WS บทที่ 171 คาถาระดับหนึ่งอันที่สอง
เมอร์ลินมีคาถาทั้งหมดหกคาถา ก่อนที่เขาจะออกจากดินแดนมนต์ดำ พ่อมดลีโอได้มอบคาถาระดับแรกที่จำเป็นทั้งหมดให้เขา ดังนั้นเขาจึงไม่ขาดแคลนตำราคาถาระดับแรก ดังนั้นเขาจะต้องเลือกลำดับถัดไปของคาถาระดับหนึ่งเขาให้ดี
คาถาระดับหนึ่งที่เมอร์ลินเลือกก่อนหน้านี้คือคาถาป้องกันธาตุดินรูปปั้นผู้พิทักษ์ซึ่งคาถานี้ช่วยเขาได้มากจริงๆ หากเขาไม่มีมัน เขาคงไม่สามารถรับมือกับเหล่านักเวทย์ที่ลองการ์ดีเกณฑ์มาได้ โดยเฉพาะกับคาถาระดับสองของพ่อมดเฮกฮาร์ เขาคงไม่สามารถรับมือด้วยคาถาโล่ปฐพีอย่างแน่นอน
ตอนนี้เขามีพลังป้องกันที่ค่อนข้างโอเคแล้ว ทำให้เขากำลังมองไปที่คาถาโจมตี เพราะในท้ายที่สุดแล้วคาถาลูกไฟกับข่ายสายฟ้าไม่เพียงพอที่จะทำลายการป้องกันของคาถาป้องกันระดับหนึ่งได้
ที่เมอร์ลินสามารถเอาชนะเฮกฮาร์ได้ ส่วนหนึ่งเพราะเขาได้ใช้คาถาหมอกรัตติกาลแบบเสริมพลังและทำให้เขาตกสู่ภาพลวงตา จากที่เห็นลำพังแค่ลูกไฟกับข่ายสายฟ้าไม่พอที่จะเอาไว้สังหารเฮกฮาร์
เมอร์ลินคิดเรื่องนี้มานานแล้ว แม้ว่าพลังโจมตีของเขาจะไม่เพียงพอ ถ้าเขาเปรียบเทียบระหว่างเพลิงพิโรธกับเขตแดนแสงดำ เขารู้สึกว่าอย่างหลังมันจะมีประโยชน์มากกว่า
หากเขาร่ายเขตแดนแสงดำ พ่อมดที่มีพลังจิตเทียบได้กับนักเวทย์ระดับสามก็ไม่มีทางหลุดจากมนต์สะกดของมันได้
ดังนั้น เมอร์ลินจึงตัดสินใจเอาเขตแดนแสงดำเป็นคาถาระดับหนึ่งอันที่สองของเขา!
"เดอะเมทริกซ์ วิเคราะห์โครงสร้างเวทมนต์ของคาถาเขตแดนแสงดำ!"
บี๊บ สร้างภารกิจสำเร็จ เริ่มต้นทำการวิเคราะห์!
เดอะเมทริกซ์เริ่มวิเคราะห์โครงสร้างเวทมนต์ ขณะเดียวกันเมอร์ลินรออย่างเงียบ ๆ ด้วยการทำสมาธิ
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ในที่สุดเดอะเมทริกซ์ก็ได้ทำการวิเคราะห์เสร็จ อย่างไรก็ตาม เวลาที่ใช้ในการวิเคราะห์นานกว่าปกติเล็กน้อย
บี๊บ แบบจำลองคาถาเขตแดนแสงดำได้ผลลัพธ์ 111,368รูปแบบ!
จำนวนผลลัพธ์มีความใกล้เคียงกับรูปปั้นผู้พิทักษ์ที่เขาทำการวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ ต่อไปเขาต้องการหาความเข้ากันได้ระหว่างหมอกรัตติกาลกับเขตแดนแสงดำ
"เดอะเมทริกซ์ วิเคราะห์ความเข้ากันได้ระหว่างเขตแดนแสงดำและหมอกรัตติกาล!"
เดอะเมทริกซ์เริ่มวิเคราะห์ความเข้ากันได้ระหว่างคาถาทั้งสองอย่างรวดเร็ว ความเข้ากันได้เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างคาถาขั้นสูงโดยมีคาถาเริ่มต้นเป็นพื้นฐาน
บี๊บ ทำการวิเคราะห์เสร็จสิ้นแล้ว!
เดอะเมทริกซ์ได้เสร็จสิ้นการวิเคราะห์ เมอร์ลินดูผลลัพธ์อย่างรวดเร็วและพบว่าความเข้ากันได้ระหว่างเขตแดนแสงดำกับหมอกรัตติกาลค่อนข้างสูง หนึ่งในโครงสร้างเวทมนต์ที่ทำการวิเคราะห์มามีความเข้ากันได้มากถึง 97% ซึ่งของรูปปั้นผู้พิทักษ์นั้นทำไม่ได้สูงขนาดนี้
จากนั้น เมอร์ลินก็เริ่มเลือกแบบจำลองคาถาที่ดีที่สุดโดยพิจารณาจากความเข้ากันได้ ความเสถียร และพลัง
เขาเคยชินกับระบวนการนี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ใช้เวลามากในการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา
"เขตแดนแสงดำ! มาเริ่มจำลองมันด้วยพลังจิตกันเลย..."
หลังจากเลือกโครงสร้างเวทมนต์แล้ว เมอร์ลินก็ควบคุมพลังจิตของเขาและเริ่มจำลองคาถาเขตแดนแสงดำทีละน้อย
อย่างไรก็ตาม หลังจากชำเลืองมองไปชั่วครู่ เมอร์ลินก็สังเกตเห็นว่าโครงสร้างเวทมนต์ของมันมีซับซ้อนมาก มันซับซ้อนยิ่งกว่าคาถารูปปั้นผู้พิทักษ์
อันที่จริง ยิ่งโครงสร้างเวทมนต์ซับซ้อนเท่าใด พลังจิตก็จะยิ่งต้องใช้มากขึ้นเท่านั้น เขาได้ลองพิจารณาอีกทีและพบว่าโครงสร้างมันซับซ้อนมากซึ่งมันมีความซับซ้อนยิ่งคาถาระดับสองบางคาถาซะอีก
เมอร์ลินได้จำลองไปหนึ่งในสามของโครงสร้างคาถาเขตแดนแสงดำไปสักพักแล้วจากนั้นเขาก็หยุด เขาลืมตาและส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
"มันซับซ้อนเกินไปและฉันมีพลังจิตไม่เพียงพอ ดูเหมือนว่าถ้าฉันต้องการสร้างเขตแดนแสงดำให้สำเร็จ ฉันต้องมีพลังจิตระดับสองสูงสุดหรือระดับสาม!"
แม้ตอนนี้เขาจะเพิ่มพลังจิตมาได้พอสมควรแล้วแต่เขาก็ไม่สามารถสร้างคาถาเขตแดนแสงดำได้
ถ้าเขายังฝืนจำลองมันต่อ เขาอาจจะตกอยู่ในอันตราย เมอร์ลินจึงเลือกที่จะหยุดทำ หากปราศจากความมั่นใจอย่างแท้จริง
แม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถสร้างคาถาเขตแดนแสงดำได้ แต่เขาก็ทำให้ได้อย่างรวดเร็วและหันไปเลือกคาถาอื่น
คาถาน้ำค้างเยือกแข็งเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะหากเขาสร้างสำเร็จ เมอร์ลินก็จะผ่านเงื่อนไขข้อหนึ่งในการฝึกฝนความสามารถของปีศาจแพนดอร่า ดัชนีเยือกแข็ง เขาสามารถเริ่มฝึกฝนได้ทันที หลังจากที่เขาพบไขกระดูกน้ำแข็งร้อยปีในอนาคต
แม้เขาจะไม่รู้ว่าความแข็งแกร่งของดัชนีน้ำแข็งมีมากเพียงใดแต่เขาก็ไม่เสียหายหากเขาจะฝึกฝนมัน อย่างน้อย ๆ ความแข็งแกร่งของดัชนีเยือกแข็งต้องมีมากกว่าน้ำค้างเยือกแข็ง
แม้ว่าเขาจะถูกดึงดูดด้วยดัชนีน้ำแข็งแต่เมื่อเขาได้ลองพิจารณาดีๆ คาถาน้ำค้างเยือกแข็งเป็นเพียงคาถาควบคุม แม้ว่าจะมีพิษน้ำแข็ง แต่ความสามารถในโจมตียังมีพลังน้อยกว่าคาถาเพลิงพิโรธ
พลังจิตในปัจจุบันของเมอร์ลินสามารถสร้างได้เพียงหนึ่งคาถาเท่านั้น ดังนั้น เขาจึงต้องตัดสินใจระหว่างน้ำค้างเยืองแข็งกับเพลิงพิโรธ
“ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นคาถาเพลิงพิโรธก่อนดีกว่า มันจะทำให้ฉันมีคาถาป้องกันและโจมตีอย่างละหนึ่ง มันจะช่วยทำให้พลังต่อสู้ของฉันสมดุล!”
หลังจากพิจารณามาอย่างยาวนาน ในที่สุดเมอร์ลินก็ตัดสินใจเลือกคาถาเพลิงพิโรธ ส่วนเรื่องของดัชนีเยือก ตอนนี้เขายังไม่มีไขกระดูกน้ำแข็งร้อยปี ถึงเขาจะสร้างคาถาน้ำค้างเยือกแข็งได้เขาก็ไม่สามารถฝึกฝนดัชนีเยือกแข็งได้อยู่ดี
เขาได้เลือกโครงสร้างเวทมนต์ของคาถาเพลิงพิโรธที่เขาตั้งใจจะจำลองก่อนหน้านี้ขึ้นมา ก่อนหน้านี้พลังจิตของเขาไม่เพียงพอจึงทำให้ล้มเหลวในการสร้างคาถา
จากนั้น เมอร์ลินก็หลับตาลงและโครงสร้างคาถาเพลิงพิโรธได้ปรากฏขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของเขาในรูปสามมิติ
เมอร์ลินควบคุมพลังจิตของเขาและเริ่มจำลองแบบจำลองคาถาเพลิงพิโรธ
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง สามชั่วโมง...
จนกระทั่งผ่านไปถึงหกชั่วโมง จิตใต้สำนึกของเมอร์ลินก็สั่นสะเทือน ออร่าอันร้อนแรงปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ธาตุไฟนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นรอบข้างเมอร์ลิน
พลังธาตุดั้งเดิมไม่มีรูปร่างและสี อย่างไรก็ตาม หากพวกมันรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก พวกมันก็จะปรากฎเป็นรูปร่าง ตัวอย่างเช่น เปลวไฟเกิดจากธาตุไฟนับไม่ถ้วน เช่นเดียวกับผลึกน้ำแข็งที่เกิดจากธาตุน้ำแข็งจำนวนมาก
ตอนนี้เขาสามารถสังเกตพลังธาตุสีเพลิงได้รอบ ๆ เมอร์ลิน นี่แสดงให้เห็นถึงความอิ่มตัวของธาตุไฟรอบ ๆ เมอร์ลิน!
"ฉันทำได้!"
เมอร์ลินลืมตาขึ้นและมีความตื่นเต้นปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา ในที่สุดเขาก็สร้างคาถาระดับแรกเพลิงพิโรธได้สำเร็จ!
โครงสร้างเวทมนต์ในจิตใต้สำนึกของเมอร์ลินกำลังดูดซับพลังธาตุไฟจากรอบด้าน ทำให้พลังเวทย์ถูกสะสมอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ภายในจิตใต้สำนึกของเมอร์ลินมีโครงสร้างเวทมนต์ระดับหนึ่งถึงสองอัน ส่วนสี่อันที่เหลือเป็นโครงสร้างคาถาระดับศูนย์ การมีอยู่ของโครงสร้างคาถาระดับหนึ่งทั้งสองสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อโครงสร้างที่เหลือ ถึงตอนนี้จะไม่เป็นอะไรมากแต่ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในระยะยาว
ที่แย่ที่สุดก็คืออาจจะเกิดการสลายของโครงสร้างเวทมนต์โดยสมบูรณ์ ดังนั้น เมอร์ลินจึงยังคงไม่สามารถนิ่งนอนใจในเรื่องนี้ได้
เขาจะต้องสร้างคาถาระดับหนึ่งให้โดยเร็วที่สุดเพื่อรักษาสมดุลระหว่างโครงสร้างเวทมนต์ในจิตใต้สำนึกของเขา
“เอาล่ะ มาทดสอบพลังกัน!”
เมอร์ลินต้องการรู้ว่าพลังของเพลิงพิโรธ มันแข็งแกร่งเพียงใด เขาจึงชี้นิ้วไปที่ด้านหน้าและเสกผลึกน้ำแข็งขึ้นมา
"แช่แข็ง!"
เมอร์ลินร่ายแช่แข็งอย่างต่อเนื่องหลายสิบครั้ง สลับกับธารน้ำแข็ง ทำให้ผลึกน้ำแข็งที่ก่อตัวขึ้นนั้นแข็งแกร่งมาก
หากใช้ลูกไฟ มันต้องใช้เวลาพอสมควรในการละลายผลึกน้ำแข็งที่อยู่เบื้องหน้าเขา
“เพลิงพิโรธ!”
ทันใดนั้น เมอร์ลินก็ร่ายเพลิงพิโรธใส่ผลึกน้ำแข็งที่เขาเพิ่งสร้างขึ้น ทันใดนั้น รัศมีที่อันร้องแรงก็ปรากฏขึ้นและอุณหภูมิในห้องสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
เปลวไฟของเพลิงพิโรธไม่ได้มีลักษณะเป็นลูกไฟ มันเป็นแนวไฟที่พุ่งขึ้นไปในอากาศ หมุนไปรอบ ๆ ผลึกน้ำแข็งบนพื้น
ไฟแต่ละเส้นของเพลิงพิโรธถูกบีบอัดให้เป้นรูปร่าง ดังนั้นมันจึงดูไม่เสถียรอย่างยิ่ง เมื่อถึงเป้าหมายก็จะระเบิดออกมา
นี่คือเหตุผลว่าทำไมมันถึงถูกตั้งชื่อว่าเป็นเพลิงพิโรธ
“บูม! บูม! บูม!”
หลังจากที่แนวไฟสัมผัสกับผลึกน้ำแข็ง เปลวไฟที่ไม่เสถียรและถูกบีบอัดอย่างแรงก็ระเบิดทันที พลังของมันแข็งแกร่งกว่าลูกไฟยักษ์ของเมอร์ลินมาก
ผลึกน้ำแข็งเหล่านั้นละลายหมดในพริบตา น้ำที่เหลือจากผลึกที่หลอมเหลวได้ระเหยกลายเป็นไอด้วยอุณหภูมิสูง มีเพียงหลุมดำที่ไหม้เกรียมเท่านั้นที่ก่อตัวขึ้นบนพื้น
เมอร์ลินอดไม่ได้ที่จะตกใจ พลังของเพลิงพิโรธอยู่เหนือความคาดหมายของเขาไปมาก ในตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นเพียงคาถาระดับหนึ่งที่ค่อนข้างธรรมดาแต่เขาไม่คิดว่ามันจะแข็งแกร่งขนาดนี้ เมื่อพิจารณาจากพลังของเปลวไฟ ไม่เพียงแต่จะทำให้ผลึกน้ำแข็งละลายเท่านั้นแต่ยังสร้างระเบิดขนาดใหญ่ได้ด้วย
อันที่จริง เมอร์ลินไม่เข้าใจว่าทำไมคาถาเพลิงพิโรธจึงเป็นคาถาทั่วไปแต่มันมีพลังอันมหาศาล ด้วยลักษณะทั้งสองนี้มีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างมาก เขาเข้าใจว่านักเวทย์หลายคนเลือกที่จะสร้างเพลิงพิโรธนั้นเนื่องจากความสามารถในการโจมตีที่แข็งแกร่งของมัน
เพลิงพิโรธแบบธรรมดานั้นทรงพลังอยู่แล้ว ถ้าหากเป็นแบบเสริมพลังมันจะแข็งแกร่งขนาดไหน?
เมอร์ลินไม่ได้ทำการทดสอบต่อ เนื่องจากเขาพอใจกับประสิทธิภาพของมันมาก
ถ้าเขาเจอพ่อมดเฮกฮาร์อีกครั้ง เมอร์ลินสามารถทลายพลังป้องกันของเขาโดยอาศัยความรุนแรงของเพลิงพิโรธและฆ่าเขาโดยไม่ต้องร่ายหมอกรัตติกาลแบบเสริมพลัง!