ตอนที่แล้วWS บทที่ 169 ทักษะปีศาจ ดัชนีเยือกแข็ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWS บทที่ 171 คาถาระดับหนึ่งอันที่สอง

WS บทที่ 170 ทักษะปีศาจคืออะไร?


เมอร์ลินประหลาดใจเมื่อได้เห็นตัวอักษรขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นภายหลังจากแสงสีทองได้ส่องออกมา ข้างในหนังสือมันเขียนด้วยภาษามอลตา

“ทักษะปีศาจคืออะไร? มันเป็นเวทย์มนตร์รึเปล่า?”

เมอร์ลินขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าทักษะปีศาจคืออะไร เขาไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนแม้แต่ในดินแดนมนต์ดำก็ตาม

ในระหว่างที่เมอร์ลินกำลังจะพลิกหน้าต่อไป อยู่ ๆ เสียงฝีเท้าของม้าก็ดังขึ้นต่อหน้าเขา เมื่อเขามองตามเสียงไปก็พบกับเลห์แมนและกองอัศวินเกราะเหล็กของเขา

“เมอร์ลิน มีอะไรรึเปล่า?” เลห์แมนเข้ามาหาเมอร์ลินอย่างรวดเร็วและมองมาที่เขา

เมอร์ลินเก็บหนังสือไว้และส่ายหัวเล็กน้อย “ท่านพ่อ ผมไม่เป็นไร แล้วท่านเคานต์และคนอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้าง”

เลห์แมนเหลือบมองไปที่ศพบนพื้น เขารู้ว่าศพพวกนี้เคยเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลังในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่แต่พวกมันทั้งหมดถูกฆ่าโดยเมอร์ลิน เขาค่อนข้างตกใจกับฉากนี้ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เมอร์ลินแข็งแกร่งเพียงใด

“เคานต์เซลินสั่งให้กองทัพไล่ตามกองทัพที่แตกพ่ายของเลบิส แล้วอีกอย่างเขาต้องการใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้เพื่อควบคุมเมืองเลบิสให้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาด้วย”

เลห์แมนเหลือบมองทหารที่ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการฆ่าที่อยู่ห่างไกลจากพวกเขา

สิ่งที่เคานต์เซลินหวังไม่ช้ามันก็กลายเป้นดั่งที่เขาต้องการ เนื่องจากลองการ์ดีได้ทุ่มสุดตัวในสงครามครั้งนี้ เขาได้รวบรวมทหารทั้งหมดและพาพวกเขามาที่นี่

หลังจากประสบความพ่ายแพ้ทำให้มีทหารเหลือปกป้องเมืองเพียงไม่กี่คนเท่านั้น คนที่สามารถเอาชีวิตรอดกลับไปยังเมืองเลบิสได้ พวกเขาไม่มีโอกาสป้องกันตัวเองจากกองทัพของเคาท์เซลินได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินไม่สนใจในเรื่องพวกนี้ เขาทำหน้าที่ของเขาเสร็จแล้ว ที่เหลือปล่อยให้เคานต์เซลินเป็นคนจัดการ

“ท่านพ่อ กลับกันเถอะ เดี๋ยวเคาท์เซลินคงจะจัดการที่เหลือเอง”

หลังจากนั้น เมอร์ลินก็ขี่ม้าและกลับมายังเมืองปรากาชอย่างช้าๆ

...

หลังการสู้รบ เมืองปรากาชดูคึกคักไปด้วยกิจกรรมต่างๆ หลายคนได้รับข่าวว่ากองทัพของเมืองเลบิสพ่ายแพ้อย่างหมดท่า ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างโห่ร้องด้วยความยินดี

แม้แต่เมอร์ลินก็ยังสังเกตเห็นรอยยิ้มที่จริงใจของคนรับใช้หลายคนในปราสาทวิลสัน

หลังจากที่เขากลับถึงห้องแล้ว เขาสั่งคนใช้ไม่ให้ใครมารบกวนเขา จากนั้นเขาก็หยิบหนังสือแปลกๆ ที่เขาพบในแหวนของพ่อมดเฮกฮาร์ออกมา

เมอร์ลินได้อ่านหน้าแรกแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเกี่ยวกับทักษะของปีศาจ เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร ดังนั้นเขาจึงอ่านหน้าสองต่อไป

หน้าที่สองเขียนเกี่ยวกับคำอธิบายโดยละเอียดเกี่ยวกับทักษะของปีศาจ ดังนั้นเมอร์ลินจึงอ่านข้อความอย่างละเอียด

“ทักษะของปีศาจหรือพลังปีศาจแพนดอร่า เป็นพลังแปลก ๆ ที่แสดงออกจากการผสมผสานของเทคนิคต่างๆ เช่น คาถา การเล่นแร่แปรธาตุ อักษรรูน ศาสตร์ปรุงยาและอื่น ๆ!

ดัชนีเยือกแข็งเป็นหนึ่งในทักษะของปีศาจธาตุน้ำแข็ง เงื่อนไขในการฝึกฝน หนึ่งต้องสร้างคาถาระดับหนึ่ง น้ำค้างเยือกแข็งและต้องมีไขกระดูกน้ำแข็งร้อยปีของสัตว์ประหลาด!”

เมอร์ลินอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ ผลลัพธ์ของพลังปีศาจแพนดอร่าไม่ได้ระบุไว้ในหนังสือเล่มนี้ ยกเว้นเรื่องของดัชนีเยือกแข็ง หากเขาทำตามคำนำและฝึกฝนมัน เขาก็มีพลังน้ำแข็งอันทรงพลัง

อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มนี้ไม่ได้อธิบายว่าขอบเขตของพลังน้ำแข็ง มันมากเพียงใด เขาเล็งเห็นว่าพลังในการแช่แข็งนั้นมีความสำคัญมาก

มีสองขั้นตอนในการฝึกฝนดัชนีเยือกแข็ง ขั้นตอนแรก เขาต้องการคาถาระดับหนึ่งน้ำค้างเยือกแข็งและไขกระดูกน้ำแข็งร้อยปี ในขณะเดียวกัน ขั้นตอนที่สองนั้นซับซ้อนและยากกว่าตอนแรก เขาต้องการคาถาระดับสี่และแก่นน้ำแข็งพันปี

อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับไขกระดูกน้ำแข็งร้อยปีหรือแก่นน้ำแข็งของพันปีมาก่อน

ในทางกลับกัน คาถาระดับแรกที่จำเป็นสำหรับด่านแรกของดัชนีเยือกแข็งคือคาถาน้ำค้างเยือกแข็งที่เมอร์ลินกำลังจะสร้างมันแต่ เนื่องจากพลังจิตของเขายังไม่เพียงพอ เขาจึงยังไม่สามารถสร้างในตอนนี้ได้

เมอร์ลินหลับตาลงและจัดเรียงข้อมูลในหัวของเขาใหม่ ความสามารถพิเศษของปีศาจแพนดอร่า ดัชนีเยือกแข็ง ที่เขาได้รับจากเฮกฮาร์ มันจะช่วยเสริมพลังให้เขา

นอกจากนี้เมอร์ลินกำลังเตรียมสร้างน้ำค้างเยือกแข็งอยู่พอดี ถ้าหากเขาได้ไขกระดูกน้ำแข็งร้อยปีเมื่อไหร่ เขาก็ตั้งใจฝึกฝนดัชนีเยือกแข็งด้วย

หลังจากนั้น เมอร์ลินก็หลับตาลงและเริ่มทำสมาธิ

ผ่านไปหนึ่งเดือน เคานต์เซลินได้นำกองทัพและยึดเมืองเลบิสได้สำเร็จ ทันใดนั้นอิทธิพลของเคานต์เซลินก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ตอนนี้ทั้งเมืองปรากาชเป็นเมืองขนาดเล็กที่ทรงอิทธิพลอย่างยิ่ง

หลังจากที่เคานต์เซลินบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว เขาไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเมอร์ลิน ดังนั้นเขาจึงประกาศต่อสาธารณชนเพื่อเลื่อนบรรดาศกดิ์ของเมอร์ลินจากบารอนไปเป็นไวเคานต์และแต่งตั้งเลห์แมน วิลสันให้เป็นบารอน

นี่เป็นเรื่องหายากมากที่จะมีขุนนางสองคนในตระกูลเดียวกันเพราะในท้ายที่สุดแล้ว ตำแหน่งขุนนางก็สืบทอดกันในตระกูล อันที่จริงการที่ตระกูลวิลสันมีขุนนางสองคนเป็นสัญลักษณ์ว่าครอบครัววิลสันกำลังเฟื่องฟู

จากปีที่แล้วตระกูลวิลสันเป็นเพียงตระกูลพลัดถิ่นจากดินแดนห่างไกลแต่ตอนนี้พวกเขากลายเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลในเมืองปรากาซ

ทางด้านเมอร์ลินก็อยู่ในปราสาทวิลสันตลอดเวลา ช่วงเวลากลางวัน เขาจะไปกับแอวริลกับเชอรีส ส่วนช่วงเวลาตอนกลางคืน เขาจะใช้เวลาในการปรุงยา

น้ำยาที่เมอร์ลินจะทำคือ น้ำยามนตราอสูรซึ่งมันต้องใช้วัตถุดิบล้ำค่าหลายอย่าง วัตถุดิบยาที่เขาได้รับมาจากชายชราผมเงินนั้น มันทำได้เพียงน้ำได้สองขวด ยิ่งกว่านั้น ยังมีโอกาสมากที่เขาอาจจะล้มเหลวในการปรุงยาดังนั้นเมอร์ลินจึงไม่กล้าเสี่ยงที่จำปรุงอีก  เขากลัวว่าเขาจะใช้วัตถุดิบจนหมดและจะหาวัตถุดิบเหล่าไม่ได้

หลังจากที่เขาออกจากดินแดนมต์ดำ เมอร์ลินก็ตระหนักว่าทรัพยากรต่าง ๆ นั้นหายากเพียงใด แค่ส่วนผสมทำยาธรรมดยังหายากเลย นับประสาอะไรกับวัตถุล้ำค่าสำหรับน้ำยามนตราอสูร

ด้วยเหตุผลนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เหล่านักเวทย์เลือกที่จะอยู่ในพื้นที่รกร้าง เหตุผลที่สำคัญที่สุดอาจเป็นเพราะขาดวัตถุปรุงยาถึงขนาดที่พวกเขาไม่สามารถฝึกฝนนักเวทย์มนต์ในชีวิตประจำวันได้

เมอร์ลินวางแผนที่จะทำน้ำยามนตราอสูรเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังจิตของเขา แม้ว่าเขาจะทำไม่สำเร็จ เขาก็สามารถทำน้ำยาบลูเบอร์รี่ได้ ในแหวนของพ่อมดวิกซ่ายังมีวัสดุปรุงยาเหลืออยู่ พอที่จะปรุงยาได้

หากใช้พวกน้ำยา มันจะเพิ่มพลังจิตอย่างรวดเร็ว มันได้ผลมากกว่าการทำสมาธิหลายชั่วโมง

"เดอะเมทริกซ์ เริ่มกระบวนการสร้างน้ำยามนตราอสูร!"

เมอร์ลินสั่งให้เดอะเมทริกซ์เตรียมปรุงยา เขาเคยชินกับการเตรียมการปรุงยาทั่ว ๆ ไปแล้วแต่เขาไม่มั่นใจในการเตรียมปรุงยามนตราอสูรมากนัก

ผ่านหนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง…

ในไม่ช้า เมอร์ลินก็เตรียมทำน้ำยามนตราอสูรเสร็จ เขาทำตามคำแนะนำของเดอะเมทริกซ์ทุกอย่างแต่น่าเสียดายที่เขาล้มเหลวในการเตรียมยา หลังจากการตรวจสอบโดยเอะเมทริกซ์

ทำให้ตอนนี้คือส่วนผสมชุดสุดท้าย ทำให้เขาระมัดระวังในการปรุงยามากขึ้นอีกเท่าตัว

ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จ โดยตัวยามีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์ของเดอะเมทริกซ์

“ในที่สุดฉันก็ทำได้!”

เมอร์ลินรู้สึกอิ่มเอิบใจที่เขาประสบความสำเร็จเป็นครั้งที่สอง ส่วนใหญ่ของความสำเร็จของเขาเกิดจากโชค เนื่องจากเมอร์ลินไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จเมื่อเขาปรุงยาเป็นครั้งที่สอง

เมอร์ลินยังไม่ดื่มน้ำยามนตราอสูรในทันทีแต่เขาเริ่มทำน้ำยาบลูเบอร์รี่ต่อ

การทำน้ำยาบลูเบอร์รี่นั้นค่อนข้างง่ายกว่า เขาได้รับสูตรยามาจาก พ่อมดวิกซ่า

เขาต้องการดื่มน้ำยาทั้งสองตัวเพื่อเพิ่มพลังจิตให้เร็วที่สุด เขาวางแผนที่จะสร้างคาถาระดับหนึ่งอีกอัน

แม้ว่าการทำน้ำยาบลูเบอร์รี่จะค่อนข้างง่ายกว่าน้ำยามนตราอสูร แต่ใช่ว่าจะปรุงได้ง่ายๆ เขาสามารถปรุงยาได้สำเร็จเพียงสามชุดเท่านั้นจากวัตถุดิบทั้งหมด

หากไม่มีวัตถุดิบปรุงยา เมอร์ลินก็ไม่สามารถผลิตอะไรได้อีก ดังนั้นเขาจึงหยุด

ตอนนี้มีน้ำยาที่พร้อมใช้งานแล้ว เขาอยากจะรู้ว่าพลังจิตของเขาสามารถเพิ่มขึ้นไปไกลมากแค่ไหน

ย้อนกลับไป ตอนนี้เมอร์ลินกินน้ำยามนตราอสูรครั้งแรก พลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นถึง 30%

จากนั้นเมอร์ลินก็พักผ่อนสักครู่ เมื่อพลังจิตของเขากลับสู่จุดสูงสุด เขาได้กินดื่มน้ำยามนตราอสูร ทันใดนั้น ความรู้สึกอบอุ่นในร่างกายขยายตัวอย่างรวดเร็วในหัวของเขาซึ่งทำให้เขาแทบจะทนไม่ไหว

ความรู้สึกแบบเดียวกับครั้งที่แล้วที่เขาดื่มน้ำยามนตราอสูรครั้งที่แล้ว โชคดีที่พลังจิตของเมอร์ลินแข็งแกร่งพอที่จะทนต่อความเจ็บปวดได้

หลังจากนั้นไม่นาน ความรู้สึกเจ็บปวดในหัวของเมอร์ลินก็ค่อยเบาบางลง ในขณะเดียวกันพลังจิตของเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากการประเมินเบื้องต้น พลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20% แม้ว่าจะไม่ได้มากเท่าในครั้งที่แล้ว

การเพิ่มพลังจิต 20% ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงนั้นเร็วกว่าการทำสมาธิมาก อย่างไรก็ตาม เขาต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากสำหรับสิ่งนี้เช่นกัน หากเขาไม่ประสบความสำเร็จในการปรุงยา แต้มที่ลงทุนแลกไปก็จะสูญเปล่า

แม้ว่ายาจะสามารถเพิ่มพลังจิตของเขาได้อย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ไม่ควรเอาแต่พึ่งพาน้ำยาเพียงอย่างเดียว

ต่อมาเมอร์ลินก็ดื่มน้ำยาบลูเบอร์รี่ต่อ

ผลของน้ำยาบลูเบอร์รี่ ไม่สูงเท่าน้ำยามนตราอสูร โดยน้ำยาบลูเบอร์รี่ 3ขวดจะเทียบเท่าน้ำยามาตรอสูร 1ขวด

ด้วยพลังจิตที่เพิ่มขึ้นมานี้ ทำให้เมอร์ลินคิดว่าเขาน่าจะสร้างคาถาระดับหนึ่งอันที่สองได้แล้ว

"ต่อไปจะเป็นคาถาอะไรดี"

เมอร์ลินเริ่มมองไปที่คาถาระดับหนึ่งที่เขาเก็บไว้ในแหวนของเขา เนื่องจากเขาไม่ได้มีพลังจิตมากนัก เขาจึงทำได้เพียงเลือกคาถาที่สามารถช่วยเหลือเขาได้มากที่สุด

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด