยู่หลังประตูนั้นกำลังจะเป็นของพวกเขา
พวกเขารีบเข้าไปในช่องว่างเล็ก ๆ ที่ด้านล่างของประตูที่พังทลายที่มีลักษณะคล้ายกับรูหนูในกำแพง
เฟลิกซ์นอนลงและคลานเข้าไป เขากินดินและฝุ่น แต่ดวงตาของเขาไม่เคยหยุดส่องแสงด้วยความยินดีแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากที่เขาผ่านไปแล้ว เคธี่และเจย์เดนก็ตามออกมาทีละคน
ทันทีหลังจากปัดฝุ่นบนชุด พวกเขาก็เงยหน้าขึ้นและจ้องมองอย่างตกตะลึงกับห้องโถงที่มีแท่นเล็ก ๆ ถูกมัดไว้กลางอากาศด้วยโซ่สีม่วงทั้ง 4 เส้น และรูปปั้นของทหารที่กำโซ่ไว้แน่น
ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจจริง ๆ คือเปลวไฟไร้สีที่ดูเหมือนหยดน้ำกลม ๆ มากกว่า ถ้ามันไม่หรี่แสงลงในบางครั้ง พวกเขาก็คงคิดว่ามันเป็นหยดน้ำจริง ๆ ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่เคยเห็นหรือได้ยินเกี่ยวกับเปลวไฟที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน
พวกเขารู้เพียงว่าพวกเขาแตะแจ็คพอต! ไม่มีทางที่เปลวไฟแปลก ๆ นี้จะไม่ใช่สมบัติธรรมชาติ ในสายตาของพวกเขา เปลวไฟต้องเป็นสมบัติสำหรับผู้ใช้ธาตุไฟ
แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีใครมีธาตุไฟ แต่พวกเขายังสามารถขายมันเพื่อซื้อ Supremacy Coins (เหรียญอำนาจสูงสุด) จำนวนมากใน Universal Virtual Reality (UVR) ได้
พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันทันที มีเปลวไฟเพียงดวงเดียว แต่มีคน 3 คน
เป็นที่ชัดเจนว่าการไว้วางใจให้ใครสักคนเก็บเปลวไฟไว้ในการ์ดอวกาศ ไม่ใช่ทางเลือกของพวกเขา พวกเขาอาจเป็นเพื่อนร่วมแคลน แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน
ทันใดนั้น! เฟลิกซ์พุ่งไปที่แท่นโดยไม่สนใจสีหน้าที่น่าเกลียดของเพื่อนร่วมทีม เขาไม่ได้ให้เวลาพวกเขาคิดแม้แต่วินาทีเดียว ก่อนที่จะบังคับให้พวกเขาต้องวิ่งไล่ตามเขาให้ทัน
กระนั้น เขาก็ลดความเร็วลงอย่างลับ ๆ ปล่อยให้ 2 คนนั้นแซงหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่สังเกตเห็นอะไรแปลก ๆ เกี่ยวกับฝีเท้าที่ช้าลงของเขา เนื่องจากพวกเขาคิดว่าเขาอาจจะยังเหนื่อยจากการเดินทางอันยาวนาน
เฟลิกซ์ยังคงลดความเร็วลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งหยุดลง และถอยห่างออกไปข้างหลุมที่พวกเขาพึ่งเข้ามา
ถ้า 2 คนนั้นไม่ได้โฟกัสสายตาทั้งหมดไปที่เปลวไฟไร้สี พวกเขาคงสังเกตเห็นว่าเขาถอยออกมาแล้ว
"โอ้ วิญญาณสดใหม่ที่ส่งตรงมาให้ข้าครอบครอง ไม่เลว"
ทันใดนั้น เฟลิกซ์ เคธี่ และเจย์เดน ต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงนางฟ้าดังขึ้นในใจ มันอ่อนหวานและน่าหลงใหลที่อาจทำให้แม้แต่มารเองก็ลดความระมัดระวังลง
เคธี่และเจย์เดน ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับวิญญาณเปลวไฟที่สุด หันหลังกลับทันที พวกเขาวางแผนจะวิ่งไปหาเฟลิกซ์ พวกเขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูด แต่พวกเขาจะไม่อยู่นิ่งเฉยแน่ ความรู้สึกในอกของพวกเขาบอกให้พวกเขาถอยห่างออกไปให้ไกลที่สุด
น่าเสียดาย ทันทีที่พวกเขาเข้าสู่อาณาเขตวิญญาณเปลวไฟและปลุกเธอขึ้น ชีวิตของพวกเขาก็ถึงวาระ
ฟุ่บ ฟุ่บ
เข็มเปลวไฟไร้สี 2 เล่มถูกยิงด้วยออกมาด้วยความเร็วแสงพุ่งตรงไปที่ศีรษะ เข็มเล่มหนึ่งแทงเข้าไปในหูของเจย์เดน และอีกเล่มทะลุเข้าไปในดวงตาของเคธี่
"อ๊ะๆๆๆ!!"
"อ๊าาาาาาาาา!!"
ก่อนที่สมองของเฟลิกซ์จะเข้าใจสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวด 2 เสียง ที่เหนือกว่าเสียงกรีดร้องใด ๆ ที่เขาได้ยินมาตลอดชีวิต
ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เพื่อนร่วมแคลนทั้ง 2 ซึ่งตอนนี้กำลังดิ้นไปมาราวกับปลาในอวน
ขาของเขาแข็งทื่อไม่ยอมให้เขาก้าวถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว เขาเอาแต่มองและกลัวจนแทบบ้า เคธี่ใช้สองนิ้วเจาะลึกเข้าไปในลูกตาของเธอ พยายามเอาเข็มนั้นออก อนิจจา เธอไม่ได้ขุดอะไรออกมานอกจากลูกตาของเธอด้วยมือสีซีดที่เปื้อนเลือด
แต่ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจ เพราะเธอเอาแต่กรีดร้องและอ้อนวอนให้ความเจ็บปวดหายไป น่าเศร้าที่ความปรารถนาของเธอไม่สำเร็จ และไม่มีใครมาช่วยเธอ เธอทิ้งเสียงครวญครางครั้งสุดท้ายไว้เพียงเท่านี้ก่อนจะเงียบไป
"ชิ เธอทนไม่ได้แม้แต่ขั้นตอนแรกของการครอบครอง"
เฟลิกซ์ที่ยังคงสับสน ได้ละสายตาจากศพของเคธี่ เป็นเจย์เดนที่เพิ่งพูดออกมา!
ดวงตาของเขาสบเข้ากับตาของเจย์เดน และรู้ทันทีว่าเขากลายเป็นคนอื่นไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เจย์เดนอ้าปากพยายามจะพูดอีกครั้ง ร่างกายของเขาก็เริ่มไหม้ มือและขาของเขากลายเป็นเถ้าไปก่อน ตามด้วยลำตัวและหัวของเขา
สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือโครงกระดูกไหม้ ๆ
“อึก! ล้มเหลวอีกแล้ว ข้าเบื่อที่แย่ ๆ นี่เต็มที ข้าถูกขังอยู่ในคุกนี่มา 20 ล้านปีแล้ว เชี่ยเอ้ย พอกันที!” วิญญาณเปลวไฟสาปแช่งในจิตใจของเฟลิกซ์ ปลุกเขาให้ตื่นจากอาการมึนงง
“เจ้าหนู อย่าทำให้ข้าผิดหวังเลยจะดีกว่า” เธอพูดอย่างเย็นชา
ไม่มีการชักช้า เฟลิกซ์หันหลังกลับและนอนราบกับพื้น พยายามคลานกลับเข้าไปในรูและออกจากสถานที่ต้องสาปนี้
ความคิดที่จะสู้ไม่ได้มีอยู่ในหัวเขาเลยแม้แต่น้อย เมื่อเขาเห็นความเร็วที่เข็มเหล่านั้นบินมา เขารู้ว่าความสามารถของสายเลือดทั้งหมดที่เขามี ไม่มีอะไรสามารถป้องกันมันได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าเขาเข้าไปในรู หัวของเขาจะได้รับการปกป้องอย่างสมบูรณ์จากเข็มเหล่านั้น ที่เห็นได้ชัดว่ามันมุ่งเป้าไปที่สมองของเขาและบุกเข้าสู่จิตสำนึกของเขา
“เจ้าคิดว่าก่อนหน้านี้ไม่มีคนใช้กลยุทธ์เดียวกันกับเจ้าหรือ” เธอหัวเราะเหมือนคนวิกลจริตและพูดว่า "ข้าอาจจะไม่ประสบความสำเร็จในการประสานจิตวิญญาณของเราเข้าด้วยกัน แต่อย่างน้อยข้าก็พรากความบริสุทธิ์ของรูก้นแกเก็บไว้ในคอลเลกชันของข้าได้"
เฟลิกซ์รู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน เฟลิกซ์จึงพยายามคลานและปกป้องก้นของเขาไปด้วย แต่ทว่ารูนั้นแน่นเกินกว่าจะให้เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวก่อน!! อย่าพึ่ง!!” เขาตะโกนโดยหวังว่าจะซื้อเวลาได้ 2-3 วินาทีเพื่อผ่านไปยังอีกฝั่งหนึ่ง
น่าเสียดาย ขณะที่ช่วงลำตัวของเขาหลุดเข้าไปในรูแล้ว แต่ร่างกายส่วนล่างของเขายังอยู่ในที่โล่ง เขาได้ยินวิญญาณเปลวไฟพูดด้วยความพอใจว่า "สมบูรณ์แบบมาก"
"โนวววววว!!!" เขากรีดร้องโดยไม่รู้ตัว ขณะที่เขารู้สึกว่าก้นของเขากำลังตกเป็นเป้าของผู้ร้ายข่มขืน
ฟุ่บ!
เข็มพุ่งตรงไปที่ทวารหนัก ราวกับลูกดอกพุ่งไปที่เป้า วิญญาณเปลวไฟต้องฝึกฝนมานับพันครั้งถึงได้มีความแม่นยำเช่นนี้
"อ๊าาาาาาาาา!!!"
"ก้นฉันกำลังละลาย!!"
"ฉันขอโทษที่ปลุกเธอ! ได้โปรดปล่อยฉันไป!!"
ต่อจากนี้ ซิมโฟนีแห่งเสียงกรีดร้องและอ้อนวอนก็ดังก้องในห้องโถงและทางเดินสลัว เฟลิกซ์พยายามเคลื่อนไหวเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด แต่หลุมที่เขาหมุดเข้าไปทำให้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ดังนั้นเขาจึงคลานกลับโดยที่มีใบหน้าเปื้อนดินและมือที่กำแก้มก้นแน่น
หลังจากพาร่างกายออกมาได้แล้ว เขาก็เริ่มกลิ้งจากรูไปยังที่ซึ่งศพของเคธี่นอนอยู่ทันที ขณะทิ้งรอยเลือดไว้เป็นทางยาว ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองไม่ใช่เรื่องตลก
***
ภายในห้วงจิตสำนึกของเฟลิกซ์...
เปลวเพลิงไร้สีค่อย ๆ ก่อตัวเป็นรูปร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีผมสีแดงเข้มเป็นลอนยาวประบ่า ซึ่งส่องประกายระยิบระยับราวคริสตัล
นัยน์ตาสีเหลืองซิทรินส่องแสงราวกับดวงดาว คิ้วสีดำที่ดูวิจิตรตระการตา ขณะที่ข้างใต้นั้น มีจมูกสูงโด่งที่ดูสง่างาม และริมฝีปากสีแดงสดที่เย้ายวน
ลักษณะที่มีเสน่ห์ทั้งหมดนั้นบรรจุอยู่บนใบหน้าขาวไร้ที่ติและสง่างาม บนเรือนร่างที่โค้งราวกับนาฬิกาทรายที่มีขนาดหน้าอกและก้นที่สมบูรณ์แบบ
ใครก็ตามที่ได้เห็นความงามจากนอกโลกนี้ ต้องยอมรับว่ามีเพียงความงามของจักรวาลเท่านั้นที่สามารถเปรียบเทียบกับเธอได้ ไม่ว่าพวกเขาจะมีเชื้อชาติหรือเพศอะไรก็ตาม
น่าเสียดายที่ภาพอันน่าทึ่งนี้พังทลายลงทันที เมื่อเธอเริ่มสำรวจร่างกายตัวเองขณะที่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ในที่สุด! หลังจาก 20 ล้านปีที่ถูกจองจำ และวิญญาณนับล้านที่ข้าไม่สามารถประสานด้วยได้ ในที่สุด! ข้าก็พบวิญญาณที่เข้ากับข้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ!”
"ข้าแอสน่า ต้นกำเนิดแห่งกฎ ในที่สุดก็เป็นอิสระ!"
ทันใดนั้น เธอก็สงบลงและคิดว่า 'ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าต้องควบคุมจิตวิญญาณนี้ แม้ว่าข้าจะต้องเสียสละส่วนหนึ่งของกฎไปก็ตาม ข้าปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปไม่ได้!'
ในไม่ช้าร่างของเธอก็เริ่มสลายเป็นหมอกที่แผ่กระจายไปทั่วทะเลแห่งสติ
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เธอพยายามจุดไฟในหมอกเพื่อให้มันเผาผลาญจิตสำนึกนี้และเข้ามาแทนที่มัน เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความโกรธและความอัปยศอดสูก็ดังก้องไปทั่ว "ข้ามศพฉันไปก่อนเถอะ ยัยแม่มดเฒ่า!"
ทะเลแห่งจิตสำนึกที่สงบนิ่งในไม่กี่วินาทีก่อน เริ่มลอยขึ้นพร้อมกับคลื่นกระทบผนัง
เสียงคำรามของทะเลปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ขณะที่คลื่นยังคงซัดเข้าหาบาเรียวิญญาณและพยายามจะทำลายมัน
แอสน่าคิดออกอย่างรวดเร็วว่าเฟลิกซ์กำลังทำอะไร และตะโกนด้วยเสียงที่หวาดกลัว “หยุดนะ ไอ้โง่! แกพยายามจะฆ่าตัวตายไปชั่วนิรันดร์งั้นเหรอ!”
เธอรีบเกลี้ยกล่อมเขาอย่างมีเหตุมีผล "ได้โปรดหยุดเถอะ แม้ว่าข้าจะทำลายทะเลจิตสำนึกของเจ้า เจ้าก็ยังสามารถฟื้นคืนชีพได้ในภายหลัง หรืออย่างน้อยก็เกิดใหม่ในรูปแบบอื่น แม้ว่าเจ้าจะจุดชนวนจิตวิญญาณของเจ้า ข้าก็จะไม่ตายไปกับเจ้า!"
เฟลิกซ์ที่เพิ่งตื่นขึ้นจากประสบการณ์ที่บอบช้ำที่สุดในชีวิต ไม่ฟังเรื่องเหลวไหลของเธออีกต่อไป "ฉันอยากจะเกิดใหม่เป็นความว่างเปล่าในจักรวาล ดีกว่าให้แกได้สิ่งที่แกต้องการ"
"นี่สำหรับความบริสุทธิ์ของก้นฉัน!" เขาตะโกนครั้งสุดท้ายเมื่อบาเรียวิญญาณของเขาเริ่มพังทลายลงในทะเลแห่งจิตสำนึก
แคร็กกกกก!
“ไอ้บ้าาาา!!” แอสน่ากรีดร้องด้วยความสิ้นหวัง ทันใดนั้น เธอก็กลายเป็นบ้าไปแล้วเหมือนกัน
'ข้าไม่มีทางปล่อยให้โอกาสนี้ไป ข้าจะเริ่มกระบวนการผสานจิตวิญญาณกับเขา ถ้ามันถูกทำลาย การดำรงอยู่ของข้าก็จะถูกลบไปด้วย เพราะจิตวิญญาณของเราเชื่อมต่อกัน แม้ว่าจะไม่ใช่อิสระที่ข้าแสวงหา แต่ข้าอยากจะถูกลบไปมากกว่าใช้เวลาอีกวินาทีในคุกนี่'
ไม่นาน เธอก็เสร็จสิ้นกระบวนการหลอมรวม เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรอให้การระเบิดเกิดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่สงบและอ่อนโยน
ภายในห้องโถง
การระเบิดที่มีพลังระดับเดียวกับระเบิดนิวเคลียร์ อาวุธที่เก่าแก่ของมนุษย์โลกก็ได้ดับลงอย่างกะทันหัน มันทำลายแค่กระดูกของเจย์เดนและศพของเคธี่ ส่วนที่เหลือ?
ยังคงไม่มีรอยขีดข่วน…
...
ในขณะที่เกิดการระเบิด ใกล้กับแกนกลางของดาราจักรเดียวกันกับที่เฟลิกซ์อยู่ในขณะนี้
ดวงตาที่มีขนาดทางดาราศาสตร์เปิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ รูม่านตาของมันมืดเหมือนหลุมดำ ไม่มีอนุภาคแสงใดถูกสะท้อน
มันเหลือบมองไปยังทิศทางของการระเบิดและคิดว่า 'มีอะไรเกิดขึ้นกับสถานที่คุมขังรึเปล่า'
เขายังคงมองไปที่จุดเดิม และสร้างกระจกที่แสดงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยานอวกาศมาถึงซากโบราณสถาน
'น่าสนใจ ในที่สุดแม่มดก็พบวิญญาณที่เข้ากันได้ ที่จะรักษาจิตวิญญาณที่ไร้ยางอายของเธอไว้ได้โดยไม่มีผลกระทบ'
จากนั้นเขาก็เริ่มหัวเราะออกมาดัง ๆ หลังจากเห็นเฟลิกซ์จุดชนวนตัวเองเนื่องจากความอัปยศอดสู
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าสมควรได้รับมันแล้วสาวน้อย ถ้าพวกคนแก่หัวโบราณเหล่านั้นเห็นสิ่งที่เจ้าทำ พวกเขาคงจะประณามเจ้าที่ทำลายภาพลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ยูนิจิน”
“แต่ในเมื่อเจ้าแสวงหาอิสรภาพมากขนาดนั้น ถึงขั้นพยายามลบล้างการดำรงอยู่ของเจ้า ข้าจะแหกกฎของเผ่าพันธุ์เราและยื่นมือเข้าช่วยสักครั้ง”
จากนั้นเขาก็มองไปที่การระเบิด และทันใดนั้นเวลาก็หยุดลงที่ตรงนั้น
ดวงตามองลึกลงไปในระเบิด และเห็นวิญญาณที่กำลังถูกดับ จากนั้นมันก็ส่งสองนิ้วเดินทางผ่านกาลอวกาศไปคว้ามันมาอย่างรวดเร็ว
…
2 นาทีต่อมา
ดวงตามองผ่านวิญญาน และพบว่าวิญญาณทั้งสองได้รวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว แต่วิญญาณของเฟลิกซ์เป็นฝ่ายควบคุม ดังนั้น ถ้าเขาต้องการให้แอสน่ามีโอกาสครั้งที่สองในชีวิต เฟลิกซ์จะได้รับประโยชน์จากมันมากกว่าเธอ เพราะเธอทำได้แค่มองผ่านสายตาของเขาเท่านั้น ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้
"ฮิฮิ นั่นมันเป็นเรื่องที่เธอต้องแก้ ไม่ใช่ข้า" เขาหัวเราะเบา ๆ อย่างขบขันกับลูกแก้ววิญญาณเป็นครั้งสุดท้าย แล้วโยนมันเข้าไปที่รูม่านตาขนาดใหญ่ของตัวเอง
ดวงตาถูกปิดลงอย่างช้า ๆ ด้วยความอ่อนล้า หลังจากใช้กฎกาลอวกาศมากเกินไปเพื่อส่งพวกเขาไปยังไทม์ไลน์อื่น ไทม์ไลน์ที่เหมือนกับไทม์ไลน์นี้
"ขอให้เดินทางปลอดภัย" เขาพูดเป็นครั้งสุดท้าย
-----------------------------------------
เพจ FC-Translate