139-140
9/10
Ep.139
ซูเฉินนึกถึงภูมิประเทศบนแผนที่ของเกาะเฉียนหยู และพบว่ามีสถานที่อย่างเทือกเขาเฟิงหลวนอยู่จริงๆ
นอกจากนี้ บริเวณใกล้เคียงยังมีสถานชุมชนขนาดกลางที่ชื่อว่า ‘ชางเยว่’ อยู่อีกด้วย
“ในเมื่อมีหินต้นกำเนิดพลังงานเลเวล 3 อยู่ที่เทือกเขาเฟิงหลวน แถมข่าวนี้ยังตกมาถึงคุณ ฉะนั้นคนอื่นๆก็น่าจะรู้เหมือนกัน แล้วทำไมถึงไม่มีใครไปขุดมัน?” ซูเฉินรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
มูลค่าของหินต้นกำเนิดพลังงานเลเวล 3 น่ะสูงมาก แค่ก้อนเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะแลกเปลี่ยนเป็นหินพลังงานเลเวล 2 ได้หลายสิบก้อน หากนำไปแลกเป็นหินพลังงานธรรมดา จะสามารถแลกได้ถึงหลายร้อยก้อน
ซึ่งตามหลักเหตุผล ของดีๆแบบนี้น่าจะถูกคนอื่นแย่งไปตั้งนานแล้ว ยังจะเหลือให้พวกซูเฉินขุดอีกหรือ?
หยางหลิงเทียนอธิบายว่า “เพราะที่นั่นมีฝูงหมูป่ากระหายเลือดอาศัยอยู่ จำนวนมากเกือบ 300 ตัว แถมในฝูงยังมีเลเวล 2 อีกหลายตัว เลยไม่มีใครกล้าเข้าไปรุกรานถิ่นของพวกมัน”
“แต่ผมกล้า พรุ่งนี้พวกเราจะไปเทือกเขาเฟิงหลวนกัน” ซูเฉินตัดสินใจ
เทือกเขาเฟิงหลวน ไม่เพียงแต่มีหินต้นกำเนิดพลังงานเลเวล 3 เท่านั้น แต่ยังมีฝูงสัตว์กลายพันธุ์อีก 300 ตัว ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็มากพอที่จะทำให้หัวใจเขาเต้นแรง
หลังจากปรึกษากับหวู่หยาง ซูเฉินก็ขอตัวไปพูดคุยกับคนอื่นๆอีกสักพัก
จากนั้นก็หลับพักผ่อน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ซูเฉินและคนอื่นๆขึ้น [รถศึกอัจฉริยะ] ขณะที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาเฟิงหลวน เสียงสัญญาณเตือนภัยบนหน้าจอควบคุมส่วนกลางก็ดังขึ้น
“คำเตือน รถฐานทัพสามคันกำลังวิ่งตรงมาทางเราด้วยความเร็วสูง ปัจจุบันห่างกันน้อยกว่า 1 ไมล์ โปรดเตรียมรับมือล่วงหน้า”
ได้ยินแบบนั้น ซูเฉินสั่ง [รถศึกอัจฉริยะ] ให้หยุดทันที หรี่ตามองออกไปนอกตัวรถ
ในวันสิ้นโลก คนที่สามารถเป็นเจ้าของรถฐานทัพได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา และการที่พวกมันปรากฏขึ้นพร้อมกันถึงสามคัน เห็นได้ชัดว่าไม่ควรประมาทอีกฝ่าย
ไม่กี่นาทีต่อมา รถทั้งสามคันก็กระจายตัว แยกกันล้อมรอบ [รถศึกอัจฉริยะ]
“ซูเฉิน พวกเขาไม่ได้มาดี” หวู่หยางเตือน สีหน้าเขาตึงเครียดเล็กน้อย
ทันทีที่มาถึง อีกฝ่ายก็ตีวงล้อมกรอบทันที คล้ายกลัวว่าพวกซูเฉินจะหนีไป มาทรงนี้ไม่น่าจะคิดดี มีเจตนาร้ายแน่นอน
“ลงไปดูกันเถอะ” ซูเฉินไม่ใส่ใจมากนัก ค่อยๆเดินลงจากรถ
หากผู้มาเยือนเป็นตัวร้ายที่คิดขัดขวางเขา ที่นี่ก็จะกลายเป็นหลุมฝังศพของพวกมัน
ไม่ว่าภูมิหลังของอีกฝ่ายจะเป็นใคร ตราบใดที่กล้ายั่วโมโหซูเฉิน นั่นคือการรนหาที่ตาย
ขณะเดียวกันกับที่ซูเฉินก้าวลงจากรถ ผู้คนนับสิบลงจากรถฐานทัพทั้งสามคัน รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เว้นระยะห่างออกมา ยืนเผชิญหน้ากับซูเฉิน
ทางด้านซูเฉิน หวู่หยางกับหยางหลิงเทียนเดินตามลงไปติดๆ ยืนขนาบซ้ายขวา คอยเฝ้าระวังอยู่เสมอ
“คุณเป็นใคร มาขวางทางพวกเราทำไม” ซูเฉินมองไปที่อีกฝ่าย ตะโกนถาม
“เจ้าหนู วันก่อนแกเพิ่งไปที่เมืองจิงกังมาใช่ไหม?”
ฝั่งตรงข้าม เป็นชายวัยกลางคนสวมชุดจีนดูน่าเกรงขาม กำลังจ้องมองซูเฉินด้วยความเย็นชา
ซูเฉินรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้คุ้นหน้ามาก แต่จำไม่ได้ว่าเคยเจอกันที่ไหน”
แต่เขาไม่คิดเสียเวลานึกถึงมัน แสยะยิ้มเย็น “ฉันจะเคยหรือไม่เคยไปเมืองจิงกัง มันเกี่ยวอะไรกับพวกคุณด้วย?”
“ท่านเจ้าเมือง เป็นเขา รถสีเงินขาวคันนี้แหละที่ฉันเห็นในวันนั้น”
ขณะนั้นเอง ชายอ้วนคนหนึ่งเดินตามชายน่าเกรงขามเข้ามา เอ่ยยืนยัน
“ไอ้หนู แกคือคนที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ในเมืองจิงกังอย่างไม่เลือกหน้า แถมยังบังอาจฆ่าลูกชายของฉัน วันนี้แกจะต้องถูกสับเป็นหมื่นๆชิ้น!” ชายน่าเกรงขามขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สบถด่าซูเฉิน
“ที่แท้แกก็คือหวงคัง เจ้าเมืองจิงกังนี่เอง” ซูเฉินนึกออกทันที
มิน่าเล่าเขาถึงได้รู้สึกคุ้นๆ แค่ไม่ทันคิดว่าอีกฝ่ายเป็นพ่อของหวงจวินหลินก็เท่านั้นเอง
“หวงคัง แกต้องการล้างแค้นให้ลูกชายสินะ?” ซูเฉินหรี่ตาลง แสยะยิ้มแดกดัน “วันก่อนฉันไล่ฆ่าไปทั้งเมืองจิงกัง ลูกชายแกเองก็ตาย แต่ทำไมตอนนั้นถึงทำตัวเป็นเต่าหัวหด? ไม่กล้าเสนอหน้าออกมาเล่า?”
10/10
Ep.140
“วันนั้นบิดาไม่ได้อยู่ในเมือง มิฉะนั้นมีหรือแกจะหนีรอดไปได้?” หวงคังคำราม สีหน้าเริ่มแดงก่ำ
ในความเป็นจริง วันที่เกิดเรื่องเขาก็อยู่ในเมืองจิงกังนั่นแหละ แต่เป็นเพราะหวาดกลัวในความแข็งแกร่งของซูเฉิน เลยไม่กล้าแสดงตัว
และเรื่องนี้ สำหรับเขาแล้ว มันคือความอัปยศอดสู รู้สึกอับอายทุกครั้งที่มีคนพูดออกมา
“อ้องั้นหรอ” ซูเฉินถูจมูกเขา เอ่ยยิ้มเยาะ “งั้นวันนี้ฉันจะให้โอกาสแก มาสู้กันตัวต่อตัว แก้แค้นให้ลูกชายขยะนั่นซะ!”
“แก ..!” มุมปากของหวงคังสั่นเทาด้วยความโกรธ
หากมีความกล้าที่จะต่อสู้ตัวต่อตัวกับซูเฉิน เขาคงกระโจนเข้าใส่ซูเฉินตั้งแต่ในเมืองจิงกังแล้ว ไม่ต้องมาทำตัวเฉกเช่นเต่าหัวหดแบบนี้หรอก
และในครั้งนี้ เหตุผลที่กล้าออกมาล่าซูเฉิน นั่นเพราะเขาได้เชิญผู้วิวัฒนาการเลเวล 3 มาด้วยถึงสองคน
หากเขาและอีกสองคนรวมพลังกัน ก็น่าจะมากพอที่จะสังหารซูเฉินได้
“อ้าวทำไมไม่ตอบเล่า? เกิดกลัวขึ้นมารึไง? นี่น่ะหรือศักดิ์ศรีในฐานะเจ้าเมือง ที่แท้ก็เป็นเต่าหัวหดจริงๆ” ซูเฉินกล่าวล้อเลียน
ใบหน้าของหวงคังเริ่มกลายเป็นสีเขียว ต่อหน้าผู้คนมากมาย วาจาของซูเฉินดั่งสองมือที่เปลื้องเสื้อผ้าเขาจนล่อนจ้อน เปลือยกายเผยความจริงอันน่าอัปยศออกมา ตอนนี้เขาแทบรอไม่ไหวที่จะฉีกร่างซูเฉินออกเป็นชิ้นๆ
อย่างไรก็ตาม แม้ความโกรธของเขาจะเดือดปุดๆถึงขีดสุด แต่เขาก็ยังไม่มีความกล้าที่จะสู้กับซูเฉินตัวต่อตัว
“ไอ้หนู แกมันบ้า! มาวัดกันเลยดีกว่าว่าฝีมือแกจะแน่เหมือนฝีปากรึเปล่า!”
เมื่อเห็นว่าหวงคังถูกซูเฉินไล่ต้อนจนอับจนคำพูด ชายวัยกลางคนในเสื้อคลุมเหลืองก็ก้าวออกมายืนเคียงข้างเขา
ซูเฉินเหลือบมองด้วยความเย็นชา เมื่อเห็นแววตาอีกฝ่ายแฝงไปด้วยความรังเกียจ เขาก็แค่นเสียงเย็น “ไอ้หมู แกคิดจะออกหน้าแทนเขาหรือ?”
“ปากรนหาที่ตาย!”
ไขมันบนใบหน้าของชายชุดคลุมเหลืองสั่นตุบๆไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าโกรธมากกับคำพูดของซูเฉิน
แม้เขาจะอ้วน แต่ก็เกลียดที่สุดเมื่อมีคนอื่นเปรียบเทียบกับหมู
ตบอดเวลานี่ผ่านมา ไม่เคยมีใครกล้าล้อเลียนเขาเช่นนี้
หรือต่อให้มี ไม่ว่าจะบังเอิญหรือตั้งใจ ทั้งหมดล้วนถูกลากไปฆ่าทั้งสิ้น
“ไอ้หมู แน่จริงก็มา ฉันรออยู่ มาฆ่าฉันเลย มาสิ มาสิ~” ซูเฉินหัวเราะอย่างไม่แยแส
ชายในชุดคลุมเหลืองอดไม่ไหวอีกต่อไป กระทืบเท้าดุดัน ทะยานไปข้างหน้าดั่งรถศึก พุ่งเข้าใส่ซูเฉิน
“ผู้วิวัฒนาการเลเวล 3 ? ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงหวงคังถึงได้กล้าออกจากกระดอง ที่แท้เอาพรรคพวกมาด้วยนี่เอง”
คิ้วของซูเฉินย่นเข้าหากัน พลังแห่งจิตวิญญาณที่ไร้รูป รส กลิ่น สี แพร่กระจายออกมา
พิจารณาจากความเร็วของอีกฝ่าย สมควรเป็นผู้วิวัฒนาการเลเวล 3 อย่างแน่นอน
แม้ซูเฉินจะไม่เคยสู้กับผู้วิวัฒนาการเลเวล 3 มาก่อน แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ที่ต่อให้เป็นผู้วิวัฒนาการเลเวล 4 ก็ยังสามารถฆ่าได้ ฉะนั้นอาศัยแค่ผู้วิวัฒนาการเลเวล 3 ไม่พอที่จะอยู่ในสายตาเขา
“เด็กเหลือขอ ตายซะ!”
ชายในชุดคลุมเหลืองพุ่งเข้าหาซูเฉิน เห็นซูเฉินยังคงนิ่งงันไม่ไหวติง หัวใจเขาก็เบิกบานด้วยความสุขอันเหลือล้น กำหมัดขนาดเท่าชามใหญ่ เหวี่ยงออกไปสุดแรง กะเอาคืนให้สาแก่ใจ
แต่ขณะที่กำปั้นกำลังจะสัมผัสลงบนตัวเป้าหมาย พริบตานั้นเอง ราวกับจมลงไปในบ่อโคลน ทุกการเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงจนเกือบหยุดนิ่ง
“พลังจิต … แกเป็นปรมาจารย์พลังจิตเลเวล 3 !”
ชายชุดคลุมเหลืองเบิกตากว้าง มองไปที่ซูเฉินด้วยสายตาไม่ต่างจากกำลังมองสัตว์ประหลาด
สิ่งเดียวที่สามารถสะกดเขาซึ่งอยู่ในเลเวล 3 ได้ชะงัดโดยไร้สรรพเสียงใดๆ มีเพียงปรมาจารย์พลังจิตเลเวล 3 ขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถทำได้
แต่จากรูปลักษณ์ของซูเฉิน เขาดูเหมือนคนอายุแค่ราวๆ 20 ปีเท่านั้นเอง
คนๆหนึ่งจะสามารถกลายเป็นปรมาจารย์พลังจิตทั้งๆที่อายุ 20 ได้อย่างไร?
นี่มันเรื่องเหลวไหลเป็นไปไม่ได้!
ต้องรู้นะว่า ในบรรดาสามอาชีพหลัก ปรมาจารย์พลังจิตเป็นอาชีพที่ฝึกฝนได้ยากที่สุด
แม้แต่ปรมาจารย์พลังจิตเลเวล 1 กว่าจะเจอซักคน ยังหาได้ยากยิ่ง ดังนั้นปรมาจารย์พลังจิตเลเวล 3 จึงไม่ต่างจากมนุษย์ที่ติดปีกหงส์และสวมเขากิเลน
“เขาทำได้อย่างไรกัน!” สีหน้าของชายชุดคลุมเหลืองกลายเป็นซับซ้อนอย่างถึงที่สุด
เขาไม่อยากยอมรับว่าซูเฉินเป็นปรมาจารย์พลังจิตเลเวล 3 แต่ข้อเท็จจริงอยู่ตรงหน้าเขา ต่อให้เขาไม่ต้องการ ก็จำเป็นต้องยอม
“นี่เขาเป็นปรมาจารย์พลังจิตเลเวล 3 ด้วยหรือ?”
หลังจากได้ทราบข้อมูลนี้ ใบหน้าของหวงคังแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก
เมื่อเทียบกับชายชุดคลุมเหลืองแล้ว เขารู้ข้อมูลของซูเฉินมากกว่าเยอะ
ตอนที่ซูเฉินอาละวาดในเมืองจิงกังในวันนั้น ลูกน้องของเขาเห็นกับตา ว่าซูเฉินสามารถใช้เวทมนต์ของปรมาจารย์มนตรา และพละกำลังของผู้วิวัฒนาการได้
แล้วเหตุใด ไม่เจอกันครู่เดียว อีกฝ่ายถึงกลายเป็นปรมาจารย์พลังจิตเลเวล 3 ไปได้?
อย่าบอกนะว่าเขาสามารถฝึกฝนทั้งสามอาชีพในตัวคนเดียว แถมทั้งหมดยังขึ้นไปถึงเลเวล 3 แล้ว?
ยิ่งขบคิดก็ยิ่งมีความเป็นไปได้!
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หัวในของหวงคังก็คล้ายจมลงสู่ห้วงหุบเหวลึกอันเย็นเยียบ